ประโยคนี้ทำให้นัทธีเงียบลงทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา ก็ถูกไปที่ผมของเธอ แล้วขอโทษกลับ “ผมรู้แล้วครับ ต่อไปจะพยายามไม่ออกข้างนอกกลางดึกแล้วครับ จะไม่ทำให้คุณเป็นห่วง”
“แบบนี้ค่อยดีหน่อย” วารุณียิ้ม แล้วรินน้ำใส่แก้วมาให้เขา “นี่น้ำขิงค่ะ ดื่มสักหน่อย ฉันให้ป้าส้มต้มไว้หลังจากที่คุณออกไปไม่ได้นาน ใส่ไว้ในแก้วเก็บความร้อนตลอด ตอนนี้ก็ยังร้อนอยู่นะ ข้างนอกหนาว ดื่มไล่ความเย็นสักหน่อย”
“โอเค” นัทธีเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำขิง
ความจริงเขาไม่ชอบดื่มของที่มีกลิ่นแรง แต่นี่คือสิ่งที่เธอเตรียมไว้ให้ เขาปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว
“ใช่แล้ว คุณหมอพิชิตเป็นยังไงบ้างคะ?” วารุณีนั่งลงข้างๆ นัทธี ทันใดนั้นก็ถามขึ้น
นัทธีหรี่ตาลง และตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขาอยากตายตามกันไป”
“อะไรนะ?” วารุณีขมวดคิ้ว “เขา……ยังรักนวิยามากอยู่น่ะสิ ถึงได้มีความคิดแบบนี้ แล้วคุณได้เกลี้ยกล่อมเขาไว้ไหม?”
“ไม่รู้สิ ผมให้พ่อแม่เขารีบไปหาแล้ว ถ้าหากว่าพ่อแม่ของเขากล่อมแล้ว เขายังไม่ฟัง งั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ” นัทธีดื่มน้ำขิงจนหมด วางแก้วลงบนโต๊ะชา แล้วลุกขึ้น ตรงไปที่ห้องน้ำ
วารุณีมองแก้วที่ว่างเปล่า แล้วถอนหายใจ
คิดไม่ถึงจริงๆ พิชิตเป็นคนที่มีอารมณ์ความรักยิ่งใหญ่ขนาดนี้
เธอรู้มาตลอดว่าพิชิตเป็นคนเกิดอารมณ์รักง่าย แต่ไม่รู้เลยว่า อาการหลงรักของพิชิต จะหนักกว่าที่เธอคิดไว้
โชคดีตอนนั้นที่เธอได้ยินพิชิตบอกกับนวิยาว่าจะไม่รักนวิยาอีก แล้วยังบอกว่าจะไม่มาเจอนวิยาอีก ยังรู้สึกว่าพิชิตนั้นยอดเยี่ยม ในที่สุดก็สามารถปล่อยวางได้
ยังไงตอนนั้นก็พิชิตปล่อยนวิยาไปแล้ว เธอจึงคิดว่าพิชิตคลั่งรักเข้าแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินพิชิตพูดว่าจะไม่รักนวิยาอีก ก็คิดว่สพิชิตเดินออกมาจากอาการคลั่งรักแล้ว จึงชื่นชมพิชิตมาก
แต่ตอนนี้พิชิตเป็นแบบนี้ ทำให้ความรู้สึกของเธอที่ต่อเขาตีกันไปมา
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเจอคนคลั่งรัก แต่เป็นครั้งแรกที่เจออาการคลั่งรักมากขนาดนี้ แถมยังเป็นผู้ชาย มันเกินเหตุ
แต่สิ่งนี้ได้พิสูจน์แล้ว พิชิต รักนวิยาจริงๆ
แต่นวิยากลับไม่เห็นคุณค่า
แน่นอน ต่อให้นวิยาเห็นค่า นวิยาก็ไม่คบกับพิชิตอยู่ดี เพราะนวิยาวางแผนฆ่าพ่อแม่ของนัทธีตั้งแต่สิบขวบ
ดังนั้นตอนจบนวิยา ได้ตั้งเป้าไว้แล้ว
ขณะกำลังคิดอยู่ นัทธีก็ออกมาจากห้องน้ำ ชุดบนร่างกายเปลี่ยนเป็นชุดนอน
วารุณีเงยมองที่เขา “ใช่แล้วที่รัก นวิยาก่อนตายทิ้งคำสั่งเสียไว้ไม่ใช่เหรอ ฝากคุณไปบอกคุณหมอพิชิตใช่ไหม คุณบอกหรือยัง?”
