บทที่ 696 แทนปาจรีย์

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“พ่อครับ แล้วแม่ล่ะ?” อารัณเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่เห็นวารุณี เอื้อมมือไปจับที่หัวเล็กๆ แล้วมองไปด้านหลังนัทธีไม่หยุด

นัทธีลุกขึ้นยืน “คุณแม่กำลังอาบน้ำ”

พูดจบ เขาก็ใช้มือดึงเด็กคนละข้างกลับห้อง

ดีที่เมื่อคืนเขากับวารุณีเหนื่อยมาก ง่วงมากด้วย แล้วไม่ได้เกิดเหตุอะไร ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาคงไม่พาลูกทั้งสองคนเข้ามาในห้อง

ระหว่างที่วารุณีกำลังล้างหน้าบ้วนปากอยู่ในห้องน้ำ เพิ่งจะแปรงฟันเสร็จ ก็มองไปเห็นเด็กน้อยน่ารักปรากฏตัวขึ้นอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ แล้วกำลังยิ้มหวานให้เธอ

วารุณีเดินออกไป แล้วทำท่าตกใจ “ย่า เด็กน่ารักสองคนที่ไหนเนี่ย ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านฉันได้ล่ะ?”

ไอริณหัวเราะคิกคัก “ผมเป็นเด็กบ้านพ่อกับแม่ไง”

“หรอ?แล้วพ่อกับแม่หนูคือใครล่ะ ชื่ออะไรกัน?” วารุณีถูจมูกเล็กๆ ของเธอแล้วถาม

ไอริณกะพริบตาโตๆแล้วคิด แล้วต่อ “แม่หนูชื่อวารุณี พ่อชื่อนัท…..นัท……”

นัทอะไรสักอย่าง เธอไม่รู้แล้ว คิดยังไงก็คิดไม่ออก ปากเล็กๆบึ้ง น้ำตาซึม ทั้งน่ารักทั้งน่าสงสาร

“ขอโทษค่ะแม่ ไอริณลืมชื่อพ่อแล้ว”

“โง่” อารัณ ถอนหายใจ หลังจากนั้นพี่ตัวน้อยก็พูด “ไอริณเธอจำให้ดีนะ พ่อชื่อว่านัทธี”

“นัทธี?” ไอริณเอียงหัวแล้วพูดซ้ำ

อารัณอืมสองครั้ง “ถูกต้อง”

ไอริณทวนชื่อของนัทธีอีกสองครั้ง หลังจากนั้นก็พูดอย่างมีความสุข “แม่คะ ตอนนี้ไอริณรู้แล้วว่าพ่อชื่ออะไร พ่อชื่อว่านัทธี”

“ดีมาก ไอริณเก่งมาก!” วารุณีอิ่มแล้วลูกหัวเด็กน้อย

เด็กน้อยรูปหัวเล็กๆ แล้วถาม “แม่คะ เมื่อกี้ไอริณตอบชื่อพ่อไม่ได้ ไอริณเป็นเด็กไม่ดีเหรอคะ?”

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ?” วารุณีถามด้วยความสงสัย

แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ถึง ว่าเด็กน้อยจะถามคำถามแบบนี้

ไอริณตบปากน้อยๆ “แล้วคุณครูเคยบอก ว่าเด็กๆต้องจำชื่อพ่อกับแม่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนถามแล้วจะตอบไม่ได้ เมื่อกี้ไอริณตอบชื่อพ่อไม่ได้ ดังนั้นไอริณเป็นคนไม่ดีใช่มั้ย?เพื่อนที่อนุบาลตอบได้กันหมดเลยค่ะ”

“อ๋อแบบนีนี่เอง” วารุณียิ้มเบาๆ “ไอริณไม่ใช่เด็กไม่ได้หรอกค่ะ แบบนี้ไม่โทษไอริณ ต้องโทษคุณพ่อ ต้องโทษที่เป็นชื่อคุณพ่อจำยาก มันยากเกินไป”

เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาใจลูก แต่สำหรับเด็กน้อยที่อายุแค่สี่ขวบแล้ว การจำชื่อของนัทธีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

อีกอย่างความจำของเด็กนั้นไม่ได้ดีอยู่แล้ว รีบแต่เดี๋ยวก็ลืมมันเป็นเรื่องธรรมดา

แต่ยังไงซะก็ไม่ใช่กับเด็กทุกคน พี่จะไหวพริบดีเหมือนกับอารัณ

“ใช่เลยค่ะ โทษคุณพ่อ” อารัณก็พยักหน้าเห็นด้วยกับที่วารุณีพูด

นัทธีเดินเข้ามา แล้วได้ยินพอดี ก็อดไม่ได้ที่จะเลิก “โทษอะไรผม ?”

