บทที่ 598.1 ความลับของซิ่นหยาง
นี่มันน่าอายเป็นบ้า
คนที่รู้สึกแบบนั้นคือองค์หญิงซิ่นหยาง มนุษย์หน้าหนาอย่างเซวียนผิงโหวไม่มีทางมีความรู้สึกเช่นนั้นหรอก
เขาทำได้เพียงอ้ำอึ้ง
เมื่อเห็นหยดน้ำตาที่ค้างอยู่บนใบหน้าขององค์หญิง เซวียนผิงโหวก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก “ข้ายังไม่ตายสักหน่อย ต้องร้องขนาดนี้เลยรึ”
นั่นใช่ประเด็นรึ
คนอย่างองค์หญิงซิ่นหยางฉินเฟิงหว่านไม่มีทางเสียน้ำตาให้คนอย่างเซวียนผิงโหวเด็ดขาด!
อีกอย่าง เมื่อครู่ที่เรียกนางว่า ‘ฉินเฟิงหว่าน’ ด้วยท่าทีลังเลแบบนั้นมันหมายความเช่นไรกัน
บังอาจเรียกชื่อข้าอย่างคุ้นเคยเชียวรึ
องค์หญิงซิ่นหยางถึงกับไปไม่ถูก
“มาที่นี่ได้อย่างไร กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่รู้เรื่องปฏิบัติการของพวกเขาเมื่อคืน
“เจ้าลูกชายเป็นคนพาข้ากลับมาน่ะสิ” เซวียนผิงโหวเอ่ยเต็มอก
ขณะที่เซวียนผิงโหวกล่าวถึงเซียวเหิงน้ำเสียงของเขาฟังดูเบาสบาย นั่นหมายความว่าเซียวเหิงไม่ได้เป็นอะไร แปลว่ากลิ่นยาที่คลุ้งทั่วห้องรวมถึงกะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำและเลือดดูท่าคงเป็นของเซวียนผิงโหว
พอได้รู้ดังนั้น องค์หญิงก็ถอนหายใจโล่ง
ดีแล้วที่เซียวเหิงไม่เป็นอะไร
ส่วนตานี่ ช่างหัวปะไร!
องค์หญิงรีบเช็ดน้ำตาแล้วเชิดคางขึ้นราวกับนกยูงรำแพน “ถ้าหายดีแล้วก็รีบกลับจวนของท่านไปเสีย”
เซวียนผิงโหวมองสตรีที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางประหลาดใจ “ฉินเฟิงหว่าน เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่เมื่อครู่แทบจะโผเข้ากอดข้า เจ้าเลิกฉวยโอกาสข้าแล้วทำเหมือนรังเกียจข้าแบบนี้ทุกครั้งได้ไหม”
องค์หญิงซิ่นหยางถลึงตาใส่ “ข้า…”
เซวียนผิงโหวทอดถอนใจ “ตอนเจ้าเป็นแบบนี้ช่วงที่เข้าเรือนหอใหม่ๆ ข้าก็ไม่ได้ติดใจอะไร เจ้าบอกเจ้ากินยาผิดขวด ข้าก็เชื่อเจ้า วันนี้เจ้าคงไม่ได้กินยาผิดขวดอีกใช่ไหม”
องค์หญิงซิ่นหยางโต้กลับ “ก็เจ้านอนบนเตียงของอาเหิง ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นอาเหิงน่ะสิ!”
เซวียนผิงโหวยกมือเกาหัวตัวเอง ก่อนจะหันไปมององค์หญิงพร้อมกับครุ่นคิดว่าที่นางเอ่ยนั้นจริงหรือไม่
สักพัก เขาก็ตอบกลับ “ข้าไม่เชื่อหรอก”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…!!”
