บทที่ 698 การมาของรพี

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

แต่ทันทีที่นึกย้อนดู คุณแม่ปารวีก็นึกอะไรบางอย่างออกจริงๆ ดวงตาเปิดกว้าง “มีจริงๆ ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ร่างวารุณีก็ลุกตรงขึ้น “คุณป้า คืออะไรคะ?”

“จริงๆ แล้วก็ไม่ถึงกับผิดปกติหรอก สองวันนี้ ทันทีที่ปาจรีย์ว่าก็จะนั่งใจลอยอยู่บนโซฟาตลอด ไม่ก็จะนั่งใจลอยอยู่ในห้อง แต่ถ้าไม่นั่งใจลอย เธอก็จะออกไปซื้อของข้างนอกอยู่บ่อยๆ เอาไปซื้อพวกอาหารเสริมกับเสื้อผ้ามาให้คนแก่อย่างเราสองคน ถึงแม้เมื่อก่อนตอนที่ปาจรีย์กลับมา จะซื้อของพวกนี้มาให้ป้ากับคุณพ่อ แต่ก็ไม่ได้ซื้อเยอะขนาดนี้เหมือนกับครั้งนี้แน่ๆ เยอะขนาดที่ป้ากับพ่อของเธอทั้งปีนี่ไม่ต้องซื้อเลย” คุณแม่ปารวีพูด

วารุณีหมวดคิวแน่น “พูดแบบนี้ มันมีเรื่องผิดปกติอยู่นะคะ คุณป้า มีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้าน ปาจรีย์เลยเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ?”

คุณแม่ปารวีส่ายหัว “ไม่มีนะ ที่บ้านไม่ได้เกิดเรื่องอะไร”

“งั้นก็แปลกจริงๆ ” วารุณีพึมพำ

คุณแม่ปารวีมองไปที่ประตูห้องของปาจรีย์อีกครั้ง “เอาแบบนี้ไหมวารุณี ป้าไปถามปาจรีย์ ดูว่าเธอมีอะไรในใจหรือเปล่า ถ้าเกิดว่ามี ป้าโทรกลับไปบอกหนูเป็นไง?”

ความคิดนี้ไม่เลว

ปาจรีย์ไม่บอกเธอ พ่อคิดว่าเธอไม่สามารถช่วยได้

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคุณแม่ปารวี บางทีปาจรีย์อาจจะบอกก็ได้

“ค่ะ งั้นวันคุณป้าหน่อยนะคะ คุณป้าต้องถามให้ชัดเจนนะคะ หนูเป็นห่วงปาจรีย์มากจริงๆ ค่ะ” วารุณีพูด

คุณแม่ปารวีพยักหน้า “โอเค ป้าจะถามให้ได้ งั้นป้าวางสายก่อนนะ”

วารุณี อืมตอบรับ

คุณแม่ปารวีกดวางสาย หลังจากนั้นก็เดินไปที่ห้องของปาจรีย์ ยกมือขึ้นเคาะประตู “ปาจรีย์ ลูกนอนหรือยัง?”

“ยังค่ะ” เสียงตอบกลับของปาจรีย์ดังออกมาจากห้อง

คุณแม่ปารวีพูดอีกครั้ง “งั้นแม่เข้าไปได้ไหม?”

“แป๊บนึงค่ะแม่ ” ภายในห้อง ปาจรีย์รีบดึงกระดาษเช็ดหน้าออกมาสองแผ่น เช็ดน้ำตา แล้วจึงกลับรับ “เข้ามาเลยค่ะ”

ไม่ได้รับอนุญาต คุณแม่ปารวีขอผลักประตูเข้าไป “ปาจรีย์ ทำอะไรอยู่เหรอ?”

“ไม่ได้ทำอะไรคะแม่ ดูโทรศัพท์น่ะค่ะ ” ปาจรีย์เขย่าโทรศัพท์ อิ่มแล้วต่อ

แต่ถ้าว่าไม่รู้จักลูกดีที่สุด คุณแม่ปารวีดูออกทันทีว่าเธอกำลังโกหก และที่สำคัญที่สุด ดวงตาสีแดงของเธอ และขนตาที่เปียกชุ่มแสดงให้เห็นว่า เธอร้องไห้

“ปาจรีย์ บอกความจริงแม่มา ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม?” คุณแม่ปารวีเดินเข้าไป แล้วนั่งลงข้างเตียง

