ตอนที่ 618 เต๋าและการตัดสินใจของหลี่ฉางโซ่ว (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 618 เต๋าและการตัดสินใจของหลี่ฉางโซ่ว (1)

จ๋อม!

เสียงหยดน้ำดังขึ้นอีกครั้ง และความว่างเปล่าก็หายวับไปในพริบตา

แสงสีทองสาดสว่างวาบต่อหน้าต่อตาของเขา และภาพฉากก็กลับกลายเป็นอยู่ภายในที่โอ่โถงกว้างขวางและงดงามของโถงใหญ่แห่งวังเซิ่งหมู่

หลี่ฉางโซ่วส่ายสะบัดร่างกายที่แข็งทื่อของเขา และดวงตาที่ว่างเปล่ามึนงงของเขาก็ได้สติกลับมามีสมาธิจดจ่อได้อย่างรวดเร็ว แล้วปราณวิญญาณของเขาก็ส่ายศีรษะเบาๆ ในร่างกายของเขา

“เอ๋?”

เจดีย์เสวียนหวงสั่นสะเทือนและส่งเจตจำนงวิญญาณที่พิศวงงงงวยออกมา

ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอย่างแน่นอน เขาหันศีรษะไปมองหลี่ฉางโซ่ว จากนั้นก็มองไปที่พระมารดาศักดิสิทธิ์ที่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่บนบัลลังก์

ระดับฐานพลังของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้น อยู่ห่างไปไม่ไกลจากขอบเขตปราชญ์ ดังนั้น แน่นอนว่า เขาย่อมสามารถเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากของพระมารดาศักดิ์สิทธิ์ และจับภาพอักขระเต๋าที่คลุมเครือซึ่งแวบผ่านและหายวับไปอย่างรวดเร็วได้

ดูเหมือนว่า จะมีบางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้น…

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและไม่เอ่ยอันใดอีก เขาเพียงแค่เล่นกับไข่มุกในกล่องผ้าเท่านั้น

มันเป็นไข่มุกเซียนเทียนที่ไม่มีจิตวิญญาณหรือพลังมากนัก แทนที่จะปรับแต่งมันให้เป็นเครื่องมือเวทประเภทอาวุธลับ

มันย่อมจะดีกว่าที่จะทำความเข้าใจถึงอาคมของอักขระเต๋าใหญ่ที่ยังคงเหลือค้างอยู่บนนั้น บางที เขาอาจจะสามารถเข้าใจพลังเวทเล็กๆ บางอย่างได้

มันเป็นเครื่องประดับเล็กๆ ระดับเซียนเทียนจริงๆ

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วยังคงถือกล่องผ้าอยู่ และเขาเพิ่งวางมันลงอย่างระมัดระวัง

แน่นอนว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ย่อมมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ ‘รุนแรง’ อย่างชัดเจนในสีหน้าท่าทีของเขาที่เพียงเพิ่งเกิดขึ้นในตอนนี้

จากนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ยกมือขึ้นเพื่อหยิบกล่องผ้าของหลี่ฉางโซ่ว แล้วเขาก็เปิดมันขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

“ขอเสียมารยาทที่เข้าไปยุ่มย่าม เดี๋ยวข้าจะช่วยน้องชายดูให้”

“ศิษย์พี่…”

ในเวลานี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของหลี่ฉางโซ่วช้าลงเล็กน้อย และเมื่อเขาต้องการจะหยุดปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ มันก็สายเกินไปแล้ว

ในชั่วพริบตา แสงสมบัติล้ำค่าก็เปล่งแสงสว่างหลั่งล้นไปทั่วบริเวณโดยรอบ มันราวกับเขื่อนแตก และทันใดนั้น ดวงดาวก็พวยพุ่งออกมาทีละดวง และเสียงระฆังที่คมชัดก็ดังขึ้นมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด

บนบัลลังก์นั้น จอมปราชญ์หนี่วาได้เอนร่างของนางไป และกดนิ้วเรียวเอาไว้ที่หางตาของนาง ในขณะนั้น ดวงตาหงส์ของนางฉายแววแย้มยิ้มและดูภาพเหตุการณ์นั้นอย่างสนใจยิ่ง

เมื่อแสงสมบัติสงบลงเล็กน้อย ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็มองไปยังไข่มุกที่กระแทกเข้ากับหน้าอกของเขา แล้วกระจัดกระจายไปทั่วโต๊ะเตี้ย ทันใดนั้นหน้าผากของเขาก็ค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยเส้นสายสีดำและรู้สึกพูดไม่ออกทันที

ความแตกต่างในการปฏิบัตินั้นชัดเจนมากเพียงนี้เชียวหรือ? โนเวล-พีดีเอฟ

ทว่าเขาก็เป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ถูกสร้างขึ้น และยังเป็นศิษย์พี่คนโตแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า…

แม้พระมารดาศักดิ์สิทธิ์หนี่วาจะระวังกับการถูกผู้คนเรียกขานว่า ‘แม่’ และ ‘มารดา’ มาก แต่ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็สามารถเรียกนางว่า ‘มารดา’ ได้จริงๆ!