ความหน้าด้านของชายคนนี้หาได้หายไปไม่ องค์หญิงซิ่นหยางได้แต่คิดว่าหากต่อล้อต่อเถียงกันแบบนี้ต่อไป คนที่จะกลายเป็นบ้าไปก่อนต้องไม่ใช่ตานี่แน่ๆ
นางไม่เอ่ยอะไรต่อ ก่อนจะเดินออกไป
ขณะเดียวกัน เซียวเหิงที่กำลังออกมาจากห้องของกู้เจียวเตรียมจะให้มาช่วยดูอาการของเซวียนผิงโหว พอเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก ถึงกับรีบม้วนตัวกลับไปในห้องกู้เจียว
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
องค์หญิงซิ่นหยางสั่งลูกชาย
ร่างของเซียวเหิงสั่นเล็กน้อย ก่อนพากู้เจียวกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูให้
กู้เจียวโผล่หัวออกมาจากช่องประตูแง้ม “เกิดอะไรขึ้นรึ”
เซียวเหิงรีบเอาตัวบังนาง พร้อมกระซิบ “รีบเข้าไปเร็ว!”
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง “อ้อ”
หลังจากปิดประตูไล่หลังให้กู้เจียว เซียวเหิงก็รีบหันมายิ้มกลบเกลื่อนให้สตรีผู้เป็นมารดาของเขา “ท่านแม่ อรุณสวัสดิ์”
องค์หญิงซิ่นหยางรีบเข้าประเด็น “มาอรุณสวัสดิ์อะไรกัน รีบเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
เซียวเหิงจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้นางฟัง “…เขาเจ็บหนักมาก ก็เลยพาเขากลับมาให้เจียวเจียวลองช่วยดูอาการให้”
องค์หญิงตอบเสียงแข็ง “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไยเจ้าถึงไม่บอกกับข้าตั้งแต่แรก แถมร่วมมือกับพ่อของเจ้าอีกด้วยนะ!”
เซียวเหิงคิดในใจ เรื่องแค่นี้ยังอิจฉาอีกรึ
พวกเขาต้องสร้างสถานการณ์ให้แนบเนียนที่สุด คนรู้น้อยยิ่งได้เปรียบ ยิ่งทำให้ราชครูจวงกับพวกแคว้นเยี่ยนติดกับได้ง่ายขึ้น
“โกรธข้าขนาดนั้นเลยหรือ”
“ข้าไม่ได้โกรธเจ้า ข้าแค่…”
เซียวเหิงตั้งตารอว่านางจะตอบเขาว่าอะไร
แต่นางกลับไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งนั้น
ก็มันยากนี่นา
พอคิดถึงตอนที่นางร้องห่มร้องไห้เข้าไปกอดร่างของเซียวจี่ แทบอยากจะเอาก้อนอิฐมาทุบหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด!
“จริงๆ เลย!”
ใบหน้าองค์หญิงซิ่นหยางแดงก่ำ จากนั้นเดินปึงปังออกไป
เซียวเหิงที่ยืนมองก็ยกมือลูบคางพลางเอ่ย “ท่าทีแบบนี้มัน…อะไรกันนี่”
…
จากความบานปลายของเหตุการณ์เมื่อคืน เรื่องที่เซวียนผิงโหวนำทัพหน้ากากผีกลับเมืองหลวงจึงได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งเมือง เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นความลับ ขนาดตอนช่วงสงครามเกาะใต้ยังไม่เป็นข่าวขนาดนี้
ฮ่องเต้มีคำสั่งให้เซวียนผิงโหวเข้าวัง ด้วยความที่องค์หญิงซิ่นหยางรักษาการณ์เป็นผู้คุมแคว้น อีกทั้งนางยังเป็นภรรยาของเซวียนผิงโหว ทั้งคู่จึงถูกเรียกตัวเข้าไปยังตำหนักฮว๋าชิงพร้อมกัน
เซวียนผิงโหวต้องนั่งรถเข็น นี่เป็นคำสั่งของแพทย์ที่เขาต้องทำตาม
รถม้าที่เรือนเหลือแค่คันเดียว เพราะอีกคันถูกใช้ออกไปแล้ว สภาพของเซวียนผิงโหวตอนนี้ยังไม่สามารถขี่ม้าได้ จึงต้องนั่งไปกับองค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงสั่งให้อวี้จิ่นเข้ามานั่งด้านในด้วย “เปิดหน้าต่างให้หมดทุกบาน ผ้าม่านด้วย”
