บทที่ 597 สามีพบภรรยา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 597 สามีพบภรรยา

เซวียนผิงโหวไม่ยอมปล่อยเซียวเหิงลงจนกระทั่งม้าของพวกเขาวิ่งทางอ้อมแล้วเวียนมาพบกับพวกเขาอีกครั้งบนถนนเส้นหลัก จากนั้นทั้งสองก็ขี่ม้ากลับไปยังเมืองหลวง

“เจ้าไม่กลับไปที่ตรอกปี้สุ่ยรึ”

เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม

เซียวเหิงตอบเบาๆ แค่ “อืม ช่วงนี้ข้าพักที่เรือนของท่านแม่”

เซวียนผิงโหวไม่ถามอะไรต่อ

แม้พวกเขาจะแต่งงานกันมาหลายปี แต่ต่างคนต่างอยู่ และไม่เข้าไปยุ่งเรื่องอีกฝ่าย ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขามาเหยียบที่เรือนของภรรยา

พอเห็นว่าเซียวเหิงเดินเข้าไปด้านในแล้ว เขาก็เตรียมตัวกลับ ทว่าเซียวเหิงเรียกเขาให้อยู่ก่อน “เข้ามาทำแผลสิ”

เพื่อไม่ให้ฟังดูเหมือนกำลังเป็นห่วงเขาอยู่ เซียวเหิงจึงรีบเอ่ยเสริม “มีหมออยู่ที่นี่พอดี”

“แล้วแม่เจ้า”

“นางไม่อยู่”

เซวียนผิงโหวเลิกคิ้ว มิน่าล่ะทำไมถึงกล้าให้เข้าไป

เป็นเวลาอันแสนยาวนานกว่าเขาจะได้รับความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ จากลูกชายของเขา และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปอย่างแน่นอน

และยังคงรอให้ลูกชายเอ่ยเรียกเขาว่าพ่ออีกครั้งอย่างมีความหวัง

เซวียนผิงโหวกระโดดลงจากม้า

ตลอดทางในป่าขณะที่แบกร่างของเซียวเหิงเขาแทบไม่ขมวดคิ้วเลยด้วยซ้ำ แต่พอได้ย่างกรายเข้ามาในเรือนหลังนี้กลับขมวดคิ้วแน่นและพยายามทำหน้าให้ดูเจ็บปวดมากที่สุด

เพื่อให้เห็นว่าแผลของเขานั้นรุนแรงแค่ไหน และพยายามเดินกะเผลกที่เท้าซ้าย

เซียวเหิงหันไปมองคนบางคนที่ตีบทไม่แตกเอาเสียเลย ก่อนจะทัก “ข้างขวาไม่ใช่หรือที่บาดเจ็บน่ะ”

เซวียนผิงโหว “…”

ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกแล้ว กู้เจียวกำลังนอนพักผ่อน เซียวเหิงไม่ได้ปลุกนาง นายหมอซ่งเพิ่งวัดไข้ให้นางไปหมาดๆ

เซียวเหิงให้เซวียนผิงโหวเข้ามาพักในห้องของเขา แล้วให้นายหมอซ่งเข้ามาดูอาการ

นายหมอซ่งเป็นคนฉลาด เขาพอจะเดาตัวตนของเซียวลิ่วหลังได้ตั้งแต่มาประจำอยู่ที่นี่ เพียงแต่ เรื่องใดที่ไม่ควรถาม เขาก็จะไม่แตะ

ขนาดในตอนนี้ เซียวลิ่วหลังพาเซวียนผิงโหวกลับมาที่นี่ หมอซ่งก็ไม่เอ่ยถามสักคำ

เซียวเหิงหยิบชุดของตัวเองให้เซวียนผิงโหวเปลี่ยน

หากว่ากันตามตรง รูปร่างของสองพ่อลูกอาจดูต่างกัน ด้วยความที่เซวียนผิงโหวเป็นชายชาติทหารเน้นใช้พละกำลังจึงมีร่างกายที่ยำกว่า กระนั้น ความสูงของพวกเขากลับเท่ากัน

เซวียนผิงโหวมองดูเสื้อที่ดูเหมือนจะไม่สั้นไม่ยาวเกินไป และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง ลูกชายของเขาโตขึ้นแล้วจริงๆ

จากนั้นหมอซ่งก็เริ่มทำความสะอาดแผล ตอนแรกเซียวเหิงคิดว่าเขามีแผลแค่สองจุด ที่ไหนได้ พอถอดเสื้อออก สภาพรอยแผลเก่าและใหม่ที่ขึ้นวนปะปนกันบนแผ่นหลังนั้นทำเอาเซียวเหิงถึงกับพูดอะไรไม่ออก

เซวียนผิงโหวผู้มีใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับหยกปั้น หารู้ไม่ว่าเรือนร่างของเขามิได้เรียบเนียนเหมือนกับใบหน้าของเขา

