ฉีอ๋องตัดชื่อหลู่อ๋องออกเป็นคนแรก
หากเจ้าห้ามีสมองและความสามารถ ก็คงไม่ใช่เจ้าห้าแล้วล่ะ
ฉะนั้นแล้วก็จะเหลือแค่เจ้าหกกับเจ้าเจ็ด
แต่เห็นได้ชัดว่าหมู่นี้เจ้าหกถอยออกไปนั่งดูอยู่ข้างสนาม แทบจะไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวจากทางนั้น ฉะนั้นโอกาสที่จะเป็นเจ้าหกจึงมีไม่มาก
เจ้าเจ็ด… ฉีอ๋องคิดถึงอวี้จิ่นและแววตาก็ขับประกายเย็นเยียบประหนึ่งจะกินเลือดกินเนื้อของอีกฝ่าย
ต้องเป็นฝืมือจิ้งจอกอย่างเจ้าเจ็ดแน่!
ตั้งแต่เจ้าเจ็ดกลับมาอยู่ที่เมืองหลวงก็เกิดเรื่องกับพวกเขาไม่หยุดหย่อน ความสงบตลอดหลายปีที่ผ่านมามลายหายสิ้น
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าแปดคราวนี้ตั้งใจพุ่งเป้ามาที่เขา แล้วจะบอกว่าไม่มีคนชักใยอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร
คนผู้นั้นคงต้องกำจัดลูกน้องของเขาก่อน แล้วค่อยตามมากำจัดเขาทีหลัง เจ้าเจ็ดนี่ช่างรวดเร็วและเด็ดเดี่ยวเสียจริง ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงเลยสักนิด
ความอดกลั้นและชื่อเสียงที่เฝ้าสั่งสมมาตลอดหลายปีพังทลายลงเพียงเพราะหลี่ซื่อวิ่งทะเล่อทะล่าออกไปกลางถนนใหญ่แค่ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวก็ทำให้เรื่องของเขากลายเป็นเรื่องชวนหัวที่ถูกกล่าวขานหลังมื้ออาหารของชาวบ้านทันที ความอัปยศนี้ทำให้ฉีอ๋องรู้สึกหวาดหวั่นใจเป็นครั้งแรก
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเลือกเดินทางผิดแต่แรก หรือเขาควรทำตัวหุนหันพลันแล่นเหมือนเจ้าเจ็ด?
ไม่ได้การล่ะ ต้องเขาวังไปกราบทูลเรื่องนี้กับเสด็จแม่
ครั้นฉีอ๋องตกลงใจได้แล้ว วันถัดมาเขาก็เข้าวัง
“เหนียงเหนียง ท่านอ๋องเสด็จมาเข้าเฝ้าเพคะ”
ไม่ทราบว่านานเท่าใดแล้วที่ตำหนักอวี้เฉวียนอบอวลไปด้วยกลิ่นจางๆ ของยาอยู่ตลอดเวลา นางในคนหนึ่งเข้ามารายงานเสียนเฟยที่กำลังนั่งหลับตาพิงหัวเตียงอยู่ในม่าน
ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่เสียนเฟยยังคงสวมเสื้อนวมตัวหนาภายใต้ใบหน้าซีดเซียวไร้สี
เสียนเฟยลืมตาทันทีที่ได้ยินก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา “เชิญท่านอ๋องเข้ามา”
ไม่นานเกินรอ ฉีอ๋องก็เดินเข้ามา แต่ทันทีที่เห็นสีหน้าของผู้เป็นมารดา เขาก็พูดไม่ออกเลยสักคำเดียว
เสียนเฟยสั่งให้สาวรับใช้ออกแล้วถึงถามว่า “มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”
ฉีอ๋องไม่ได้ตอบคำถามนั้น “เสด็จแม่ สีพระพักตร์ของเสด็จแม่ดูไม่ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ยังไม่หายดีอีกหรือ”
เสียนเฟยคลี่ยิ้ม “จะบอกว่าป่วยกายก็พูดได้ไม่เต็มปาก ข้าเพียงแต่ไม่มีเรี่ยวแรงเท่านั้น เจ้ามีธุระใดก็ว่ามาเถิด หากเจ้ามัวแต่อมพะนำเก็บไว้คนเดียว อาการของข้าคงแย่กว่าเดิมเป็นแน่”
ฉีอ๋องลังเลชั่วอึดใจก่อนจะเล่าเรื่องพระชายาฉีอ๋อง
เสียนเฟยหลับตาในขณะที่ฟัง สีหน้าของนางซีดเซียวกว่าเก่า ถึงแม้จะคันคออยากกระแอมไอ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าฉีอ๋องจึงได้แต่พยายามอดทนไว้
ฉีอ๋องเล่าจบ เขาก็ประสานมือแน่นพลางเอ่ย “ลูกต้องถูกเจ้าเจ็ดเล่นงานอยู่เป็นแน่!”