ปาจรีย์ส่ายหัว “ไม่มีนะคะ จะเกิดอะไรขึ้นได้ยังไง แม่ แม่อย่าพูดไปเรื่อย”

“แม่พูดไปเรื่อยหรอ?” คุณแม่ปารวีตีหน้าขรึม “ตัวลูกเองไม่รู้ แต่แม่เห็นชัด สองวันนี้ ลูกนั่งใจลอยตลอดเวลา ถ้าไม่อยู่แต่ในห้องไม่ออกมา ก็จะออกไปข้างนอก ไปซื้อของกองโตมาให้พ่อกับแม่ แบบนี้ปกติไหม?มีไม่ปกติ อีกอย่างเมื่อกี้นี้วารุณีก็โทรศัพท์มาถามแม่ ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า บอกว่าลูกเอางานของบริษัททั้งหมดแจกจ่ายรับช่วงต่อไปแล้ว โดยที่ไม่บอกเธอด้วย ดังนั้นปาจรีย์ ตกลงเป็นอะไร?”

ปาจรีย์ก้มหน้า กำมือแน่น นานแล้วยังไม่ตอบ

คุณแม่ปารวีเห็นท่า ก็มั่นใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอแน่นอน ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที รีบจับเข้าไปที่ไหล่ ของเธอ “ปาจรีย์ ลูกบอกแม่มา ตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้น ลูกพูดออกมา อย่าให้แม่เป็นห่วงโอเคไหม?”

ปาจรีย์เงยหน้า เมาตาแดงมองไปที่แม่ของตัวเอง อ้าปากขึ้น “หนู……”

“พูดมาสิ!” คุณแม่ปารวีเร่ง

ปาจรีย์พูดว่าหนูอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

คุณแม่ปารวีก็ตาแดงตาม “ปาจรีย์ ตกลงพูดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม?ลูกเป็นแบบนั้น รู้ไหมว่าทำให้แม่เป็นห่วง?”

“ขอโทษค่ะแม่ ขอโทษจริงๆ !” ปาจรีย์ก้มหน้าลง มือสองข้างปิดหน้า อย่าร้องไห้ เสียงพี่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า

คุณแม่ปารวีที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ท่าทางอ่อนลงทันที “ขอโทษปาจรีย์ แม่ไม่ควรดุลูก แต่ว่าแม่เป็นห่วงลูกนะ ปาจรีย์ ลูกทำความผิดข้างนอกมาใช่ไหม อยู่ๆเลยทิ้งงานกลับมาแบบนี้?”

“ไม่ใช่ค่ะ” ปาจรีย์ส่ายหัว “หนูไม่ได้ทำอะไรใคร หนูแค่……แค่……ขอโทษค่ะแม่ หนูพูดไม่ได้ ไม่ต้องถามได้ไหม?หนูขอ อย่าถามอีก!”

เธอพูดไม่ได้จริงๆ แล้วก็ไม่อยากพูด ถ้าหากเธอพูดออกมาแล้ว แม่ต้องไม่สามารถรับแรงต้านทาน และพังทลายลงแน่ๆ

ตั้งนั้น เธอพูดไม่ได้จริงๆ

เมื่อเห็นว่าลูกสาวดื้อรั้น คุณแม่ปารวีก็โกรธจัด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เพราะถึงยังไง เขาก็ไม่สามารถบังคับลูกสาวให้พูดออกมาได้

ถ้าหากบังคับลูกสาวขึ้นมา คงจะเสียใจทีหลังอย่างมาก

“เอาล่ะ แกไม่อยากพูด แม่ก็จะไม่บังคับ แต่แม่หวังว่าแกคงไม่ได้ถามเรื่องที่ทำให้แม่กับพ่อของแกต้องทุกข์ใจนะ ไม่อย่างงั้นแม่กับพ่อของลูกเขาไม่มีวันให้อภัยแก เพราะแม่กับพ่อของแกทรมานมาทั้งชีวิตมากพอแล้ว พวกเราไม่อยากเจอตอนแก่อีกรอบ แกเข้าใจใช่ไหม?” จ้องที่ปาจรีย์ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ปาจรีย์อ้าปาก สุดท้ายก็เอื้อมเสียงเบาราวกับยุง “ค่ะ……”

ไม่ได้รับคำตอบ คุณแม่ปารวีจึงลุกขึ้น เตรียมที่จะออกไป

ในตอนนี้ ห้องรับแขกข้างนอก ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น

คุณแม่ปารวีพึมพำอย่างสงสัย “ใครกัน คงไม่ใช่พ่อแกหรอกนะ?”