ใครจะไปนึกว่าเขามีบาดแผลรอบตัวเยอะขนาดนี้

เซวียนผิงโหวแทบจะมองข้ามรอยแผลเล็กๆ น้อยๆ เขาจำได้เพียงแค่รอยใหญ่ที่ถูกดาบฟันเข้าที่หลังและอีกจุดตรงขาข้างขวา

พอหันไปดูลูกชายของเขาที่จ้องมองรอยแผลของเขาด้วยแววตาตกตะลึง เขาเกือบลืมไปแล้วว่าลูกชายของเขาเกลียดเรื่องรบราฆ่าฟันมากแค่ไหน และจำได้ว่าลูกชายของเขาไม่ชอบของเล่นที่เขาทำให้

รอยแผลพวกนี้คงอัปลักษณ์น่าดูสำหรับเขา

เซวียนผิงโหวรีบดึงเสื้อขึ้นมาปิด พลางเอ่ยกับเซียวเหิง “เจ้าออกไปก่อน”

เซียวเหิงหันหลังและเดินออกไปด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน

“แผลของท่านโหวถูกเย็บมากกว่าหนึ่งครั้งใช่หรือไม่ขอรับ”

“อืม” เซวียนผิงโหวตอบอย่างไม่มั่นใจ “เย็บไปครั้งหรือสองครั้งนี่ล่ะ”

แผลของเขาถูกเย็บครั้งแรกหลังรบเสร็จ จากนั้นแผลก็เกิดฉีกระหว่างทางกลับเมือง จนต้องแวะเย็บแผลที่ศาลาพักม้า

หมอซ่งเอ่ยอย่างหนักแน่น “ท่านโหว ทำเช่นนี้เป็นอันตรายมากสำหรับท่าน! หากท่านได้รับบาดเจ็บก็ควรพักฟื้นอย่างเคร่งครัด การที่แผลถูกฉีกขาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือสิ่งที่ต้องห้ามที่สุด มันร้ายแรงกว่าการแทงตรงๆ เสียอีกนะขอรับ!”

“แล้ว…ข้าจะพิการไหม” เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม

หมอซ่งถอนหายใจ “ท่านโชคดีที่เถ้าแก่ของเรามียารักษาบาดแผลแบบพิเศษ ไม่เช่นนั้นป่านนี้ท่านคงเสียขาไปแล้วขอรับ!”

รอยแผลของเขาบวมแดงจนอักเสบ แถมยังไปลงน้ำมาอีก…หมอซ่งไม่เคยเจอคนไข้ที่ดื้อด้านเช่นนี้มาก่อน!

หากไม่ได้ยาของเถ้าแก่ช่วยไว้ เกรงว่าแม้แต่เทพยดาเองก็คงช่วยอะไรไม่ได้!

ระหว่างที่กำลังทำความสะอาดแผล หมอซ่งอดตกตะลึงกับร่างกายของเซวียนผิงโหวที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมิได้ แผลที่ถูกฉีกขาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนั้นยังอุตส่าห์สมานกลับมาได้ จะเหลือก็แค่ระวังไม่ให้ติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งเป็นอะไรที่ยุ่งยากเอาการ

“ตัดไหมออกก่อนนะขอรับ” หมอซ่งเอ่ยขึ้น

“อืม ตัดเลย”

“จะเจ็บนิดนึงนะขอรับ” หมอซ่งเอ่ยพลางค่อยๆ ตัดไหมไปด้วย หันไปอีกทีก็เห็นว่าเซวียนผิงโหวเอียงคอผล็อยหลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พอร่างกายเริ่มตอบสนองเล็กน้อง เซวียนผิงโหวค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมเปล่งเสียงอู้อี้ “…เจ้าว่าอะไรนะ”

“ไม่มีอะไรแล้วขอรับ ตัดไหมเสร็จเรียบร้อย ต่อไปจะฉีดยาให้นะขอรับ”

เซวียนผิงโหวเหลือบมองขวดและเข็มฉีดยาหนึ่งที ก่อนจะหลับต่อ

หมอซ่งรัดสายยางที่เหนือแขนให้เขา พลางพึมพำ “นี่ขนาดครั้งแรกนะ แต่ดูไม่กลัวเลย…”

กว่าหมอซ่งจะออกจากห้องก็ปาเข้าไปกว่าครึ่งชั่วยาม

เซียวเหิงรออยู่ที่โถงทางเดิน

หมอซ่งเดินออกมาจากในห้องพร้อมกล่องยา “ใต้เท้าเซียว”

“เป็นอย่างไรบ้าง” เซียวเหิงถามหมอซ่ง

“หลับไปแล้วล่ะ บาดแผลทั้งหมดบนร่างกายของเขาได้รับการดูแลแล้ว พูดตามตรง บาดแผลที่บริเวณหลังของเขานั้นเป็นรอยยาวมาก ส่วนบริเวณขาขวาก็เป็นรอยแผลลึกพอสมควร”

พอได้เห็นหมอซ่งทำท่าทางประกอบความยาวและความลึกของรอยแผล เซียวเหิงถึงกับขมวดคิ้วแน่นทันที

