บทที่ 726 โคมไฟตั้งโต๊ะ

บทที่ 726 โคมไฟตั้งโต๊ะ

ต้องบอกว่าฉีเสี่ยวฟางเป็นคนที่เด็ดขาดจริง ๆ หลังจากเธอคิดเรื่องนี้ชัดเจนแล้วก็เปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่โดยพลัน เมื่อวานเพราะอิ่นหรูอวิ๋นชักนำให้อารมณ์ร้อน แต่ตอนนี้สงบลงมาก

ฉีเสี่ยวฟางคิดมากมายตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน

เพื่อนนักศึกษาคนอื่นในหอพักแม้เธอจะไม่ได้ถามใคร แต่โดยพื้นฐานแล้วคนเหล่านั้นล้วนอยู่ในเมืองหลวง

เธอที่เป็นเด็กสาวจากชนบทย่อมแตกต่างจากคนอื่น เป็นธรรมดาที่อิ่นหรูอวิ๋นจะดูแคลนเธอ พอคิดถึงตรงนี้ฉีเสี่ยวฟางก็กำหมัด ไม่เป็นไรอยากดูถูกก็ดูถูกไป สิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือการมองตัวเองให้ออก

แม้ตัวเองกินเยอะแล้วมันทำไม?

ตราบใดที่ไม่ได้คิดจะไปกินอาหารของคนอื่น เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นดูแคลนแล้ว

ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้รู้สึกรังเกียจฉีเสี่ยวฟางมากมายนัก

สุดท้ายแล้วก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ชนบท ซูเสี่ยวเถียนก็เคยเห็นคนแบบฉีเสี่ยวฟางมามาก

พวกนั้นก็แค่โลภและระแวดระวังหน่อยก็แล้วไปเถอะ คนแบบนี้หากจะบอกว่าเธอเป็นคนชั่วร้ายก็พูดไม่ได้จริง ๆ ดังนั้นเมื่อเห็นฉีเสี่ยวฟางในโรงอาหารซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ได้คิดจะทักทายก่อน

วันนี้ยุ่งมาทั้งวัน ซูเสี่ยวเถียนเดินทางจนเหนื่อย ตอนนี้ยังรู้สึกปวดน่องและไร้เรี่ยวแรงอยู่เลย

หลังจากรีบกินข้าวเรียบร้อยซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ได้คิดจะคุยกับฉืออี้หย่วนให้ยืดยาวนัก และต้องการกลับไปพักผ่อนที่หอพัก

ฉืออี้หย่วนเห็นเด็กสาวตัวน้อยลำบากถึงเพียงนี้ก็รู้สึกปวดใจจริง ๆ

ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมสาวน้อยคนนี้ต้องมาลำบากแบบนี้

แม้ความสามารถในตอนนี้ของตระกูลซูจะไม่สามารถทำให้เธอใช้ชีวิตอย่างลูกคนรวยได้ แต่เมื่อแน่วแน่ที่จะมาเป็นนักศึกษาก็ไม่ได้มีปัญหา

ทว่าเด็กหญิงตัวน้อยกลับคิดเรื่องที่ว่าจะหาเงินอย่างไร

“พรุ่งนี้เช้ามีเรียนคาบเช้า ให้พี่ไปห้องเรียนเป็นเพื่อนเธอไหม?”ฉืออี้หย่วนยังคงพูดอย่างเป็นห่วง

วันนี้ซูเสี่ยวเถียนไม่มีเวลาพอที่จะเดินดูในมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงยังไม่รู้ตำแหน่งของห้องเรียนอย่างชัดเจน แต่เธอไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ในห้องพักมีกันอยู่หลายคน ต้องมีสักคนที่รู้ตำแหน่งชัดเจนแน่นอน

ไม่จำเป็นต้องให้ฉืออี้หย่วนเทียวไปเทียวมา

เธอที่เป็นเด็กหญิงซึ่งยังไม่โตเต็มวัยไปเข้าเรียนแบบนี้ สามารถคาดเดาได้ว่าจะดึงดูดความสนใจแบบใดต่อคนอื่น