เซวียนผิงโหวเหลือบมองนางไปหนึ่งที แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
พอลงจากรถม้า เซวียนผิงโหวก็เอ่ยกับนาง “ฉังจิ่งยังไม่กลับมา รบกวนช่วยข้าเข็นทีได้ไหม”
มีหรือองค์หญิงซิ่นหยางจะช่วย นางให้ขันทีมาช่วยเขาแทน
เซวียนผิงโหวรายงานเรื่องเกาะใต้ก่อน กลุ่มโจรสลัดถูกกำจัดเป็นที่เรียบร้อย ไม่เพียงเท่านั้น เซวียนผิงโหวทำสงครามบนทะเลจนแคว้นเจาได้พื้นที่เหนือมหาสมุทรเพิ่มขึ้นอีกกว่าร้อยลี้
บัดนี้เกาะเฝ่ยชุ่ยซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ไกลสุดในทางตอนใต้กำลังรอธงของแคว้นเจาไปประดับ
นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ว่ากันตามตรง ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ยังเคยบ่นกับเว่ยกงกงอยู่ว่าเหตุใดสงครามใต้ถึงได้ยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น ใครเล่าจะรู้ว่าเซวียนผิงโหวเล่นยึดเกาะมาเป็นเมืองขึ้นของแคว้นเจา
ฮ่องเต้สามารถนึกภาพตามได้ด้วยซ้ำว่าลีลาการรบของเซวียนผิงโหวจะออกมาหน้าตาแบบไหน เขาคงถือดาบเล่มใหญ่ ยืนด้วยขาข้างเดียว และหันหน้าไปทางชาวประมง ‘ยอมแพ้เสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!’
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กวาดพระเนตรไปทางเซวียนผิงโหวและองค์หญิงซิ่นหยางหนึ่งรอบ “ว่าแต่ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้เข้ามาพร้อมกัน”
เซวียนผิงโหวตอบกลับในทันทีอย่างไร้กังวล “อ้อ เมื่อคืนกระหม่อมพักที่เรือนขององค์หญิง”
ทุกคนต่างพากันตะลึง
นี่เขา นอนกับ องค์หญิง หรือว่าพวกเขาสองคนจะ…
ทันใดนั้นองค์หญิงซิ่นหยางรีบเบี่ยงประเด็น “ฝ่าบาท! ราชครูจวงสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นเยี่ยนเพคะ!”
“เป็นความจริงรึ”
ความผิดของราชครูจวงมีหลายกระทง ให้ร่ายสามวันสามคืนคงพูดไม่หมด โชคดีที่เซียวเหิงได้บันทึกวีรกรรมของเขาลงสมุดบัญชี องค์หญิงซิ่นหยางยื่นให้ฮ่องเต้ในทันที
ฮ่องเต้รู้เรื่องตัวตนแท้จริงของเซียวลิ่วหลังจากเซียวฮองเฮา มารดาของเซียวเหิงเป็นบ่าวของแคว้นเยี่ยน แต่หากดูจากพฤติการณ์ที่พวกแคว้นเยี่ยนตามล่าตัวเซียวเหิงแล้วต้องมีเงื่อนงำอะไรเกี่ยวกับตัวตนของบ่าวคนนั้นอย่างแน่นอน
“แล้วนายพลหนานกงที่มีนามว่าหนานกงลี่คนนั้นไปไหนเสียแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“ฉังจิ่งกำลังออกตามล่าเขาพ่ะย่ะค่ะ ส่วนลูกสมุนของเขาอยู่ในการคุ้มกันของพวกเราแล้ว ฝ่าบาทต้องการจะสอบสวนพวกมันเอง หรือจะให้กระหม่อมทำให้พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าลงมือสอบสวนไปเลย” ฮ่องเต้ตอบ
เซวียนผิงโหวพยักหน้า ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ พลางเอ่ย “อาเหิงบอกให้ไว้ชีวิตราชครูจวงไว้พ่ะย่ะค่ะ”
ความผิดที่ราชครูจวงได้กระทำต่อให้รับโทษประหารร้อยครั้งก็ไม่พอชดใช้ ในเมื่อเซวียนผิงโหวเสนอเช่นนี้ ฮ่องเต้ย่อมต้องไว้หน้าเขา
**************************************