หลงถิงเฟยตกใจ ไม่ทันสนใจแต่งเนื้อแต่งตัวก็เดินออกมาจากห้องนอน มองปราดเดียวก็เห็นต้วนอู๋ตี๋ในชุดทหารยืนอยู่ตีนบันได สีหน้าเคร่งขรึมทว่าใบหน้าซีดเผือด หลงถิงเฟยรีบก้าวเข้าไปหาแล้วเอ่ยอย่างรีบร้อน “อู๋ตี๋ ท่านมาทำอันใด อาการบาดเจ็บของท่านยังมิหายดี”
หลังจากนั้นเขาจึงตำหนิองครักษ์ว่า “พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าแม่ทัพต้วนต้องพิษบาดเจ็บ เหตุใดมิเชิญเขาไปพักในโถงบุปผาด้านข้าง ช่างเป็นตัวไร้ประโยชน์จริงๆ”
องครักษ์ทั้งหลายเงียบกริบดั่งจักจั่นเหมันต์ งึมงำมิกล้าแก้ตัว ต้วนอู๋ตี๋กลับเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “แม่ทัพใหญ่อย่าได้ตำหนิพวกเขา ข้ายืนกรานจะรอที่นี่เอง”
หลงถิงเฟยเอ่ยอย่างละอายใจ “อู๋ตี๋ ข้าผิดเองที่เมามายจนเสียงานการ ขออภัยท่านด้วย เร็ว รีบไปนั่งในห้องข้า”
ดวงตาของต้วนอู๋ตี๋ทอประกายวูบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องต้องการหารือกับแม่ทัพใหญ่”
หลงถิงเฟยเดินนำต้วนอู๋ตี๋เข้าไปในห้องนอนด้วยตนเอง จากนั้นไล่องครักษ์ออกไป เขาล้างหน้าอย่างลวกๆ สองครั้งก็เอ่ยว่า “อู๋ตี๋ ท่านมีเรื่องใดก็กล่าวมาเถิด”
ต้วนอู๋ตี๋ลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “วันนี้ข้าเดินทางมารายงานสถานการณ์กองทัพกับแม่ทัพใหญ่ แต่แม่ทัพใหญ่กลับมิปรากฏตัว ข้าถามองครักษ์จึงทราบว่าแม่ทัพใหญ่เมามายอยู่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเดินทางมาตักเตือนด้วยใจจริง ยามนี้เป่ยฮั่นของพวกเรากำลังเผชิญวิกฤติ แม่ทัพใหญ่เป็นหลักยึดและขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร เหตุใดจึงติดสุราจนละเลยหน้าที่ เวลาเช่นนี้หากเล่าลือออกไป ไยมิทำให้ผู้คนผิดหวัง ข้ากล่าววาจาโอหัง ขอแม่ทัพใหญ่อย่าได้ตำหนิ”
หลงถิงเฟยหน้าแดงแล้วนั่งลงอย่างหดหู่ “อู๋ตี๋ ท่านเป็นคนสนิทของข้า ข้ามิปิดบังท่าน สถานการณ์ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าไร้กำลังอย่างแท้จริง กล่าวถึงกำลังทหาร ต้ายงมีมากกว่าฝั่งเราหลายเท่า กล่างถึงเงินทองและเสบียง ต้ายงก็ทำศึกได้นานหลายเดือน หรือเป็นปี แต่ฝั่งเราหากทำศึกสักสองสามเดือนก็น่ากลัวว่าเสบียงคงหมดสิ้นแล้ว
หากกล่าวถึงแม่ทัพ ต้ายงเลือกแม่ทัพออกมาสักคนก็ล้วนเป็นแม่ทัพผู้โด่งดัง แต่แม่ทัพที่ข้าไว้ใจที่สุดคนที่ตายก็ตาย คนที่ทรยศก็ทรยศ แม้แต่ท่านก็ต้องพิษบาดเจ็บ ข้ายืนหยัดมิไหวแล้วจริงๆ ต้ายงมีหลี่จื้อเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา หลี่เสี่ยนยอดแม่ทัพ แล้วยังมีเจียงเจ๋อเสนาธิการเช่นนั้นอีก แรงกดดันบนตัวข้า ท่านเข้าใจหรือไม่”
ต้วนอู๋ตี๋เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “แม่ทัพใหญ่ยอมเผยใจจริงต่ออู๋ตี๋ ถ้าเช่นนั้นอู๋ตี๋ก็มิกล้าปิดบัง สถานการณ์ลำบากของกองทัพเรา อู๋ตี๋ไยมิใช่รู้อยู่แก่ใจ แต่มิว่าจะเป็นเช่นไร แม่ทัพใหญ่ก็มิอาจแสดงความคิดเช่นนี้ออกมาได้ ยามนี้ในกองทัพ นอกจากแม่ทัพใหญ่แล้ว มิมีผู้ใดคงขวัญกำลังใจของเหล่าทหารในกองทัพได้อีก หากแม่ทัพใหญ่ยังยอมแพ้ ถ้าเช่นนั้นจะให้แม่ทัพใต้บัญชามีความเชื่อมั่นได้เช่นไร แม่ทัพใหญ่ หากท่านมีความคิดเช่นนี้ มิสู้พวกเรามิต้องรบจะดีกว่า ทหารทั้งหลายจะได้มิต้องตายอย่างเสียเปล่า”
หลงถิงเฟยถูกวาจาของต้วนอู๋ตี๋ตำหนิจนหน้าแดงหูแดง เขามองต้วนอู๋ตี๋ผู้ใบหน้าซีดเผือด บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดพราย ยามนี้ต้วนอู๋ตี๋แบกรับชื่อเสียงมัวหมองและความผิดไว้กับตัว ยามอยู่ในกองทัพจึงประสบความยากลำบากเช่นกัน ลูกน้องของสืออิงไม่ให้อภัยเขา พลทหารระดับล่างมากมายก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเสียสละ แต่เขากลับยังคงหนักแน่นมิเปลี่ยนแปร
หลงถิงเฟยมองต้วนอู๋ตี๋ผู้เป็นเช่นนี้ หัวใจพลันค่อยๆ เกิดความฮึกเหิม หากทหารในกองทัพเป่ยฮั่นล้วนกล้าหาญเช่นนี้ ต่อให้ต้ายงแข็งแกร่งอีกเท่าใดแล้วจะทำอันใดได้ หลงถิงเฟยคำนับต้วนอู๋ตี๋อย่างนับถือ ต้วนอู๋ตี๋รีบหลบเลี่ยง หลงถิงเฟยเอ่ยเสียงดังว่า “ถ้อยคำจริงใจของแม่ทัพต้วน ถิงเฟยจักจดจำไว้ แม้นกายแหลกเป็นผุยผง ข้าก็จะมิทดท้อหดหู่เช่นนี้อีก”
ต้วนอู๋ตี๋เห็นหลงถิงเฟยเรียกท่าทางอย่างในวันวานกลับมาได้แล้ว ในใจพลันยินดี กล่าวว่า “กลศึกแม่ทัพใหญ่มิมีผู้ใดเทียม ชิ่นโจวของพวกเราป้องกันง่ายบุกตียาก แม่ทัพใหญ่มิจำเป็นต้องกังวลมากเกินไป”
หลงถิงเฟยเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้แล้วจึงตอบว่า “แม่ทัพต้วนวางใจเถิด หากถิงเฟยมิสิ้นใจในสนามรบ จักมิยอมให้กองทัพต้ายงตีชิ่นโจวได้เป็นอันขาด”
ต้วนอู๋ตี๋มองหลงถิงเฟยผู้เต็มไปด้วยความฮึกเหิมแล้วจึงวางใจ เอ่ยขึ้นว่า “เชิญแม่ทัพใหญ่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน ข้าขอตัว”
หลงถิงเฟยคลี่ยิ้ม “ท่านรอข้าสักประเดี๋ยว เห็นท่านลุกจากเตียงได้แล้ว มีบางเรื่องข้าต้องหารือกับท่านสักหน่อย หากทนมิไหวก็พักอยู่จวนของข้า ให้ท่านนอนรักษาตัวอยู่เฉยๆ ออกจะน่าเสียดายเกินไป”
ต้วนอู๋ตี๋รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ขานตอบว่า “ผู้น้อยรับบัญชา”
ในเวลาเดียวกัน ภายในวัดเก่าแห่งหนึ่งที่ชานเมืองตะวันออกของหนานเจิ้ง หลี่คังยืนอยู่ในอารามหลัก มองพระพุทธรูปผู้เคร่งขรึมแล้วตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด
แม้ยังมิถึงเดือนสอง ฉางอันยังคงหนาวเย็นอย่างยิ่ง แต่หนานเจิ้งกลับอบอุ่นกว่าฉางอันมาก ตงชวนเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ยามอยู่ที่นี่ หลี่คังกล่าวได้ว่าใช้มือเดียวปิดท้องฟ้าได้ มิหนำซ้ำยามนี้เขากวาดล้างสายลับและแม่ทัพที่ราชสำนักส่งมาจนหมดสิ้น ยิ่งมิมีผู้ใดขัดขวางอีก ตามหลักแล้วหลี่คังสมควรเบิกบานใจและลำพองอย่างยิ่งจึงจะถูก แต่ในหัวใจหลี่คังกลับมีเพียงเพลิงโทสะร้อนแรงแผดเผา
เมื่อครู่นี้เอง ราชโองการของหลี่จื้อจักรพรรดิแห่งต้ายงเพิ่งเดินทางมาถึง ทว่ามิใช่ขุนนางในราชสำนักนำมา แต่หลี่คังส่งลูกน้องที่ใช้การได้ปลอมตัวเป็นโจรภูเขาสังหารขุนนางผู้อัญเชิญราชโองการก่อนเข้าเขตตงชวนแล้วนำราชโองการกลับมา
ราชโองการสั่งให้เขาปกปักษ์ด่านจยาเหมิงอย่างเข้มงวด ห้ามหย่อนยาน หลังจากเห็นราชโองการ หลี่คังเดิมทีสมควรดีใจ เพราะเมื่อดูเช่นนี้ ราชสำนักคงยังมิทราบเรื่องที่ตงชวนถูกเขาควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ว่าหลี่คังกลับโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง หลี่จื้ออาศัยอันใดมาสั่งเขาให้ทำนู่นทำนี่
หลี่คังคิดมาเสมอว่าตนเองโชคร้ายเพราะชาติกำเนิดต่ำต้อย ตั้งแต่เล็กจึงมิได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ นอกจากเสด็จแม่แล้ว หลี่คังมิเคยได้รับความรู้สึกอบอุ่นอื่นใด หลายครั้งเขาต้องเบิ่งตามองหลี่อัน หลี่จื้อ หรือแม้แต่หลี่เสี่ยนกับหลี่เจินออดอ้อนเอาแต่ใจต่อหน้าเสด็จพ่อ
ทว่าเขาเป็นองค์ชายสามแท้ๆ แต่เพราะมารดาเป็นเพียงสนมตำแหน่งต่ำต้อยคนหนึ่งจึงมิกล้าเข้าไป หากเพียงเท่านี้หลี่คังอาจยังฝืนทนได้ แต่เสด็จแม่ คนเพียงคนเดียวที่รักตนกลับถูกหญิงแพศยาจี้เสียคนนั้นทำร้ายจนตาย ขณะที่เสด็จพ่อกลับทำเพียงเลื่อนยศให้นางหลังสิ้นใจ ด้วยความโกรธ หลี่คังจึงหนีออกจากพระราชวัง
ทว่าหลังหลบหนีจากพระราชวัง หลี่คังจึงได้รู้ว่าที่แท้ชีวิตของตนเองเป็นความปรารถนาแม้แต่ในยามฝันของผู้คนมากมาย องค์ชายผู้มิเข้าใจสิ่งใดสักสิ่งใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยสงครามจะง่ายดายดังพูดได้เช่นไร หลายครั้งที่ถูกคนเหยียดหยามทุบตี หลายครั้งหิวจนท้องร้องโครกคราก
เขาอาศัยวิชายุทธ์กับหัวใจอันเด็ดเดี่ยวจนในที่สุดจึงเอาชีวิตรอดมาได้ แต่การแก้แค้นกลับเป็นเรื่องห่างไกลเกินเอื้อมถึง หลายครั้งที่เขาอดทนต่อความยากลำบากในโลกภายนอกมิไหวจนอยากจะยอมแพ้กลับพระราชวัง แต่สุดท้ายภาพยามก่อนสิ้นใจของเสด็จแม่ก็ทำให้เขายืนหยัดต่อ จนกระทั่งเขาพบกับคนลึกลับที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของตนผู้นั้น หลี่คังรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าสวรรค์มิได้ใจร้ายกับตนนัก หลังจากนั้นเขาได้ฝึกปรือวิทยายุทธ์อันลึกล้ำแล้วหวนกลับไปลอบสังหารจี้เสีย แต่สุดท้ายก็พลาดท่าถูกจับกุม
หากมิใช่เจิ้งเสียออกมาพูดให้ความเป็นธรรมด้วยใจยุติธรรม เกรงว่าเขา องค์ชายคนนี้คงถูกลงโทษจองจำในคุก หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด แต่หลี่หยวนกลับส่งเขาไปตงชวน มิมีราชโองการมิอาจกลับราชสำนัก การกระทำที่ฉากหน้าคือการเนรเทศแต่ความจริงเป็นการลอบปกป้องเช่นนี้กลับทำให้หลี่คังรู้สึกอยุติธรรมยิ่งกว่าเดิม ตนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์แท้ๆ แต่กลับให้ตนก้มหัวต่อสำนักเฟิงอี้ หลี่จื้อเองก็เป็นอริต่อสำนักเฟิงอี้อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งมิใช่หรือ แต่เพราะกองทัพใหญ่ของเขา ผู้ใดจะกล้าหาเรื่องเขาเล่า
หลี่คังกอดความรู้สึกเช่นนี้มาทุ่มเทกายใจดูแลกองทัพที่ตงชวน ในที่สุดก็ได้ครอบครองขุมกำลังขนาดไม่เล็กขุมหนึ่ง ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ หลี่คังกลับไม่มีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์แคว้นต้ายงแม้แต่น้อย เรื่องนี้เหมือนจะเป็นสิ่งที่จักรพรรดิ รัชทายาท ยงอ๋องและฉีอ๋องแทบจะเห็นพ้องต้องกัน ดังนั้นอำนาจของหลี่คังจึงมิอาจหาที่ยืนในนครหลวงต้ายง แม้แต่หลี่จื้อผู้อ่อนโยนที่สุดก็เคยเขียนสารห้ามปรามมิให้ตนเข้าไปยุ่งกับเรื่องในฉางอัน
ข้ามิใช่คนของราชวงศ์หรือไร ความอัปยศเช่นนี้ทำให้หลี่คังตัดสินใจแน่วแน่ว่าต่อให้ต้องโค่นล้มต้ายงก็จะมิปล่อยให้ผู้อื่นบงการและข่มเหงเช่นนี้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้หลี่คังจึงทำยิ่งกว่าสิ่งที่พรรคมารแห่งเป่ยฮั่นคาดการณ์เอาไว้ เขาตัดสินใจก่อกบฏ ก้าวแรกของการก่อกบฏก็คือการกวาดล้างสายลับที่อยู่ข้างกาย