ยิ่งหากไปกับฉืออี้หย่วนที่เปล่งประกายราวกับพระพุทธองค์ปรากฏตัวยิ่งแล้วใหญ่

“ฉันไปกับคนอื่นในหอพักได้ค่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนนึกถึงความเป็นไปได้ที่ฉืออี้หย่วนจะถูกผู้หญิงที่บ้าผู้ชายมากมายหมายตาและตัวเองอาจจะถูกผู้หญิงบ้าผู้ชายจำนวนมากขุ่นเคือง เมื่อพูดจบจึงโบกมือทันที

ฉืออี้หย่วนยิ้มเจื่อน เอาเถอะในเมื่อสาวน้อยไม่อนุญาตถ้าอย่างนั้นไม่ไปส่งก็ได้

ถึงมหาวิทยาลัยจะใหญ่แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะเดินหลงทางได้ ทั้งสองคนพูดคุยกันเดินออกมาจากโรงอาหาร ที่ทางเข้าโรงอาหารฉีเสี่ยวฟางเพิ่งล้างทำความสะอาดข้าวกล่อง ออกมาจากในห้องน้ำก็บังเอิญพบกับฉืออี้หย่วนและซูเสี่ยวเถียนพอดี

ซูเสี่ยวเถียนเดิมทีคิดว่าฉีเสี่ยวฟางคงไม่เป็นฝ่ายเริ่มทักทายเธอก่อน ดังนั้นจึงไม่คิดจะมีท่าทีกระตือรือร้นเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ

แต่คาดไม่ถึงว่าฉีเสี่ยวฟางจะไม่ทักทายจริง ๆ ทว่ากลับส่งยิ้มให้เธอ

ซูเสี่ยวเถียนชะงักไปครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็ยิ้มกลับไป

แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนตื้นเขินมาก หลังจากยิ้มให้กันก็ไม่มีคำพูดอื่นใดอีก

แม้ซูเสี่ยวเถียนจะให้ฉืออี้หย่วนกลับไปพักผ่อน แต่ฉืออี้หย่วนก็ยังยืนกรานจะไปส่งซูเสี่ยวเถียนที่ใต้หอพัก

ฉีเสี่ยวฟางไม่ได้คิดจะเริ่มเข้าใกล้ซูเสี่ยวเถียนก่อน เดินตามหลังซูเสี่ยวเถียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่ง

แต่แม้จะเป็นระยะห่างสั้น ๆ ก็ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ซูเสี่ยวเถียนและฉีเสี่ยวฟางจึงเดินตามกันเข้ามาในหอพัก

เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาด้วยกันฉู่เยว่ก็แปลกใจมาก ทำไมซูเสี่ยวเถียนถึงไปอยู่กับฉีเสี่ยวฟางได้?

“เสี่ยวเถียนทำไมเธอเพิ่งกลับมาเวลานี้ ถ้าเธอยังไม่กลับมาฉันคงสงสัยว่าเธอหลงทางไปแล้วหรือเปล่า!” จ้าวหงเหมยพูดหยอกล้ออย่างติดตลก

“ฉันเป็นคนฉลาดขนาดนี้จะหลงทางได้ยังไง? ถึงเธอจะหลงทางแต่ฉันไม่หลงทางแน่นอน!” ซูเสี่ยวเถียนแกล้งพูดเคือง ๆ

จ้าวหงเหมยหัวเราะ

ซูเสี่ยวเถียนสังเกตเห็นว่าเตียงสองหลังสุดท้ายถูกจัดเรียบร้อยแล้ว เห็นแบบนั้นดูท่าเพื่อนร่วมห้องพักสองคนสุดท้ายคงมาถึงแล้ว

“รูมเมทใหม่ของพวกเรามาถึงแล้วหรือ?”

“มาถึงแล้ว!” ต่งเยี่ยนอันพูดด้วยรอยยิ้ม “มาถึงช่วงบ่ายตอนนี้ออกไปกินข้าวเย็นไม่แน่เธออาจจะเจอในโรงอาหารแล้ว”

“ถึงจะเจอก็ไม่รู้จักอยู่ดี!” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มพูด

ความจริงโรงอาหารใหญ่มาก ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้มีโรงอาหารแค่แห่งเดียวโอกาสที่จะพบกันจึงน้อยมากจริง ๆ

ฉีเสี่ยวฟางยังคงไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่หยิบอุปกรณ์ไปใช้ล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำอย่างเงียบ ๆ

“เสี่ยวเถียนเธอรู้สึกหรือเปล่าว่าวันนี้ฉีเสี่ยวฟางดูแปลก ๆ?”