หมอซ่งถอนหายใจพลางเอ่ย “นี่เขาไม่รักตัวกลัวตายบ้างเลยรึ ถ้าบาดเจ็บก็ควรดูแลพักฟื้นให้ดี ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงรีบกลับมาขนาดนี้”

หมอซ่งไม่รู้เรื่องของพวกแคว้นเยี่ยน

เซียวเหิงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ หลายความคิดเข้ามาในหัวของเขา “แล้วสามารถรักษาให้หายได้ไหม”

“รักษาน่ะพอได้ แต่หลังจากนี้จะมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นไหมก็ไม่รู้” หมอซ่งตอบตามความจริง

สงสัยคงต้องรอให้เจียวเจียวตื่นก่อน แล้วค่อยถามนางถึงวิธีรักษา

แม้ที่นี่จะเป็นเรือนขององค์หญิง ทว่าในเมื่อเซวียนผิงโหวบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เซียวเหิงไม่บังอาจที่จะเข้าไปปลุกเข้ากะทันหันแล้วพาเขาออกไป

เซียวเหิงจึงเดินเข้าไปในห้อง

ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะส่องไฟสลัวทั่วห้อง ที่ข้างเตียงมีขวดน้ำเกลือแขวนอยู่

บางที อาจมีแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เขาไม่ต้องวางมาดต่อหน้าคนอื่น เผยให้เห็นความซีดเซียวและเหนื่อยล้าของผู้ป่วยคนหนึ่ง

ในความเป็นจริง อาการบาดเจ็บของเขาเกิดขึ้นตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขามักจะแสดงให้คนอื่นเห็นแต่ด้านที่แข็งแกร่งเท่านั้น ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกถึงความเปราะบางของเขา

เซียวเหิงรู้ตัวดีว่าไม่ได้เติบโตมาในแบบที่เขาอยากให้เป็น เขาต้องการลูกชายที่สามารถสืบทอดอำนาจของเขา ลูกชายที่สามารถติดตามเขาไปยังสนามรบ และลูกชายที่สามารถทำให้เขาภูมิใจ

แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่ได้รับพรสวรรค์ตั้งแต่อายุยังน้อย ตัวตนที่กลายมาเป็นจี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียนเมื่อยังเยาว์วัย หรือตัวตนที่ปีนขึ้นมาจากหล่มทีละขั้นแล้วค่อยๆ ผงาดขึ้นในราชสำนัก ก็ยังไม่พอที่จะทำให้เขาภูมิใจและพึงพอใจได้

ช่วงฟ้าสาง องค์หญิงซิ่นหยางเดินทางกลับมาที่เรือน

เดิมควรกลับมาให้เร็วกว่านี้ แต่ระหว่างทางดันเจอกับฝนห่าใหญ่ มีดินถล่มบนทางทำให้พวกเขาแทบไปไหนไม่ได้เกือบทั้งคืน

สิ่งแรกที่องค์หญิงทำหลังจากกลับมาคือเข้าไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

ทันทีที่องค์หญิงเข้าไปข้างในก็เจอกับสาวใช้คนหนึ่งออกมาจากห้องของเซียวเหิงพร้อมกับกะละมังที่เต็มไปด้วยเลือด!

แล้วเรื่องที่นางกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น!

อาเหิงถูกพวกแคว้นเยี่ยนเล่นงานเข้าแล้วสิ!

“อาเหิง!”

คนเป็นแม่ ต่อให้ควรวางสงบนิ่งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถนิ่งเฉยเมื่อรู้ว่าคนเป็นลูกกำลังมีภัย องค์หญิงซิ่นหยางเข่าอ่อนจนเกือบจะเซล้ม ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องแล้วหยุดอยู่ตรงที่ข้างเตียง

ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นยา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

องค์หญิงคว้าไหล่ทั้งสองข้างของร่างบนเตียง จมูกของนางเริ่มแสบและอู้อี้

“อา…”

ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ องค์หญิงรู้สึกได้ว่ามีฝ่ามือใหญ่แตะที่หัวของนางอย่างช้าๆ

การกระทำนี้ทำให้นางประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง

หนึ่งคือเซียวเหิงยังไม่ตายถึงได้ขยับตัวได้ สองคือ…เหตุใดเซียวเหิงถึงต้องลูบหัวของนางด้วย

องค์หญิงซิ่นหยางเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา เพียงแวบเดียว นางก็ลุกขึ้นพรวดทันที!

“ซะ เซียว เซียว เซียว…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”

นางตกใจจนเผลอพูดติดอ่าง!

เซวียนผิงโหวขมวดคิ้วด้วยความงัวเงียเล็กน้อยที่ถูกปลุก เขาค่อยๆ ดึงมือที่แตะศีรษะขององค์หญิงซินหยางออกช้าๆ แล้วมากดที่หว่างคิ้วของตัวเอง

ก่อนจะขยี้ตาแล้วจ้องเขม็งไปที่คนตรงหน้า “ฉินเฟิงหว่านรึ”

————————————–