ภาค-5 ตอนที่ 17 เมฆครึ้มแผ่ปกคลุม (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หลี่คังใช้เวลาหลายปีในตงชวนสร้างขุมกำลังของตนเองขึ้นมาได้สำเร็จ คนของอดีตแคว้นสู่ขึ้นเรือลำเดียวกับตนเพื่อความหวังอันริบหรี่ในการฟื้นฟูแคว้น เมื่อรวมกับการสนับสนุนอย่างลับๆ ของพรรคมารจากเป่ยฮั่น ในที่สุดเขาก็กำจัดสายลับกับไส้ศึกที่อยู่ข้างกายได้หมดในคราเดียว คนเหล่านี้ถูกหลี่คังสอดส่องมานานแล้ว ยามนี้รวบจับครั้งเดียว ในที่สุดหลี่คังก็รู้สึกโล่งอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน

หลังจากนั้นเขาจึงเปลี่ยนแม่ทัพในกองทัพ เปลี่ยนขุนนาง แผนการหลายปีของหลี่คังในที่สุดก็ได้ดำเนินการ ตงชวนกลายเป็นตงชวนของเขาแต่ผู้เดียวแล้ว ขอเพียงหาโอกาสอันเหมาะสมได้สักครั้ง เขาก็จะกรีฑาทัพข้ามหุบเขาเสียกู่บุกตีฉางอัน ถึงเวลาราชสำนักต้ายงย่อมตกอยู่ในการควบคุมของตน แน่นอนว่าจังหวะที่จะยกทัพต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน ต้องรอจนกำลังทหารรอบฉางอันถูกหลี่จื้อโยกย้ายไปช่วยเหลือแนวหน้าทางเจ๋อโจวกับแถบจิงเซียงฉางเจียง ตนจึงจะบุกตีดั่งมีดสั้นเสียบตรงเข้าหัวใจของต้ายง

ในใจหลี่คังทราบดีว่าแม้ยามนี้ตนมีทหารนับแสนอยู่ในมือ แต่พลทหารเหล่านี้ถึงอย่างไรก็เป็นกองทัพของต้ายง หากราชสำนักต้ายงค้นพบการก่อกบฏของตนเอง ถ้าเช่นนั้นกองทหารกองนี้อาจถูกราชสำนักจับแยกกระจัดกระจาย หรือกล่อมให้ยอมจำนน ดังนั้นการตัดขาดการติดต่อระหว่างฉางอันกับตงชวน ซ่อนเร้นเรื่องที่ตนก่อกบฏ จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

หากต้องการบรรลุจุดประสงค์ของตน อาศัยกำลังของตนเพียงคนเดียวย่อมยากเย็นยิ่งนัก ถ้ามิได้การสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจแคว้นสู่ ตนก็คงจะล้มเหลวในก้าวสุดท้าย กลุ่มอำนาจของอดีตแคว้นสู่ นอกจากตระกูลใหญ่ในอดีตที่ต้องการฟื้นความรุ่งเรืองในวันวาน ก็ยังมีกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วที่ลอบต่อต้านต้ายงในเงามืดมาจวบจนวันนี้ นั่นเป็นขุมกำลังที่เขาต้องการชักชวนมาเป็นพวกมากที่สุด

หลังจากเจรจากันหลายครั้ง วันนี้ก็คือวันที่หัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะมาพบหน้าตน ความรอบคอบของฮั่วจี้เฉิงทำให้หลี่คังนึกนับถือยิ่งนัก เขาต้องติดต่อผ่านคนมากมายกว่าจะมาถึงสถานที่นัดพบของฮั่วจี้เฉิงแห่งนี้ เพื่อความปลอดภัย นอกจากเยี่ยเทียนซิ่วกับองครักษ์คนสนิทไม่กี่คน หลี่คังก็มิได้นำทหารมามากนัก เขาเชื่อว่าฝ่ายฮั่วจี้เฉิงก็จริงใจเช่นกัน ระยะนี้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วช่วยตนตัดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างฉางอันกับหนานเจิ้งอยู่ นี่ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจ

เมื่อตะวันใกล้พลบ ประตูของอารามหลังใหญ่ก็พลันเปิดออกเองโดยไร้สายลม คนชุดดำสองคนยืนอยู่หน้าประตู คนหนึ่งในนั้นคือเฉินเจิ่นที่พบหน้ากับชิ่งอ๋องมาหลายครั้งแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งสวมหมวกปีกกว้างบดบังแสงแดด ผ้าแพรสีเขียวทิ้งตัวลงมาจนมองไม่เห็นว่าหน้าตาเช่นไร หลี่คังก้าวเข้าไปหาอย่างดีใจ “รองหัวหน้าเฉิน ท่านนี้ก็คือหัวหน้าฮั่วสินะ ข้าได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานแล้ว วันนี้ได้พบหน้า เป็นโชคดีที่สั่งสมมาสามชาติโดยแท้”