วารุณียิ้มแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดเมื่อกี้

นัทธีฟังจบ ก็ลูบหัวเด็กน้อย “แม่ของลูกพูดถูก โทษพ่อนี่แหละ”

“ไม่โทษคุณพ่อหรอกค่ะ” ไอริณส่ายหัว “เป็นเพราะไอริณเด็กเกินไปเลยจำไม่ได้ ไม่โทษชื่อคุณพ่อหรอก”

นัทธีเลิกคิ้ว

เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าเด็กตัวน้อยจะพูดแบบนี้ออกมา ซึ่งทำให้คนชื่นชมและประหลาดใจ

สมควรที่เป็นลูกเขาอย่างที่คิด

วารุณีเองก็แปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็สงบลงได้อีกครั้ง ยิ้มและพูด “เอาล่ะๆ โทษกันไปโทษกันมาอยู่นี่แหละ อารัณ พาน้องออกไปเล่นด้านอกไปลูก พ่อกับแม่ยังล้างหน้าแปรงฟันไม่เสร็จ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จค่อยไปเล่นด้วยนะ”

“ครับ” อารัณพยักหน้า แล้วจุงมือไอริณไป

นัทธีเรื่องเข้าไปที่ห้องน้ำ “ไอริณโตขึ้นมารู้เรื่องไม่น้อย”

“ใช่น่ะสิคะ” วารุณีพยักหน้า

นัทธี หยิบแปรงสีฟันไฟฟ้าขึ้นมา “บางทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งในช่วงนี้ คงทำให้ไอริณโตขึ้น”

เขาหายตัวไปในช่วงนี้ หลังๆ วารุณีก็หายตัวไป

วันที่เขาหายตัวไป เพราะวารุณีตามหาเขา จึงพาอารัณกลับประเทศมา แต่ไอริณกลับถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่ต่างประเทศ

ครั้งที่สอง วารุณีหายไป ถึงแม้ว่าไอริณไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว อารัณก็อยู่เป็นเพื่อนเธอ แต่สำหรับไอริณแล้ว พวกเขาที่เป็นพ่อแม่ เป็นครั้งที่สองแล้วที่ทิ้งเธอไว้

ได้ยินเชอรีนกับปาจรีย์พวกเขาบอกว่า ช่วงที่เขาสองคนสามีภรรยาหายตัวไปติดต่อกัน ไอริณฝันร้ายกลางคืนหลายครั้ง จนร้องไห้หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ได้คุยกับพวกเขา กลับไม่เคยได้บอกพวกเขา

พวกเขาขอโทษไอริณ

“ เราติดหนี้ไอริณเยอะเกินไปแล้วนะ” นัทธีแปรงฟัน พูดเสียงเข้ม “ติดนี่มากกว่าอารัณเยอะเลย”

วารุณีมองตัวเองในกระจก แล้วตอบด้วยความละอาย “ใช่ค่ะ”

“ไม่ใช่แค่นี้ เพราะบุญคุณความแค้นของพวกเรากลับนวิยาเมื่อก่อน ก็เกือบทำให้ไอริณไม่รอดชีวิต” นัทธีกำแปรงแน่น

เบ้าตาวารุณีเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย “เพราะฉะนั้นจากนี้ไป พวกเราต้องเติมเต็มไอริณอย่างดีนะคะ”

“แน่นอน” นัทธีพยักหน้า

เขาจะเอาใจไอริณ เพียงแค่ไอริณไม่ทำเรื่องที่ผิด ไม่ว่าไอริณจะทำอะไร เขาที่เป็นพ่อคนนี้ ก็จะสนับสนุนเธอ

แน่นอน ต่อให้เขาไม่ได้ติดหนี้ไอริณ เขาก็จะทำแบบนี้

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ หลังจากที่สามีภรรยาสองคนจัดการความสะอาดเสร็จก็ลงไปข้างล่าง

เด็กทั้งสองนั่งอยู่บนโซฟาห้องโถง แล้วคุยกันพึมพำ

เมื่อเห็นว่าวารุณีและพวกเขาลง ก็รีบหยุดคุยกัน ลึกลับจริงๆ

วารุณีถามพวกเขา พวกเขาก็เปลี่ยนเรื่องทันที แล้วจับมือพากันวิ่งไปที่ห้องอาหาร

วารุณีกับนัทธีพี่เดินอยู่ข้างหลัง

เธออย่าหัวไปมองนัทธี “เด็กสองคนนี้ ต้องกำลังมีแผนอะไรบางอย่างแน่ๆ”

นัทธียิ้มเบาเบาๆ “ผมรู้ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ในเมื่อนี่เป็นความลับของพวกเขา พวกเราที่เป็นพ่อกับแม่ ก็ควรเคารพ ”

“นั่นแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ถึงจะสงสัยมาก แต่เมื่อพวกเขาไม่พูด ฉันก็จะไม่บังคับ” วารุณียักไหล่

ว่าทานอาหารเช้าเสร็จ ทั้งคู่ก็อยู่เล่นเป็นเพื่อนลูกสักพัก แล้วก็แยกกันไปที่กลุ่มและบริษัทของตัวเอง

เมื่อวารุณีถึงบริษัท ผู้ช่วยก็มอบภาพผังที่ต้องจัดการกองหนึ่งให้เธอ “ประธานคะ นี่คือแบบทั้งหมดที่ประธานต้องตรวจสอบดูค่ะ แผนกโรงงานข้างล่างกำลังเร่งค่ะ”

“โอเค เธอวางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันดู” วารุณีอิ่มแล้วตอบ

ผู้ช่วยวางผังลง แล้วพูด “ใช่แล้วค่ะประธาน พวกเราต้องประกาศหาหรือรับสมัครพวกหน่วยการ รับช่วงต่อธุรกิจของรองประธานปาจรีย์หรือเปล่าคะ?”

“หืม?” ได้ยินแบบนี้ ติ้วของวารุณีก็คิ้วขมวดขึ้น “เมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ?รับสมัครผู้อำนวยการมารับช่วงต่องานของปาจรีย์เหรอ?”

“ใช่ค่ะ” ผู้ช่วยพยักหน้า

วารุณีสีหน้าดูไม่ดี “แล้วใครบอกเธอว่าต้องรับสมัครผู้อำนวยการเพื่อรับช่วงต่องานของปาจรีย์?”

นี้หมายความว่า ชัดแจ้งว่าจะให้เธอหาผู้อำนวยการใหม่มาแทนปาจรีย์ อยู่เหนือตำแหน่งของปาจรีย์ในบริษัทสินะ

แบบนี้ นอกจากปาจรีย์จยังมีอำนาจถือหุ้น ก็ไม่มีอำนาจในฐานะรองประธานแล้ว

ดังนั้นเธอจึงสงสัยมากว่าตกลงใครกันแน่ที่เป็นคนประกาศเรื่องนี้ในบริษัท ถ้าหากว่าปาจรีย์รู้เข้า ปาจรีย์เข้าใจผิดว่าเธอมีเจตจำนงแบบนี้?

ต่อให้ปาจรีย์เชื่อว่าไม่ใช่เจตนาของเธอ ในใจก็เริ่มกังวลว่าเธอจะทำแบบนี้จริงๆ ไหม ท้ายที่สุดในความเป็นจริง เพื่อนที่ร่วมก่อตั้งธุรกิจมาด้วยกัน เพราะว่าความคิดไม่เหมือน ผลประโยชน์ไม่เหมือนกันจึงแยกทางและเกลียดชังกัน

แล้วก็มีส่วนหนึ่ง คือทุกคนยุยงบาดหมาง

ดังนั้นตอนนี้เธอจะสงสัย ว่ามีคนตั้งใจยุโยงความสัมพันธ์ของเธอกับปาจรีย์ให้บาดหมางหรือเปล่า เลยสร้างข่าวลือนี้ขึ้นมา

มองที่สีหน้ามืดมนของวารุณี ผู้ช่วยก็รู้ว่าตัวเองกำลังสร้างเรื่อง ยั่วให้เธอโมโห จึงรีบก้มหน้าและอธิบาย “เปล่านะคะเปล่า ไม่มีใครบอกฉันหรอกค่ะ ฉันแค่เดาเอง”

“ เธอเดาเอง ?” วารุณีเม้มปากแดงเป็นเส้นตรง “แล้วเธอไปเอามาจากไหน ?”