“ยัง” นัทธีส่ายหัว
วารุณีกะพริบตา “ทำไมล่ะ?”
“ยังไม่ถึงเวลา คุณก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ของพิชิต ถ้าผมบอกเรื่องพวกนี้กับเขาไป เขาก็จะเข้าใจ ว่าก่อนที่นวิยาเธอรู้แล้วว่าคนที่เธอรักความจริงนั้นคือเขา และเสียใจที่ไม่รู้ตัวเร็วกว่านี้ ดังนั้นจากนิสัยของพิชิต ต้องพุ่งไปหานวิยาอย่างแน่นอน รออีกหน่อยค่อยบอกดีกว่า” นัทธีเดินไปถึงข้างเตียง ยกผ้าห่มแล้วขึ้นไปนอนบนนั้นพร้อมกับพูดไปด้วย
วารุณีพยักหน้า “ที่คุณพูดก็ถูกค่ะ”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาแล้ว มา มานอน” นัทธีตบลงที่ข้างๆ เป็นนัยให้วารุณีไปหา
วารุณียิ้ม แล้วเดินเข้าไป
เมื่อเดินไปถึงข้างเตียง ก็ถูกมือนัทธีจับไว้ หลังจากนั้นก็ออกแรงดึง วารุณีถูกเขาลากขึ้นไปที่เตียงทันที แล้วนอนหงายอยู่ในอ้อมกอดเขา
“นอน” นัทธีห่มผ้าให้เธอและตัวเอง แล้วจับเธอโอบไว้แน่นๆ แล้วหลับตา
วารุณีมองออกถึงใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเขา จึงตอบอืม อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟังไม่ขยับ ละหลับตา
หลังจากทรมานมาเกือบทั้งคืน ทั้งสองเหนื่อยมาก จึงหลับไปอย่างรวดเร็ว
การนอนครั้งนี้ ตอนเที่ยงของวันที่สอง นัทธีก็ถูกปลุกจากสายของมารุต
เขาขมวดคิ้วลืมตา หลังจากก้มหน้ามองผู้หญิงในอ้อมกอด ค่อยๆ ดึงผู้หญิงคนนั้นออกจากเอวอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็บิดตัวไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนหัวเตียง
แต่ไม่ว่าจะขยับเบาแค่ไหน ก็ยังคงทำให้วารุณีตื่นอยู่ดี
แล้วเสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ตรงนั้น
วารุณีคลึงที่ตาแล้วลืมตา ยังคงเป็นเสียงเบาหลังจากตื่นนอน “ที่รัก อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“อรุณสวัสดิ์ ทำคุณตื่นเหรอ?” นัทธีตอบกลับเสียงอ่อน
วารุณีส่ายหัว “ไม่หรอกค่ะ นี่ก็ควรถึงเวลาตื่นแล้ว กี่โมงแล้วคะ?”
เธอถาม
นัทธีเหลือบดูเวลาด้านขวาบนของโทรศัพท์ หางคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด “สิบเอ็ดโมงครึ่ง”
“สิบเอ็ดโมงครึ่ง?” วารุณีกระตุกที่มุมปาก จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง “คุณพูดว่า สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว?”
นัทธีอืมตอบกลับ ไม่พูดอะไร
วารุณีตบเข้าที่หน้าผาก “ทำไมถึงหลับไปนานขนาดนี้ วันนี้ฉันมีประชุมที่บริษัทนะ”
“เมื่อวานพวกเรานอนดึกไปหน่อย แล้วก็เหนื่อยมากด้วย เลยตื่นสายกัน ไม่เป็นไร ไปประชุมตอนบ่ายก็ไม่สาย” นัทธีพูดเบาๆ
เขามีประชุมช่วงเช้าเหมือนกัน ก็พลาดเหมือนกัน
ดังนั้นที่มารุตโทรมา ไม่ต้องรับสายเขาก็รู้
ถึงแม้จะคิดแบบนี้ แต่นัทธีก็รับโทรศัพท์
เป็นอย่างที่คิดได้ มารุตเอ่ยปากถาม “ประธานครับ วันนี้มีประชุมตอนเช้าไม่ใช่เหรอครับ?ทำไมประธานถึง?”