บุรุษอาภรณ์ดำผู้ปิดบังใบหน้าคนนั้นก้าวเข้ามาคำนับครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “องค์ชายเป็นผู้ให้เกียรติคนมีความสามารถ ผู้แซ่ฮั่วได้ยินพระนามมาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน ผู้แซ่ฮั่วไร้ความสามารถ ในใจมีเพียงความปรารถนาจะฟื้นฟูแว่นแคว้น หลายปีที่ผ่านมาวิ่งวุ่นแต่ไร้ผลสำเร็จ รู้สึกอับอายอย่างแท้จริง ได้ยินเฉินเจิ่นบอกว่าทายาทเจ้าแคว้นสู่ในจวนขององค์ชายได้รับการพิสูจน์แล้ว พระคุณขององค์ชาย ประชาชนแคว้นสู่มิว่าผู้ใดต่างซาบซึ้งน้ำตานอง วันนี้ผู้แซ่ฮั่วเดินทางมา นอกจากเพื่อมากล่าวขอบพระทัย ก็ต้องการหารือเรื่องการร่วมมือกันกับองค์ชายสักหน่อยด้วย”

หลี่คังตอบว่า “หัวหน้าฮั่วถ่อมตัวเกินไปแล้ว ในอดีตท่านลอบสังหารเจ้าแคว้นของหนานฉู่ เปิดโปงคดีกรมคลังของหลี่อัน แม้แต่สำนักเฟิงอี้ก็ยังถูกหัวหน้าฮั่วเล่นงานทางฝั่งยุทธภพอย่างหนัก ความดีความชอบมากมายเช่นนี้ ข้ามิกล้าลืมเลือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ลั่วหยาง วีรบุรุษหนุ่มบุตรบุญธรรมของหัวหน้าฮั่วอาศัยกำลังของคนเพียงคนเดียวทำให้ตระกูลใหญ่แห่งลั่วหยางสองแห่งแทบจะล้มครืน อิทธิพลของสำนักเฟิงอี้ในลั่วหยางจึงอ่อนลงถึงที่สุด เรื่องนี้ทำให้ข้าปรบมือด้วยความชื่นชม มิทราบว่าจะมีโอกาสได้พบวีรบุรุษหนุ่มผู้นี้บ้างหรือไม่”

บุรุษชุดดำหัวเราะเบาๆ “ลูกข้าก่อเรื่องวุ่นวายขายหน้าท่านอ๋องแล้ว ฮั่วหลีเป็นแม่ทัพคนสนิทคนโปรดของข้า แล้วก็เป็นบุตรบุญธรรมของข้าด้วย ข้าเอ็นดูเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ น่าเสียดายบุตรข้าทำภารกิจสำคัญอยู่มิอาจผละตัวมาได้ หากท่านอ๋องชื่นชอบคนหนุ่มกล้าหาญ ฮั่วอี้บุตรบุญธรรมอีกคนหนึ่งของข้าวรยุทธ์เป็นเลิศ ทำงานก็ไว้ใจได้ หากท่านอ๋องมิรังเกียจ ขออนุญาตให้เขาได้ทำงานรับใช้ท่านอ๋อง”

หลี่คังหัวเราะ “ได้สิ กลุ่มของท่านมีคนเก่งกล้ามากมาย ข้าอิจฉายิ่งนักจริงๆ ให้ฮั่วอี้มาเป็นองครักษ์คนสนิทข้างกายข้าก็แล้วกัน หากเก่งกาจมิธรรมดา ข้าย่อมใช้งานเขา หัวหน้าฮั่ว เรื่องการเป็นพันธมิตรของพวกเรา มิทราบท่านคิดเห็นเช่นไร”

บุรุษชุดดำเงียบงันครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ท่านอ๋องกล่าวไม่ผิด นี่จึงจะเป็นเรื่องสำคัญ จากที่ข้าเฝ้ามอง ท่านอ๋องแน่วแน่ในการก่อกบฏ ดังนั้นผู้แซ่ฮั่วจึงมิกลัวว่าจะเป็นกับดัก ตัดสินใจเดินทางมาหนานเจิ้งเพื่อพบหน้าท่านอ๋อง แต่ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็เป็นชินอ๋องแห่งต้ายง จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่าท่านอ๋องจะฟื้นฟูแผ่นดินแคว้นสู่ แม้ตัวตนของทายาทเจ้าแคว้นสู่มิมีปัญหา แต่เล่ห์กลใช้ผู้อื่นเป็นหุ่นเชิดก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ในอดีต ทรราชเซี่ยงอวี่ก็เคยสนับสนุนไหวอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ แต่สุดท้ายไหวอ๋องก็ตายในมือเซี่ยงอวี่มิใช่หรือ ท่านอ๋องจะเอาสิ่งใดมาทำให้ข้าเชื่อว่าแคว้นสู่จะฟื้นฟูแว่นแคว้นได้จริงๆ”

