บทที่ 697 ทำให้เป็นห่วง

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ก็รองประธานปาจรีย์นั่นแหละค่ะ” ผู้ช่วยก้มหน้า “สองวันก่อนรองประธานปาจรีย์ลาหยุดไม่ใช่เหรอคะ?เธอส่งงานทั้งหมดในมือเธอ แจกให้คนข้างล่างจัดการ รวมถึงงานที่มีแค่เธอจัดการได้ เธอก็แจกแบ่งไปด้วย”

“อะไรนะ ?” วารุณียืนขึ้นด้วยความประหลาด “แจกงานธุรการที่มีแค่เธอที่จัดการได้ออกไป?”

“ค่ะ” ผู้ช่วยพยักหน้า “ตอนแรกฉันก็ถามด้วยความตกใจเหมือนกันค่ะว่าทำไมรองประธานปาจรีย์ถึงทำแบบนี้ รองประธานปาจรีย์บอกว่าอาจจะกลับมาไม่ได้แล้ว เลยรีบกระจายงานพวกนี้ออกไปก่อน ให้ทุกคนคุ้นชิน ถึงตอนนั้นจะได้ไม่วุ่นวาย ฉันเลยเดาว่ารองประธานปาจรีย์ต้องการลาออกจากตำแหน่งรองประธานหรือเปล่า เลยถามท่านประธานว่าจะรับสมัครผู้อำนวยการคนใหม่ไหม”

อย่างนี้นี่เอง

หลังจากฟังผู้ช่วยเสร็จ วารุณีก็มันริมฝีปากสีแดง

เธอไม่เคยคิดเลยว่า ปาจรีย์จะเอางานของตัวเองให้ข้างล่างทำ

แถมปาจรีย์ยังพูดบางอย่าง ว่าอาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว

ประโยคนี้หมายความว่ายังไง?

หรือว่า ปาจรีย์วางแผนจะลาออกจริงๆ ?

วารุณีกัดริมฝีปาก

แต่แบบนี้ไม่ถูกนะ ถ้าหากปาจรีย์ต้องการลาออกจริงๆ ไม่มีทางที่จะไม่บอกเธอ

อีกอย่าง บริษัทเป็นของพวกเธอสอง ปาจรีย์ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นคนที่สอง การลาออกมีผลประโยชน์อะไรกับเธอ?เธอลาออกแล้วจะไปไหนกัน?

อีกอย่างตอนนั้นพวกเราเคยพูดกัน ว่าจะพัฒนาบริษัทให้ดี จะพัฒนาบริษัทไปสู่ท้องตลาด แล้วสร้างแบรนด์ให้ตัวเอง

แต่ทว่าตอนนี้กลับไปไม่ถึงจุดมุ่งหมายเดียวกัน ปาจรีย์จะลาออกและจากไปไม่ได้

ดังนั้นที่นี่ ต้องมีปัญหาอะไรบางอย่าง

คิดอยู่ วารุณีก็บีบมือ มองไปที่ผู้ช่วย “เอาละ ฉันรู้แล้ว คุณออกไปก่อนเถอะ”

“ค่ะ” ผู้ช่วยตอบรับ แล้วกำลังจะออกไป

แต่เพิ่งจะเดินได้ใช้สองก้าว วารุณีก็คิดอะไรได้ เอ่ยปากหยุดเธอ “เดี๋ยวก่อน”

“ประธานต้องการสั่งอะไรเหรอคะ?” ผู้ช่วยหยุดฝีเท้า เอียงศีรษะถาม

วารุณีพูด “เธอออกไปตอนนี้ เก็บงานที่ปาจรีย์จัดการดึคนเดียวกลับมา แล้วเอาไปไว้ที่ห้องทำงานของปาจรีย์ ส่วนอย่างอื่นช่างมัน”

“ค่ะ” ผู้ช่วยพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบรับ

วารุณีกลับลงไปนั่งใหม่ แล้วขมวดคิ้ว

ไม่ว่ายังไง งานที่มีแค่ปาจรีย์จัดการได้ เธอปล่อยไว้ให้คนข้างล่างแบบนี้ไม่ได้ ยังไงซะก็มีหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับความลับของบริษัท การที่ไปให้คนข้างล่าง เธอไม่สบายใจ

อีกอย่าง เธอเองก็ไม่อยากให้งานของปาจรีย์ ให้คนอื่นได้ส่วนแบ่งในผลประโยชน์

แน่นอน ถ้าหากว่าปาจรีย์ไม่อยากทำแล้วจริงๆ งั้นค่อยว่ากัน

แค่ไม่เชื่อว่าปาจรีย์จะไม่ทำแล้ว

คิดถึงเท่านี้ วารุณีก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วต่อสายไปยังโทรศัพท์ปาจรีย์

ไม่ช้าก็โทรติด เสียงเหนื่อยล้าของปาจรีย์แพร่ออกมา “วารุณี มีอะไรเหรอ?”