เมื่อครู่นี้เพิ่งเกิดอันใดขึ้น?

ไข่มุกเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติวิญญาณเซียนเทียน พวกมันทำขึ้นมาจากวัสดุซึ่งไม่เป็นที่รู้จักชัดเจน และ ‘ต้นไม้สมบัติ’ ที่ดูเหมือนต้นสนนั้น ได้ถูกผนึกไว้ภายใน พวกมันเหมือนเป็นเครื่องประดับมากกว่า…

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เพ่งสมาธิมองอย่างใกล้ชิด และเห็นไข่มุกที่เปล่งแสงสีเหลืองดินจางๆ มันมีดินสีทองจำนวนเล็กน้อยปิดผนึกอยู่ภายในนั้น

ดินซีรัง-ดินชีวิตเก้าสวรรค์[1]?!

เมื่อมองดูใกล้ๆ ให้ละเอียดมากขึ้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็พบไข่มุกพิเศษที่แตกต่างจากไข่มุกเม็ดอื่นๆ จำนวนสามเม็ดทันที พวกมันถูกบรรจุและผนึกเอาไว้ในไหที่มีน้ำไหลอ่อนๆ และกลุ่มเพลิงแท้ไท่หยาง[2]…

นอกจากนี้ยังมีทองหมื่นวิญญาณสองสามชิ้นที่ใช้ซ่อมแซมสมบัติล้ำค่าที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ กระบี่เซวียนหยวน!

นอกเหนือจากต้นไม้วิญญาณจำนวนมาก ซึ่งเป็นต้นไม้วิญญาณที่สูญพันธุ์ไปแล้วในสมัยโบราณ พระมารดาศักดิ์สิทธิ์ยังได้มอบสมบัติห้าธาตุที่มีคุณภาพสูงสุดกองหนึ่งให้กับฉางโซ่วโดยตรง?

ในยามนั้น มีเทพธิดาสองสามคนบินมาจากด้านข้าง พวกนางใส่ไข่มุกเหล่านี้ลงไปในถุงเก็บสมบัติและวางไว้บนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ตรงหน้าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่

แม้ว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะงุนงงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวไปกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เขาเพียงแค่สงสัยใคร่รู้เท่านั้น

จากนั้นเขาก็คืนถุงเก็บสมบัติให้หลี่ฉางโซ่วและแย้มยิ้ม

“ดูเหมือนว่า ข้าซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ จะไม่เป็นที่โปรดปรานเท่าเจ้านะ ศิษย์น้องเล็ก”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านล้อข้าเล่นแล้ว…”

หลี่ฉางโซ่วฝืนยิ้ม แม้เขาจะพยายามอดทนอย่างสุดกำลังแล้ว แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงอ่อนล้าเล็กน้อย…

เป็นที่โปรดปราน?

ข้าต้องวาดการ์ตูนหลายหมื่นหน้าเพื่อแลกกับมัน!

หลายหมื่นหน้า!

นอกจากนี้ เขายังถูกขอให้ตกแต่งภาพวาดด้วยแสงสีและจัดวางกฎห้ามเพื่อต้านการฉ้อฉล หากวาดภาพได้ไม่ดี เขาก็จำเป็นต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่

หากตัวเอกงี่เง่าเป็นพวกเด็กจ้งเอ้อร์[3]มากเกินไปและมีข้อบกพร่องต่างๆ ทุกอย่างในโครงเรื่อง เขาก็จะได้เห็นใบหน้าฉายความรังเกียจเหยียดหยามตามมาตรฐานของมหาเทพหนี่วาด้วยซ้ำ…

แม้ชีวิตในชาติก่อนของเขา หลี่ฉางโซ่วจะไม่เคยทำการบ้านอย่างที่ควรเป็นเลยเมื่อยามที่เขาอยู่ในโรงเรียน แต่เขากลับอ่านการ์ตูนอย่างหนักมากมายแทนที่

ในขณะนั้นเขาสามารถใช้เวทหยั่งถึงเพื่อดึงความทรงจำของเขาจากอดีต เมื่อรวมควบคู่ไปกับทักษะการใช้พู่กันแสนวิจิตรที่ละเอียดอ่อนและพิถีพิถันแห่งตันชิง[4]ที่เขาฝึกฝนมานานหลายปีแล้ว บัดนี้เขาก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสารที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์

ทว่าเขาก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเช่นกันเพื่อดัดแปลงเนื้อหาให้เป็นแบบโลกบรรพกาล…

เพื่อความปลอดภัย หลี่ฉางโซ่วจึงไม่ได้จำลองผลงานที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นออกมาโดยตรง

เขาต้องค่อยๆ ทยอยเอาของดีออกมาช้าๆ

แม้เขาจะไม่กล้ายับยั้งความปรารถนาของจอมปราชญ์หนี่วาให้ต้องรั้งรอ แต่เขาก็น่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างมีเสถียรภาพมั่นคงจากความสัมพันธ์ของอุปสงค์[5]และอุปทาน[6] ในครั้งนี้

แต่เขาก็ไม่รู้ว่า “ชีวิตที่เติมเต็มชีวิตในบ้านให้สมบูรณ์” นั้นจะมีความสำคัญต่อจอมปราชญ์หนี่วามากเพียงใด

หลี่ฉางโซ่วไม่กล้าพูดว่า เวลานี้เขาคุ้นเคยกับราชินีจอมปราชญ์แล้ว ทว่าในอนาคต หากเขาจะไปที่วังเซิ่งหมู่ มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อันใด

อำนาจการเข้าและออกได้อย่างอิสระของขุนนางธรรมดาในศาลสวรรค์นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ว่ากันตามตรง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า คลังเก็บสมบัติของเขามีจำกัด ทำให้ใส่ของลงไปในนั้นได้ไม่มาก หลี่ฉางโซ่วก็คงอยากจะเคลื่อนย้ายคลังสมบัติทั้งหมดของจอมปราชญ์ไปให้เกลี้ยงแล้ว!

เขาคิดถึงลูกท้อ คิดถึงลูกท้อ

………………………………………………………………..

[1] ดินซีรังเก้าสวรรค์ หรือดินชีวิตเก้าสวรรค์ คือ ดินที่สร้างขึ้นใหม่ เพิ่มจำนวนขึ้นได้ และขยายตัวเองให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเอง (จึงเรียกว่าเป็นดินมีชีวิต) ตามตำนานว่ากันว่า กุ่น (บางตำนานว่า กุ่น เป็นหลานขององค์จักรพรรดิเหลือง) ผู้เป็นบิดาของอวี่ (พระเจ้าต้าอวี่ หรือ อวี่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เซี่ย) ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าเหยาให้เป็นผู้แก้ไขปัญหาอุทกภัย และกุ่นได้ไปขโมยดินซีรังมาจากสวรรค์ ซึ่งดินซีรังนี้ ถือว่าเป็นดินวิเศษที่สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นได้เองอย่างไร้ขีดจำกัด กุ่นจึงนำมันมาทำเป็นเขื่อนกั้นน้ำ ซึ่งเมื่อระดับน้ำสูงขึ้น ดินซีรังก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นตามระดับน้ำที่สูงขึ้น ทำให้น้ำไม่ท่วม แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า เมื่อน้ำลดระดับลง ดินซีรังก็ไม่ได้ลดระดับลงตาม และกลับถล่ม พังลงมาทับและคร่าชีวิตผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จากนั้น อวี่ก็ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดจากบิดาของตน จึงใช้การทำแผนที่ขึ้นมาก่อน แล้วใช้วิธีการขุดคลองเพื่อระบายน้ำแทนการสร้างเขื่อนกั้นน้ำแบบบิดา และด้วยเห็นแก่ประชาราษฎร์เป็นที่ตั้ง ในท้ายที่สุด อวี่ก็ได้รับพระราชทานราชสมบัติให้ครองบัลลังก์ ปกครองประเทศต่อไป…

[2] เป็นดั่งไฟสุริยันนิรันดรที่ไม่อาจดับได้

[3] แปลตรงๆ คือ เป็นนักเรียนมัธยมสอง แต่เป็นแสลงหมายถึงพวกเบียว หรือจูนิเบียว คือ เป็นพวกชอบอวดตัวว่าเก่งกาจไปหมด

[4] เป็นงานการลงสีภาพวาดดดยใช้พู่กันอย่างแม่นยำ อ่อนข้อยและพิถีพิถันมาก

[5] อุปสงค์หมายถึง ความต้องการ ความเต็มใจและความสามารถในการรับหรือซื้อสินค้าและบริการ

[6] อุปทานหมายถึง สินค้าหรือบริการที่พร้อมจะนำเสนอเพื่อขายหรือให้สินค้าหรือบริการนั้นๆ

—————————————-