หลี่คังเตรียมตัวมาก่อนแล้ว เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะมิเอ่ยวาจายิ่งใหญ่อันใด เรื่องราวในโลกล้วนมิมีเรื่องดีเช่นนั้น ข้ายกพลทำศึกแต่ให้เด็กน้อยรับตำแหน่งเจ้าแคว้น อำนาจส่วนใหญ่ย่อมอยู่ในมือข้า การแต่งตั้งเจ้าแคว้นสู่เป็นเพียงม่านบังหน้าเพื่อให้ประชาชนแคว้นสู่สนับสนุนแผนการของข้าเท่านั้น

แต่ข้ารับปากได้ว่าจะไม่ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน ถึงอย่างไรหากไม่มีการสนับสนุนของคนแคว้นสู่ ข้าก็มิอาจยึดครองดินแดนทิศหนึ่งได้ ดังนั้นข้าจะคุ้มครองเชื้อพระวงศ์แคว้นสู่ให้ปลอดภัยแน่นอน บางทีข้าอาจเปลี่ยนมานับถือบรรพพบุรุษเจ้าแคว้นสู่แทนก็เป็นได้

ทว่าหากข้ากระทำการสำเร็จจริง ตำแหน่งเจ้าแคว้นสู่นี้ ข้าหมายมั่นแน่แล้ว สิ่งที่ทุกท่านต้องการคือเกียรติยศและความมั่งคั่ง ข้าหลี่คังจะมอบให้พวกท่านมิได้หรือ ท่านหัวหน้ามิใช่คนโง่เขลา ตำแหน่งเจ้าแคว้นสู่มิใช่สิ่งในครอบครองของตระกูลเขาเพียงผู้เดียวสักหน่อย”

แม้จะเห็นสีหน้าคนชุดดำผู้นั้นไม่ชัด แต่ก็เห็นร่างกายเขาสั่นเบาๆ จึงทราบว่าในใจเขาตื่นเต้นอยู่ ผ่านไปเนิ่นนานบุรุษชุดดำจึงกล่าวว่า “ท่านอ๋องกล่าวไม่ผิด ตำแหน่งเจ้าแคว้นสู่ ผู้มีความสามารถย่อมได้ครอบครอง ท่านอ๋องจำต้องพึ่งคนแคว้นสู่ ขอเพียงวางแผนการให้ถี่ถ้วน ยี่สิบปีหลังจากนี้คนแคว้นสู่ก็จะมองท่านอ๋องเป็นคนของตนเอง ท่านอ๋องบอกกล่าวจากใจจริงเช่นนี้ ผู้แซ่ฮั่วซาบซึ้งยิ่งนัก หากท่านอ๋องกล่าวว่ามิมีเจตนาใดแอบแฝง นั่นกลับจะทำให้ผู้แซ่ฮั่วดูแคลน ดี หากท่านอ๋องยอมรับปากเงื่อนไขหนึ่งของผู้แซ่ฮั่ว สัญญาพันธมิตรระหว่างข้ากับท่านก็จะบรรลุผลในวันนี้”

หลี่คังดีใจยิ่งนัก เขาพิเคราะห์มาอย่างละเอียดแล้วว่าหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วผู้ทำเรื่องน่าเหลือเชื่อนานัปการสำเร็จย่อมมิใช่ผู้หัวโบราณคร่ำครึ ดังนั้นเขาจึงคาดไว้แล้วว่าฮั่วจี้เฉิงจะไม่ยึดติดอยู่กับทายาทเจ้าแคว้นสู่ เมื่อเป็นดังคาด เขาจึงวางใจขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “หัวหน้าฮั่วเชิญพูด ขอเพียงสมเหตุสมผล ข้าจักรับปากแน่นอน”

บุรุษชุดดำเอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้าต้องการอำนาจ”