“ปาจรีย์ เธอวางแผนจะลาออกหรอ?” วารุณีถามเสียงเข้ม

เมื่อปาจรีย์ได้ยินประโยคนี้ ก็หน้าสีเปลี่ยน “ฉัน……”

ฟังจากน้ำเสียงตื่นตระหนกของเธอ วารุณีเสียงนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น “ทำไมล่ะปาจรีย์?”

เธอบีบโทรศัพท์แน่น “ปาจรีย์ ถ้าเมื่อกี้ผู้ช่วยไม่บอกฉัน ว่าจะหาผู้อำนวยการมารับงานเธอต่อไหม แล้วฉันก็ไม่รู้เลยว่าเธอแจกจ่ายงานตัวเองไปหมด!”

ฟังคำพูดโกรธของวารุณี ปาจรีย์ก็ก้มหน้าอย่างรู้ผิด “ขอโทษนะวารุณี ฉัน……”

“เธออย่าพึ่งขอโทษฉัน ปาจรีย์ เธอบอกฉันมาก่อน ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้?ถ้าอยากลาออกจริงๆเหรอ?ถึงต่อให้เป็นอย่างนั้นจริง ทำไมเธอไม่บอกฉัน?แล้วเลือกที่จะแอบกระจายงานออกไปแบบนี้?” วารุณีโกรธจนหน้าอกสั่นแปรปรวน

“ฉันไม่อยากลาออกหรอก” อยู่ๆ เสียงของปาจรีย์ก็สะอึกขึ้น “ฉันไม่ได้อยากลาออกจริงๆ ขอโทษนะวารุณี ที่จะทำอย่างนี้ ฉันลำบากใจไม่มีทางเลือก แล้วที่ฉันไม่บอกเธอ ก็เพราะฉันรู้ว่าเธอต้องไม่เห็นด้วย ฉันถึงได้แอบทำแบบนี้ ขอโทษจริงๆ วารุณี”

เธอพูดอย่างละอายใจ

วารุณีสูดหายใจลึก พยายามระงับความโกรธในใจ แล้วถาม “ลำบากใจ?ลำบากใจอะไรถึงต้องทำแบบนี้?ตอนนั้นพวกเราก็คุยกันไว้แล้ว ว่าจะพัฒนาบริษัทให้ใหญ่ขึ้นด้วยกัน แล้วอยู่เธอมาทิ้งฉันไปคนเดียว ปาจรีย์ เธอคิดว่าที่จะทำแบบนี้ มันอยู่ที่เธอกับฉันแล้วเหรอ?”

“……” ปาจรีย์อ้าปาก เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ความรู้สึกผิดในใจทำให้เธอร้องไห้ไม่หยุด

วารุณีลูบหน้า “เอาล่ะปาจรีย์ เธอบอกหน่อยเถอะ ว่าเธอมีความลำบากใจอะไรเธอต้องทิ้งบริษัทที่เราสร้างมาด้วยกัน?พูดออกมา ถ้าหากว่าฉันช่วยได้ฉันช่วยเธอแน่นอน บางทีเป็นแบบนั้น เธอก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจอีกไม่ใช่เหรอ?”

ปาจรีย์ส่ายหัว “ไม่ได้ เธอช่วยฉันไม่ได้หรอก เรื่องนี้ ไม่มีใครช่วยฉันได้”

“เธอไม่บอกแล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าช่วยได้หรือเปล่า?” วารุณีรู้สึกเหนื่อยใจ

ปาจรีย์เช็ดขอบตา “วารุณี ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนจิตใจดี ทำดีกับฉัน แต่เรื่องนี้ฉันรู้สึกชัดเจนมาก ว่าเธอช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นวารุณี เธอหยุดค่ะโอเคไหม?ฉันขอร้อง อย่าถามอีก ถึงตอนนั้น เธอจะรู้เองว่าความลำบากใจของฉันคืออะไร”