เสียนเฟยค่อยๆ ลืมตาพลางหัวเราะเย้ยหยัน “ข้าคิดไว้แต่แรกแล้วว่าคนร้ายกาจอย่างเขาคงไม่หยุดอยู่แค่เป็นบุตรบุญธรรมของฮองเฮา แต่เขาหมายจะครองตำแหน่งรัชทายาท!”
ฉีอ๋องลูบหน้าพลางเค้นเสียง “ตราบใดที่มีสิทธิ์ ใครต่างก็ต้องอยากลองลงแข่งทั้งนั้น แต่ลูกไม่อาจทนดูเจ้าเจ็ดเป็นใหญ่กว่าลูก! เสด็จแม่ ท่านก็เห็นแล้วใช่หรือไม่ว่า เจ้าเจ็ดไม่เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องเลยสักนิด หากเขาทำสำเร็จ เกรงว่าจวนฉีอ๋องของลูกคงมอดไหม้เป็นขี้เถ้า…”
เสียนเฟยถอนหายใจพรูยาว “ข้าจะไม่ทราบได้อย่างไร ข้าไม่ควรให้สัตว์ร้ายเช่นเขาเกิดมาแต่แรก วันนี้จะได้ไม่มีคนคอยสร้างความลำบากให้ลูกชายของข้า”
ฉีอ๋องหลุบตาเพื่อซ่อนเร้นความโหดเหี้ยม เขากล่าวเน้นที่ละคำ “เสด็จแม่ ลูกมีแผนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ลองเล่าให้ข้าฟังซิ”
แม้ในห้องนั้นไม่มีหน้าต่าง แต่สายตาของฉีอ๋องกลับหยุดอยู่ ณ จุดๆ หนึ่ง ซึ่งก็คือทางที่หันไปยังตำหนักฉือหนิง
เสียงของฉีอ๋องดังขึ้นข้างหูเสียนเฟย “ดูเหมือนว่าไทเฮาจะยังไม่ทราบว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางเสียชีวิตไปแล้ว”
เสียนเฟยชะงักงันก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้
ไทเฮาไม่มีบุตร ฉะนั้นทั้งโอรสและธิดาทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นบุตรบุญธรรม โอรสคือจิ่งหมิงฮ่องเต้ ส่วนธิดาคือองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความโอหังขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเกิดขึ้นได้เพราะมีไทเฮาคอยให้ท้าย
หลังจากที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางถูกชุยซวี่สังหาร จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เกรงว่าไทเฮาจะรับความจริงไม่ไหว จึงปิดเรื่องนี้เป็นความลับจากไทเฮา
“หากไทเฮาทรงทราบเรื่องการเสียชีวิตขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง พระนางคงจะสั่งให้สืบหาสาเหตุการเสียชีวิตของธิดาอย่างแน่นอน และเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ไทเฮาก็ไม่อาจรู้สึกดีกับนางได้ และแน่นอนว่าเจ้าเจ็ดก็จะพลอยติดร่างแหไปด้วยในฐานะที่เป็นสามีของนาง”
เสียนเฟยพยักหน้า “จังเอ๋อร์ เจ้าพูดถูก ในสายพระเนตรของไทเฮา ต่อให้มีเหตุผลมากมายเพียงใด แต่ก็ยังเป็นมนุษย์ มนุษย์ล้วนถูกครอบงำด้วยความรู้สึก หากมิใช่เพราะพระชายาเยี่ยนอ๋องหมายจะล้างแค้นแทนมารดาแต่แรก เรื่องที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางทำร้ายซูซื่อตั้งแต่ปีมะโว้คงไม่แดงออกมา และชุยซวี่ก็คงไม่จบชีวิตนางด้วยมือของเขาเอง สุดท้ายไทเฮาก็จะรู้ว่าคนที่พาธิดาของนางไปสู่ความตายก็คือสะใภ้เจียงตัวแสบ…”
ฉีอ๋องหัวเราะเสียงเย็น “เสด็จพ่อทรงให้ความเคารพไทเฮา หากไทเฮาไม่ทรงโปรดเจ้าเจ็ด เสด็จพ่อก็คงจะเกลียดเจ้าเจ็ดไปด้วย และเจ้าเจ็ดก็เลิกฝันว่าจะได้ตำแหน่งรัชทายาทไปได้เลย…”
“นั่นก็ไม่แน่” เสียนเฟยส่ายศีรษะ
“เสด็จแม่?”
เสียนเฟยพิศมองบุตรชายด้วยสายตาอ่อนโยน “เจ้าเนี่ยนะ ช่างไม่เข้าใจเสด็จพ่อของเจ้าเอาเสียเลย ถึงแม้เขาจะเคารพไทเฮา แต่สุดท้ายเขาก็เป็นองค์จักรพรรดิ เขาคงไม่ปล่อยให้ความโปรดปรานของไทเฮากระทบกับการเลือกองค์รัชทายาท เสด็จพ่อของเจ้าทำได้แม้กระทั่งเลือกคนที่ตัวเองไม่ชอบ…ฉะนั้นแล้วแม่ถึงได้มั่นใจว่าเจ้ามีโอกาสมากที่สุด”
หากเขาทำสิ่งต่างๆ โดยยึดความชอบเป็นหลัก นางคงไม่ได้เป็นเสียนเฟย และฮองเฮาก็คงไม่ได้เป็นฮองเฮา
“เสด็จแม่ หมายความว่าให้ลูกอยู่เฉยๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าต้องทำอะไรสักอย่างสิ สัตว์ร้ายอย่างเขาเหิมเกริมถึงเพียงนี้ การปล่อยเขาไว้รังแต่จะส่งผลเสียต่อเจ้า หากเส้นทางของเขาราบรื่น เกิดเสด็จพ่อของเจ้าเห็นว่าเขาเป็นคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทขึ้นมาก็แย่กันพอดี เช่นนั้นเจ้าคงต้องลงมือจากฝั่งไทเฮาก่อน อย่างน้อยๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ เสด็จพ่อของเจ้าก็คงไม่พอใจเขา แล้วพอถึงตอนนั้น เจ้าก็ให้พวกเหล่าขุนนางที่คอยสนับสนุนเจ้าช่วยกันป้ายความผิด หากมีคนสลับกันเข้ามารายงานความผิดของเขาเรื่อยๆ เสด็จพ่อของเจ้าก็จะตัดเขาออกจากตัวเลือกไปเอง ถึงตอนนั้นแล้วถึงจะเรียกว่าวางใจได้จริงๆ”
ฉีอ๋องยกมือคารวะ “เสด็จแม่ทรงรอบคอบยิ่งนัก เพียงแต่หมู่นี้ไทเฮาไม่ค่อยเสด็จออกจากวังหลวง ลูกจึงยังคิดไม่ตกว่าจะบอกให้ไทเฮาทราบเรื่องนี้อย่างไร”
เสียนเฟยเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ย “เรื่องนั้นไม่ยาก แม้ไทเฮาจะไม่เสด็จออกจากวัง แต่คนในตำหนักฉือหนิงจะต้องออกจากวังหลวงเป็นประจำอยู่แล้ว”
“พระองค์หมายถึง…”
“ฉังหมัวมัวจากตำหนักฉือหนิงจะต้องออกจากวังหลวงเพื่อไปถวายปัจจัยที่วัดแทนไทเฮาเป็นประจำอยู่แล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้เรื่องนี้ไปถึงพระกรรณของไทเฮา”
ฉีอ๋องดวงตาเป็นประกาย “ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงชี้นำพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยกำชับ “แต่เจ้าต้องรอบคอบ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เจ้าจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด”
“เสด็จแม่วางพระทัยได้ ลูกจะจำให้ขึ้นใจพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเสียเงินชุบเลี้ยงคนพวกนั้นไปตั้งเท่าไหร่ เขาไม่มีทางปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ หรอก
ครั้นหวนคิดถึงเรื่องเงิน ศีรษะของฉีอ๋องก็ปวดหนึบ
เขาไม่มีสิทธิ์ยุ่งสินเดิมของหลี่ซื่ออีกแล้ว ตราบใดที่จวนยังทำกำไรไม่ได้ เขาก็ยังขาดทุนอยู่เรื่อยๆ
เสียนเฟยหยิบกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากในมุมมืดและส่งให้บุตรชาย
“เสด็จแม่…”
“รับไปสิ หลี่ซื่อก่อเรื่องไว้ขนาดนั้น เจ้าต้องดูแลจวนคนเดียว ใช้เงินนี้ให้ดี”
“เสด็จแม่ ลูกจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” ฉีอ๋องทำหน้าซาบซึ้ง
วันคืนหลังจากนั้นยากเย็นสำหรับฉีอ๋องยิ่งนัก ทุกครั้งที่พบหน้าคนอื่นๆ เขามักจะเห็นแววตายิ้มเยาะจากอีกฝ่าย
ฉีอ๋องชื่อเสียงดีมาตลอด เขาไม่เคยก่อประวัติเลวร้าย แต่เมื่อเกิดเรื่องกับจวนฉีอ๋อง ผู้คนจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ
จำเป็นต้องบอกว่า สิ่งที่พระชายาฉีอ๋องก่อคราวนี้ส่งผลกระทบต่อฉีอ๋องอย่างใหญ่หลวง
ฉีอ๋องฝืนทนให้ช่วงเวลาเหล่านี้ผ่านพ้นไป และในที่สุดก็ถึงวันที่หนึ่งเดือนสี่…วันที่ฉังหมัวมัวจะออกจากวังหลวง