หลี่คังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตนต้องการเป็นพันธมิตรกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว อำนาจและความมั่งคั่งนี้ย่อมต้องมอบให้อยู่แล้ว เหตุไฉนฮั่วจี้เฉิงจึงต้องจงใจเอ่ยขึ้นมาอีก กำลังจะเป็นฝ่ายเปิดปากถาม บุรุษชุดดำก็โบกมือมิให้เขาพูด แล้วตอบเสียงดังกังวาน “สิ่งที่เรียกว่าอำนาจมีมากมายหลายชนิด แต่มีอำนาจเพียงสองชนิดเท่านั้นที่มิถูกแย่งชิงไปโดยง่าย นั่นคืออำนาจทหารกับอำนาจตรวจตรา เหตุที่อำนาจของจักรพรรดิสูงส่งเหนือผู้ใด นั่นก็เพราะราชวงศ์กุมอำนาจทหารที่กำราบได้ทุกสิ่งกับสายลับที่สอดส่องหมู่ขุนนางได้เอาไว้

พวกเรากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมิสนใจอำนาจทหาร และไม่มีความสามารถควบคุมสิ่งนั้น ดังนั้นข้าต้องการอำนาจในการลอบสอดส่องในที่ลับ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะเป็นหูตาและมือสังหารของท่านอ๋อง ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้น กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจึงจะเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของท่านอ๋อง หากท่านอ๋องมิยอมรับเงื่อนไขประการนี้ ถ้าเช่นนั้นกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็ไม่ขอร่วมมือกับท่านอ๋องเป็นเด็ดขาด”

หัวใจหลี่คังหนาวยะเยือกวูบหนึ่ง ฮั่วจี้เฉิงร้ายกาจจริงดังเล่าขาน แม้ใจเขาคิดจะกลืนขุมกำลังของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว แต่หากปล่อยให้พวกเขากุมอำนาจตรวจตรา ถ้าเช่นนั้นตนย่อมแยกจากพวกเขามิได้แล้ว

แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่หลี่คังครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าตนเห็นค่าความสามารถทางนี้ของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมิใช่หรือ ฮั่วจี้เฉิงก็เพียงต้องการอำนาจมากสักหน่อยก็เท่านั้น ถึงอย่างไรอำนาจทหารก็ยังอยู่ในมือตน ขอเพียงครองอำนาจทหารอยู่ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็ไม่มีค่าให้กลัว

มิหนำซ้ำเมื่อเป็นเช่นนี้สัญญาพันธมิตรของทั้งสองฝ่ายย่อมแข็งแกร่งมิอาจทำลาย เป้าหมายที่จะควบคุมประชาชนของแคว้นสู่อย่างสมบูรณ์ของตนก็จะกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ดังนั้นหลี่คังจึงยื่นฝ่ามือออกมาตอบว่า “กล่าวแล้วมิคืนคำ”

ดวงตาของบุรุษชุดดำฉายแววยินดีปรีดา ทั้งสองคนประสานฝ่ามือสาบาน สัญญาพันธมิตรบรรลุเรียบร้อย หลังจากแตะฝ่ามือแล้ว บุรุษชุดดำก็จะขอตัวลา เขากล่าวขึ้นว่า “ชื่อเสียงของข้าไม่ค่อยดีนัก ไม่ปรากฏตัวอย่างเปิดเผยจะดีกว่า ยามนี้ท่านอ๋องก็คงมิต้องการดึงความสนใจของผู้คนมากนัก เฉินเจิ่นเป็นคนสนิทของข้า ให้เขากับท่านอ๋องหารือรายละเอียดของการร่วมมือกันก็แล้วกัน”

ทันใดนั้นดวงตาของหลี่คังก็ทอประกายเย็นยะเยือก กล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้ก็ดี แต่ข้ามีคำขอเอาแต่ใจอยู่ข้อหนึ่ง ใจข้านับถือหัวหน้าฮั่วมานาน วันนี้ได้พบหน้า แต่หัวหน้าฮั่วกลับมิยอมเผยใบหน้าที่แท้จริง มิทราบว่าจะถอดหมวก พบหน้ากันอย่างเปิดเผยได้หรือไม่”

บุรุษชุดดำนิ่งเงียบ เฉินเจิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามาตลอด เวลานี้เหมือนจะขยับร่างเล็กน้อยอย่างไม่สบายใจ นอกประตูอาราม จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าไม่รีบไม่ร้อนดังขึ้น จิตสังหารเลือนรางเล็ดลอดเข้ามา ร่างของหลี่คังตระหง่านดั่งขุนเขา จิตสังหารเคล้ากลิ่นคาวเลือดทะลักออกมา เห็นชัดว่าหลี่คังมิใช่เพียงแม่ทัพคนหนึ่ง แต่เป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่สองมือเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดด้วย บรรยากาศในห้องโถงฉับพลันเย็นยะเยือก จิตสังหารซุ่มซ่อน