พูดจบ เธอก็วางสายทันที

“ฮัลโหล? ฮัลโหล?” วารุณีตะโกนใส่ปลายสายสองครั้ง ไม่ได้ยินการตอบกลับ เธอโทรศัพท์มามองตรงหน้า ถึงได้พบว่าโทรศัพท์ถูกตัดสายไปแล้ว

วารุณีขมวดคิ้วแน่น แน่ใจหลังรู้สึกโกรธและเป็นห่วง

โกรธที่ปาจรีย์ไม่สื่อสารให้ชัดเจนแล้ววางโทรศัพท์ไป ทั้งหมดนี้กับเธอและบริษัทของพวกเธอ นั้นไม่มีความรับผิดชอบแม้แต่นิด

สิ่งที่เป็นห่วงก็คือ เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับปาจรีย์หรือเปล่า เป็นห่วงว่าปาจรีย์จะเกิดเรื่องไม่ดี

“ไม่ได้ ลองถามให้ชัดเจน” วารุณียกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าเมื่อกี้นี้ปาจรีย์จะไม่ได้พูดอะไร แต่ความสิ้นหวังในน้ำเสียง เธอฟังออก

เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้ปาจรีย์สิ้นหวังขนาดนั้น แต่มั่นใจได้ว่า ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่แน่

ถ้าเธอไม่ทำให้ชัดเจน คงต้องเสียใจทีหลัง

วารุณีต่อสายหาแม่ของปาจรีย์

โทรศัพท์ก็ถูกรับทันที น้ำเสียงใจดีของแม่ปาจรีย์ดังขึ้น “วารุณีใช่ไหม?”

“คุณป้า หนูเองค่ะ” วารุณีกดความกังวลในใจไว้ ยิ้มแล้วถาม “คุณป้า ช่วงนี้สุขภาพดีใช่ไหมคะ?”

“ดี ดีสิ” คุณแม่ปารวีพูดหัวเราะ

วารุณีพยักหน้า “ดีก็ดีแล้วค่ะ ใช่แล้วค่ะคุณป้า ปาจรีย์กลับไปหาคุณป้าแล้วใช่ไหมคะ?”

เธอถาม

คุณแม่ปารวีหันไปมองลูกสาวที่อยู่ในห้อง ยิ้มแล้วตอบ “ใช่จ้า กลับมาเมื่อสองวันก่อนนี่แหละ บอกว่าคิดถึงบ้าน เลยกลับมาอยู่กับเรา มีอะไรเหรอวารุณี?จะให้ปาจรีย์กลับไปทำงานเหรอ?”

“ไม่ๆๆ ไม่ใช่ค่ะ ปาจรีย์ไม่ได้ลาหยุดนานแล้ว อยากให้เธออยู่เป็นเพื่อนคุณป้ากับคุณลุงนานๆ หน่อย แต่คุณป้าคะ หนูอยากถามปาจรีย์ว่าช่วงนี้อยู่บ้านเป็นไงบ้าง” วารุณีสีหน้าตั้งใจขึ้นทันที

คุณแม่ปารวีเห็นน้ำเสียงเธอจริงจัง จึงจริงจังขึ้นตาม “วารุณีถามมาได้เลย”

“คุณป้าคะ หนูอยากรู้ว่าช่วงนี้ที่ปาจรีย์อยู่ที่บ้าน มีเรื่องผิดปกติอะไรไหม?”

“ตรงไหนผิดปกติเหรอ?” สีหน้าคุณแม่ปารวีเต็มไปด้วยความสงสัย “วารุณี ไม่มีนะ ปาจรีย์ปกติทุกอย่าง ไม่มีตรงไหนผิดปกติ วารุณี หนูถามทำไมเหรอ?”

วารุณีถอนหายใจ “เรื่องงานที่เกิดขึ้นกับปาจรีย์ช่วงนี้น่ะค่ะ หนูเลยถามดู”

“แบบนี้นี่เอง” คุณแม่ปารวีพยักหน้าทันที แล้วพูดต่อ “แต่ช่วงนี้ปาจรีย์ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ นะ”

“ไม่มีจริงๆเหรอค่ะ?ก่อนหน้านี้หนูติดต่อไปหาเธอ อารมณ์ของเธอผิดแปลกไปหน่อย คุณป้าคะ คุณป้าคิดดีๆนะคะ หนูเป็นห่วงปาจรีย์มาก” วารุณีพูดอีก พร้อมกับน้ำเสียงอ้อนวอน

คุณแม่ปารวีเห็นด้วย เริ่มคิดจริงจังว่าสองวันมานี้ลูกสาวตัวเองมีเรื่องผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า