นัทธีพิงไปบนหัวเตียง ขยี้จมูกเราพูด “ตื่นสายนะ เลื่อนประชุมไปเป็นตอนบ่ายสอง แล้วอะไรที่ไม่สำคัญ ก็ยกเลิกไปได้เลย อันไหนที่ยกเลิกไม่ได้ก็เลื่อนไป”
“ครับ” มารุตผลักแว่น
หลังจากนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ แล้วพูดอีก “ใช่แล้วครับ เมื่อคืนคุณหมอพิชิตถูกสองสามีภรรยาด็อกเตอร์เอาตัวกลับไปที่ตระกูลอักษรพิรัตเดาว่าต่อไปคงจะถูกขังไปอีกนาน”
นัทธีไม่ตกใจอะไร
ตระกูลอักษรพิรัตอยากตาย ที่พ่อแม่ของพิชิตทำแบบนี้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ จับพิชิตขังไว้ พิชิตจะได้ไม่ทำเรื่องบ้าๆ
“นอกจากนี้ ดร.พิจักรก็อยากเจอประธานด้วยครับ อยากคุยกับประธานเรื่องนวิยา” มารุตพูดอีก
เดาว่าพ่อของพิชิตคงอยากรู้ว่าตกลงแล้วนวิยาตายยังไง
ยังไงซะก็เกี่ยวข้องกับลูกตัวเอง อยากจะรู้ก็เป็นเรื่องปกติ
“ได้” เห็นได้ชัดว่านัทธีก็นึกถึงเรื่องพวกนี้เหมือนกัน พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการเห็นด้วย “จัดตารางไว้เจอตอนเย็นแล้วกัน”
“โอเคครับ” มารุตตอบ
นัทธีวางโทรศัพท์
วารุณีจามตรงหน้าเขา “มีอะไรเหรอ?”
“พ่อแม่ของพิชิตอยากเจอผม” นัทธีพูด
วารุณีพยักหน้า “คุณตอบรับไปแล้ว ก็ไปเจอเถอะค่ะ”
“อืม ผมก็คิดแบบนั้นแหละ เอาละ ไปล้างตัวก่อน” นัทธีโยนโทรศัพท์ไปด้านข้าง ยกผ้าห่มขึ้น
วารุณีพยักหน้า จะลงจากเตียงเหมือนกัน ก็มีคนมาเคาะประตู เสียงเด็กเล็กทั้งสองก็ดังเข้ามา “พ่อคะ แม่ครับ ตื่นได้แล้ว รีบตื่นได้แล้ว พระอาทิตย์แยงก้นแล้ว”
ได้ยินแบบนี้ วารุณีมองตากับนัทธี แล้วยิ้ม นัทธีเดินไปที่ประตู แล้วเปิดประตู
เด็กทั้งสองเงยหัวเล็กๆ มองไปที่เขา
ไอริณเอามือท้าวเอว ปากเล็กๆ สอน “พ่อคะ คุณครูบอกว่า ต้องรีบนอนรีบตื่นนะคะ แต่พ่อกับแม่นอนเล่นถึงป่านนี้ แบบนี้ไม่ดีนะคะ”
อารัณคือคนตามน้องสาว น้องสาวพูดอะไร ก็ตามนั้น ดังนั้นจึงพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่ครับ”
เมื่อมองไปที่ท่าทางจริงจังของเด็กสองคน มุมปากนัทธีก็ยกยิ้มขึ้น “ขอโทษครับไอริณ พ่อกับแม่ผิดไปแล้ว ครั้งหน้าจะไม่แต่งตาแบบนี้อีกแล้วครับ”
“ก็ต้องเป็นแบบนี้สิคะ รีบนอนรีบตื่นดีต่อร่างกาย คุณพ่อต้องจำไว้นะคะ ไอริณไม่อยากให้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ไม่ดี” ไอริณกะพริบตาพูด
นัทธีใจแทบละลายเป็นแอ่งน้ำ คลุกเข้าลงตรงหน้าเด็กทั้งสองแล้วคว้ามากอด น้ำเสียงนุ่มนวล “ครับ พ่อจำแล้ว”