“ตอนที่พ่อออกไปเล่นหมากรุก เอากุญแจไปด้วย” ปาจรีย์ส่ายหัวตอบ

“โอเค เดี๋ยวแม่ออกไปเปิดประตู ดูว่าเป็นใคร” เมื่อคุณแม่ปารวีออกไปจากห้องของเธอ

ปาจรีย์ก็หลับตาลง กระวนกระวายใจ

ไม่ทำเรื่องที่ทำให้พ่อแม่ไม่สามารถให้อภัยได้?

เธอก็อยากทำแบบนั้น

แต่นี่ เธอไม่สามารถทำให้ความบุญคุณความแค้นระหว่างตระกูลจิรดำรงค์ กับอิสริยานนท์ให้หายไปได้ และก็ไม่สามารถกำจัดความเกลียดชังของพงศกรที่มีต่อตระกูลจิรดำรงค์ได้

พ่อกับแม่เจ็บปวดเพราะพ่อแม่ของพงศกรมาสิบกว่าปี และเธอเองก็เจ็บปวดเพราะความเคียดแค้นของพงศกรมาสิบกว่าปีเช่นกัน

เธอจึงไม่อยากให้พ่อแม่ต้องตำหนิตัวเองด้วยความเจ็บปวด และเธอก็ไม่อยากรับสายตาที่มองเป็นศัตรูของพงศกรอีกต่อไป เธออยากยุติเรื่องทั้งหมด

เพราะฉะนั้นขอโทษนะคะ พ่อ、แม่!

ขอโทษจริงๆ เธอไม่ใช่ลูกที่ดี คงจะหมดหนทางตอบแทนพวกเขาแล้ว

อิสริยานนท์、สวนจันทร์ บุญคุณความแค้นระหว่างสองตระกูล ให้เธอเป็นคนจบมันเถอะ

คิดอยู่ ทันใดนั้นปาจรีย์ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามา

เสียงผู้ชายคนนั้น เสียงทุ้มต่ำและอ่อนโยน น่าฟังที่สุด

ใครกัน?

ปาจรีย์กะพริบตาด้วยความสงสัย

อย่างนี้ทำให้เธอรู้สึกคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ก็คิดไม่ออก

ตอนนี้ ประตูห้องถูกคนเปิดออก คุณแม่ปารวียื่นหัวเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความประหลาดใจ “ปาจรีย์ รีบออกมาเจอรพีเร็ว ไม่ได้เจอกันยี่สิบปีแล้ว แต่เธอคงลืมไปแล้วมั้ง”

“รพี?” ใบหน้าปาจรีย์เต็มไปด้วยความสงสัย

ก็อย่างที่คุณแม่ปารวีพูด เธอลืมแล้วจริงๆ

แต่ชื่อนี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกคุ้นมาก

“แม่ ที่แม่บอกว่ารพีคือใครเหรอ?” ปาจรีย์ถามให้ลุกขึ้นมาจากขอบเตียง

“ฉันเอง” เพิ่งจะสิ้นสุดเสียงเธอ ตรงประตูก็ปรากฏร่างร่างหนึ่งขึ้น ที่ยืนอยู่ข้างหลังคุณแม่ปารวี

ร่างนั้นสูงมาก สูงกว่าคุณแม่ปารวีมาก คุณแม่ปารวีจะไม่มีทางที่จะบังเขาได้มิด ปาจรีย์เห็นใบหน้าชายหนุ่มชัดเจนทันที ตกใจและอ้าปากกว้าง “นายเอง!”

เธอชี้ไปที่ชายหนุ่ม

ก็คือชายหนุ่มครั้งนั้น รพีคนนั้นที่เธอเจอตอนออกมาจากโรงพยาบาลรุ้งจรัส

ตอนนั้นเขาบังเอิญชนเธอกำลังร้องไห้ แล้วยังเอาผ้าเช็ดหน้าให้เธอ เรายังปลอบเธอด้วย กางร่มพาเธอไปส่งขึ้นรถ

ตอนแรกคิดว่า เธอและรพีคนนั้นเพียงแค่พบกันโดยบังเอิญ หลังจากนั้นก็จะไม่เจออีก

แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะมาปรากฏตัวอยู่ในบ้านของเธอ

“ฉันเอง ปาจรีย์ ตกใจใช่ไหม?” รพีมองปาจรีย์ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน