บทที่ 596 รักของพ่อดุจภูผา
จวงไทเฮานั่งนิ่งอยู่ในรถม้าพร้อมกับทอดสายตามองฉากห้ำหั่นอันน่าสะพรึงกลัวที่กำลังเกิดขึ้น
ใช่แล้ว มันคือการล่าของจริง
ไทเฮารู้ว่าองครักษ์หลงอิ่งทรงพลังเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งองครักษ์หลงอิ่งที่นายพลหนานกงนำมานั้นแข็งแกร่งกว่าของฝั่งแคว้นเจา กระนั้นก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่กองทัพหน้ากากผีของเซวียนผิงโหว ไม่ทันแม้แต่จะแสดงฝีมือการต่อสู้ กลายเป็นเหยื่อเล็กในป่าใหญ่โดยมีผู้ล่าซึ่งก็คือทหารที่อยู่ภายใต้หน้ากากผีนั้น!
นี่คือความได้เปรียบทางยุทธวิถี
คนอย่างเซวียนผิงโหวที่เกิดมาพร้อมกับเลือดนักสู้และความรู้สึกอันแรงกล้าราวกับจะสามารถยึดครองพิภพแห่งนี้ได้ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามแม้ไม่ต้องขยับตัวมากมาย
แน่นอนว่านอกจากภาพลักษณ์แล้ว ต้องมาพร้อมกับพลังและทักษะด้านการรบที่แข็งแกร่ง
และเซวียนผิงโหวก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพร้อมทุกด้านอย่างแท้จริง
ครั้งหนึ่งจวงไทเฮาเคยคิดว่าแม่ทัพที่เชี่ยวชาญที่สุดในแคว้นก็คือกู้เฉา แต่ตอนนี้เมื่อไทเฮาได้เห็นวิธีการของเซวียนผิงโหวในการจัดการกับพวกองครักษ์หลงอิ่งจากแคว้นเยี่ยน ถึงได้เข้าใจและรู้ว่าเซวียนผิงโหวนั้นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้มากเพียงใด รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญจนถึงจุดที่ไม่มีใครเทียบได้
หากคนเก่งๆ อย่างเขาไปเกิดในตระกูลหนานกงขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะได้ออกมาแบบนี้ไหม
การไล่ล่าสิ้นสุดลงในเวลาอันสั้น เหลือผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คน
“นำเชลยกลับไปสอบสวน ส่วนที่เหลือก็จัดการให้สิ้นแล้วนำร่างไปฝังเสีย”
การจัดการที่ว่าหมายถึงการยอมจำนนอาวุธและทรัพย์สินของคู่ต่อสู้ ในประเด็นนี้ แนวทางของเซวียนผิงโหวและกู้เจียวมีความสอดคล้องกันอย่างมาก และพวกเขาจะต้องไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรสงครามใดๆ
ส่วนการกำจัดศพอย่างเหมาะสมนั้นก็เพื่อป้องกันโรคระบาดเป็นหลัก
พอนายพลหนานกงรู้ตัวว่าได้เดินมาถึงทางตัน ซ้ำยังเสียแขนไปข้างหนึ่ง เขาไม่สนใจที่จะรบราต่อ จึงตัดสินใจขว้างระเบิดออกไปหนึ่งลูกแล้วรีบวิ่งหนีไป!
ฉังจิ่งรีบไล่ตามเขาไปในทันทีพร้อมกับดาบยาวในมือ!
เซวียนผิงโหวมั่นใจว่าฉังจิงจะไม่เป็นไร เพราะในเมืองหลวงแห่งนี้ แทบจะไม่มีใครแตะต้องฉังจิ่งได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพนายพลหนานกงที่แขนหักแบบนั้น
เซวียนผิงโหวเดินมาที่หน้ารถม้าของจวงไทเฮา ลงจากหลังม้าและโค้งคำนับผ่านม่านรถ “กระหม่อมขออภัยที่มาช้าและทำให้พระองค์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว”
ไทเฮาที่รู้ว่าเซวียนผิงโหวไม่ได้จะเข้ามาทักทายตนแต่แรก ก่อนจะเหลือบมองไปทางเซียวเหิงที่อยู่ข้างๆ “ไปเถอะ ให้พ่อของเจ้าพาเจ้ากลับไป คืนนี้ข้าต้องกลับวัง”
เซียวเหิงนึกในใจ ไหนบอกว่าจะไปเล่นไพ่กับยายเฒ่าหลิวมิใช่รึ
“ไปสิ” ไทเฮาเอ่ยอีกครั้ง
เซียวเหิงจึงได้แต่จำใจลงจากรถม้า
เซวียนผิงโหวเลือกม้าที่เชื่อฟังให้เขา “ข้ารีบออกมาก็เลยไม่ได้เตรียมรถม้า ขี่เจ้าตัวนี้ไปก็แล้วกัน”
เซียวเหิงเดินเข้าไปใกล้เจ้าม้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า จากนั้นคว้าอานม้า และกำลังทำท่าจะเหยียบโกลน
ทันใดนั้นเซวียนผิงโหวยื่นมือคว้าเข้าที่เอวของเซียวเหิงเพื่อที่จะยกเขาขึ้นราวกับกำลังอุ้มเด็กน้อย “ข้าไม่ใช่เด็กนะ! ข้าขี่ม้าเองได้!”
เซวียนผิงโหวรีบชักมือกลับอย่างไม่พอใจ
เซียวเหิงเหยียบโกลน จากนั้นพลิกตัวแล้วนั่งลงบนอานม้า
เซวียนผิงโหวมองด้วยความประหลาดใจ “เจ้าโตขึ้นเป็นกอง”
เซวียนผิงโหวกระโดดขึ้นหลังม้าของเขา มันดุร้ายกว่าม้าของเซียวเหิงมาก จากนั้นม้าของเซวียนผิงโหวก็เริ่มก้าวร้าวและกลั่นแกล้งม้าของเซียวเหิง!
ม้าของเซียวเหิงตกใจจนขวัญเสียไปหมด!
เซวียนผิงโหวเห็นท่าไม่ดีเลยรีบดึงบังเหียนอย่างเหลืออด แล้วขู่เจ้าม้า “ขืนยังเกเรอีก กลับไปข้าจะจับเจ้าตุ๋นให้เปื่อยเลยคอยดู!”
จากนั้นเจ้าม้าเกเรก็ยอมเชื่อฟัง
แล้วเอาหัวของมันไปถูไถคลอเคลียเข้ากับหัวของเจ้าม้าของเซียวเหิงโดยที่ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อเอาใจเจ้านายผู้ไม่รักดีของมันหรือเปล่า
กลายเป็นว่าม้าของเซียวเหิงยิ่งตกใจหนักกว่าเก่า
เซวียนผิงโหว “…”
ม้าของเซวียนผิงโหว “…”
ขณะเดียวกัน ราชครูจวงถูกจับกุมโดยทหารของเซวียนผิงโหว แน่นอนว่าเซวียนผิงโหวไม่คิดจะทำตามกฎใดๆ และอยากจะฆ่าราชครูจวงทิ้งไปให้จบๆ
ทว่าเซียวเหิงเอ่ยกับเขาไว้ว่า “ข้าสัญญากับอันจวิ้นอ๋องไว้แล้วว่าให้ไว้ชีวิตปู่ของเขาด้วย”
แม้เซวียนผิงโหวอย่างเด็ดหัวตาแก่นั่นใจจะขาด แต่ในเมื่อลูกชายขอไว้ ก็คงต้องทำเช่นนั้น ถึงอย่างไรก็ต้องได้รับโทษอยู่ดี ให้ตาแก่นั่นมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าการตายไปเสียก็จบ
“เจ้าลูกชายเอ๋ย เหตุใดจู่ๆ ถึงเขียนจดหมายมาหาข้าเล่า เจ้าไว้ใจข้าแล้วสินะ” คราวนี้เซียวเหิงเป็นคนเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเซวียนผิงโหวก่อน แม้จะมีเรื่องราวเกิดขึ้น กระนั้นเซวียนผิงโหวก็อดดีใจไม่ได้ที่ลูกชายนึกถึงเขา
เซียวเหิงมองผู้เป็นพ่อด้วยหางตาหนึ่งที “ข้าก็แค่ไม่อยากให้เจียวเจียวต้องไปออกรบอีก”
หากกองทัพตระกูลกู้ออกทัพ แน่นอนว่ากู้เจียวจะต้องตามไปด้วย
เซวียนผิงโหว โน้มตัวไปทางลูกชายของเขาแล้วเอ่ย “กองทัพตระกู้ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับกองทัพหน้ากากผีของข้า พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับทหารหน้ากากผี”
กองทัพหน้ากากผีนั้นแต่เดิมเป็นกองกำลังต่อสู้ระดับสูง จำนวนคนมีไม่มาก แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้นั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เหมาะที่จะกำจัดพวกองครักษ์หลงอิ่งของแคว้นเยี่ยน
เซียวเหิงโต้กลับ “แต่กองทัพตระกูลกู้มีกำลังพลจำนวนมากกว่า ฝีมือการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ด้อย”
ซวนผิงโหวทำหน้าราวกับกำลังเอ่ยว่า ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง “อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้ามาหาข้า แปลว่าในใจของเจ้า ข้าคือคนที่เก่งกาจที่สุด!”
อายุปูนนี้แล้วยังคิดอะไรหยุมหยิมแบบนี้อีก เซียวเหิงเริ่มเหนื่อยหน่ายที่จะเสวนากับเขาแล้ว
เซียวเหิงต้องการให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น แต่เขาไม่มีแส้อยู่ในมือ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเบาๆ “ช่วยให้มันวิ่งเร็วขึ้นได้ไหม”
“ไม่ได้” เซวียนผิงโหวบ่ายเบี่ยง
ข้าก็แค่อยากอยู่กับลูกชายของข้านานๆ บ้าง!
เซียวเหิงสูดปากลึก กำบังเหียนไว้แน่นพร้อมกับเอ่ย “ตรงนี้มีทางลัด มาทางนี้ดีกว่า!”
เซวียนผิงโหวเลิกมุมปาก
ชิ!
ลืมไปเสียสนิทเลยว่ามีทางลัด!
เซียวเหิงนำทางไปยังตรงทางแยกของถนนใหญ่ มีหมู่บ้านหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่ เดินทะลุหมู่บ้านไปก็จะเจอกับลำธารเล็กๆ หากข้ามไปได้จะสามารถช่วยประหยัดระยะทางได้ครึ่งหนึ่ง
แต่พอเซียวเหิงเดินมาถึงที่ลำธาร กลับพบว่า…น้ำขึ้น!
เซียวเหิงเริ่มหน้าถอดสี พลางคิดว่านี่เขาโชคร้ายขนาดนี้เชียวรึ
เนื่องจากหิมะบนยอดเขาละลายแล้วไหลลงมายังแหล่งน้ำที่แต่เดิมเคยตื้นมาก ขนาดจุดที่ลึกที่สุดก็แทบไม่ถึงต้นขาของเขาเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวกว่าปกติอีกด้วย
ม้าของเซียวเหิงไม่ยอมเดินหน้าต่อ
ดูเหมือนเจ้าม้ากระตือรือร้นที่จะลอง แต่ความลึกของน้ำนั้นคาดเดาไม่ได้ และการขี่ม้าก็ไม่ปลอดภัยนัก
ตอนแรกกะว่าจะนำทางดีๆ แต่ไปๆ มาๆ กลับเจอเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ คงเป็นการโกหกถ้าบอกว่าไม่รู้สึกขายหน้า
เซียวเหิงกัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจหันหลังกลับไป เขาไม่สนแล้วว่าจะต้องอับอายขายหน้าแค่ไหน
ทันใดนั้น เซวียนผิงโหวกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเอ่ยกับเซียวเหิง “ลงมาเถอะ เดินข้ามไปกัน”
ตอนนี้เซียวเหิงโตเป็นหนุ่มแล้ว แต่คงเป็นการยากที่จะให้เขาเอ่ยต่อหน้าพ่อของตัวเองว่าเขาว่ายน้ำไม่เป็น
ขูดหายใจเข้าลึกๆ ลงจากหลังม้า พยายามทำใจดีสู้เสื้อ ค่อยๆ ก้าวเท้าลงไปในลำธารที่ไหลเชี่ยว
แต่ทันทีที่ฝ่าเท้าของเขาแตะลงบนผืนน้ำ ร่างของเขากลับถูกมือใหญ่คว้าและยกขึ้นไปบนหลัง
เสี่ยวเหิงหมุนตัวอยู่พักหนึ่ง และเมื่อเขารู้ตัวอีกที ก็พบว่าเซวียนผิงโหวกำลังอุ้มเขาไว้บนหลัง เขาพยุงขาของเซียวเหิงด้วยมือทั้งสองข้าง และก้าวเท้าลงไปในลำธารโดยไม่ลังเลใจ
สำหรับเซวียนผิงโหวผู้ที่เคยผ่านสนามรบและเผชิญกับภูมิประเทศที่รุนแรงทุกประเภทและอันตรายอย่างยิ่ง กระแสน้ำระดับนี้ให้เขาหลับตาเดินก็ทำได้ แต่นั่นเป็นกรณีที่เขาอยู่คนเดียว เขาจึงไม่กลัวว่าจะต้องล้มหรือถูกกระแทกแต่อย่างใด
แต่คราวนี้ เขากำลังแบกลูกชายไว้บนหลัง จึงระมัดระวังเป็นพิเศษ ทุกย่างก้าวต้องผ่านการทบทวนตรึกตรอง
ทุกการเหยียบย่ำนั้นเขาจะย่ำเท้าให้เป็นวงกลมเสมอเพื่อให้ยืนได้มั่นคง
เมื่อพื้นที่ภายในใจได้ถูกแบ่งออกไปให้ใครอีกคน ก็เหมือนกับว่ามีอีกชีวิตผูกติดอยู่กับตัวเขาด้วย
แม้ลำธารนี้จะกว้างไม่ถึงสองจั้ง แต่เซวียนผิงโหวนั้นใช้เวลาข้ามนาน เขาจะไม่ปล่อยให้เซียวเหิงรู้สึกโซเซหรือไม่มั่นคง
พอมาถึงฝั่ง เซวียนผิงโหวเปียกแฉะไปทั้งครึ่งท่อนล่าง
ส่วนรองเท้าของเซียวเหิงเปียกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กระนั้น เซวียนผิงโหวยังคงไม่ปล่อยเขาลง ยังคงมุ่งหน้าเดินต่อ
เซียวเหิงเอ่ยอย่างจริงจัง “วางข้าลง ข้าเดินเองได้”
เซวียนผิงโหวเดินอย่างมั่นคง รองเท้าที่เปียกชุ่มของเขาเหยียบลงบนพื้นพร้อมส่งเสียงดังเอี๊ยด “แถบนี้เป็นเส้นทางบนภูเขา เดินยากหน่อย”
ทางด้านหลังของทั้งสองส่วนที่เซียวเหิงไม่สามารถมองเห็นได้ เลือดในกระแสน้ำก็ถูกคลื่นพัดพาไป
ระหว่างที่เซวียนผิงโหวแบกเซียวเหิงทั้งขึ้นและลงภูเขา มีน้ำหยดจากร่างกายของเขาตลอดทาง
ตอนแรกเซียวเหิงคิดว่ามันเป็นหยดน้ำจากลำธาร แต่พอเสื้อผ้าเริ่มแห้ง กลิ่นเลือดก็ค่อยๆ แผ่ซ่านและกระจายไปทั่วร่างกายของเซวียนผิงโหว
เซียวเหิงขมวดคิ้วและมองกลับไปที่พื้น
ก็เจอกับรอยเท้าที่เปื้อนเลือดสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาบนพื้น
“ท่านบาดเจ็บรึ” เซียวเหิงสงสัย
จากนั้นเริ่มวิเคราะห์ เมื่อครู่นี้เซวียนผิงโหวไม่ได้ปะทะตรงๆ กับพวกแคว้นเยี่ยน ดังนั้นแผลนี้จึงไม่น่าใช่แผลใหม่
“เล็กน้อย” เซวียนผิงโหวตอบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีใครไม่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบ หลายปีที่ผ่านมา เขาได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ทั้งแผลเล็กและใหญ่ สำหรับเขา อาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงที่สุดคืออาการบาดเจ็บที่เอวเมื่อหลายปีก่อน เขาได้รับบาดเจ็บสามครั้งในที่เดียวกัน และเป็นต้นตอของแผลที่ไม่มีวันหาย
ครั้งนี้เป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่หลังซ้ำแล้วซ้ำอีกระหว่างการต่อสู้ครั้งสุดท้าย และเขาถูกแทงถึงสองครั้ง หนึ่งครั้งที่ด้านหลังและอีกครั้งที่ต้นขา
ตอนที่เขาได้รับจดหมายจากเซียวเหิง เขากำลังเย็บแผลอยู่ในค่ายทหาร
พอรู้ดังนั้น เซียวเหิงก็ฉุนขาด “ทำไมไม่บอกล่ะว่าท่านบาดเจ็บ! แล้วยังจะมาขี่ม้า! ลุยน้ำ! เดินแบกคนไว้บนหลังอีกได้อย่างไร!”
จู่ๆ เซวียนผิงโหวหยุดฝีเท้าลงและหันศีรษะเล็กน้อย “อาเหิง เจ้าเป็นห่วงข้ารึ”
“ข้าเปล่านะ” เซียวเหิงเบือนหน้าหนี
——————————————–