ต่งเยี่ยนอันรู้สึกประหลาดที่วันนี้ทั้งวันดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินเสียงฉีเสี่ยวฟางพูดเลย

นิสัยของต่งเยี่ยนอันเป็นคนที่อ่อนโยนมากจริง ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเห็นฉีเสี่ยวฟางก็อยากจะช่วยฉีเสี่ยวฟางจริง ๆ

สายตาในตอนที่เด็กสาวเข้ามาในห้องพักต่งเยี่ยนอันมองเห็นอย่างชัดเจน สายตานั่นดูมีความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างแปลก ๆ

สายตาแบบนี้ต่งเยี่ยนอันเคยเห็นตอนที่กลับไปชนบทเมื่อสองปีก่อนจากใบหน้าของพี่สาวคนโตของตนต่งเยี่ยนหนาน

ดังนั้นในชั่วขณะนั้นต่งเยี่ยนอันจึงรู้สึกเห็นใจฉีเสี่ยวฟาง

ความรู้สึกนี้ของต่งเยี่ยนอันคนอื่นย่อมไม่รู้ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่ได้พูดออกมา

“ใครจะรู้ว่าฉันจะมองฉีเสี่ยวฟางคนนี้ไม่ออก” จ้าวหงเหมยพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก

เธอก็เป็นคนเช่นนี้หากความคิดต่างกันก็อย่ามาคบกันเลย หากพูดคุยกันได้เช่นนั้นก็พูดคุย หากพูดคุยกันไม่ได้เช่นนั้นก็ช่างมัน

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้หวังว่าจะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนในหอพักได้ จะมีคนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีด้วยก็เป็นเรื่องปกติ

“วันนี้พวกเธอไปดูห้องเรียนหรือยัง?”

หลังจากหยอกล้อกันไม่กี่ประโยคซูเสี่ยวเถียนก็คิดจะไปล้างหน้าแปรงฟัน ตอนที่หยิบกะละมังล้างหน้าเธอก็นึกถึงปัญหานี้ขึ้นมาได้อย่างกะทันหันจึงถามออกไปหนึ่งประโยค

“ไปแล้ว ๆ เธอวางใจเถอะพรุ่งนี้เธอจะไปถึงห้องเรียนอย่างปลอดภัยแน่นอน”

จ้าวหงเหมยพูดอย่างสบายอกสบายใจ ไปหยิบกะละมังล้างหน้าออกมาจากใต้เตียงของตัวเอง

ฉู่เยว่และต่งเยี่ยนอันที่หยอกล้อกันอยู่ก็ต้องการไปล้างหน้าแปรงฟันด้วย

ตอนที่อิ่นหรูอวิ๋นเข้ามาก็เห็นทั้งสี่คนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ถืออุปกรณ์ล้างหน้าแปรงฟันไปที่ห้องน้ำ เรื่องนี้ทำให้ในใจของอิ่นหรูอวิ๋นรู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอก็ระงับอารมณ์ของตัวเองไว้ได้

“ทำไมพวกเธอกลับมาเร็วขนาดนี้?”

แม้คำพูดนี้จะไม่เจาะจงแต่สายตากลับมองเพียงซูเสี่ยวเถียนคนเดียว เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้พูดให้ซูเสี่ยวเถียนฟัง

หลังจากเผชิญหน้ากันวันนี้แล้วตอนนี้ซูเสี่ยวเถียนไม่คิดจะสนใจอิ่นหรูอวิ๋น

ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ได้ถามเธอดังนั้นซูเสี่ยวเถียนจึงไม่ได้เปิดปากพูด

ต่งเยี่ยนอันพยักหน้าพูด “ใช่พวกเรากลับมาเร็วหน่อย คิดว่าหลังล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยจะอ่านหนังสือสักหน่อย”

เมื่อวานหลังจากเห็นซูเสี่ยวเถียนใช้โคมไฟตั้งโต๊ะอ่านหนังสือ ตอนที่พวกเธอออกไปข้างนอกวันนี้ก็ไปซื้อโคมไฟตั้งโต๊ะกลับมาด้วย

เพียงแต่สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือไม่เพียงแต่พวกจ้าวหงเหมยเท่านั้นที่เริ่มหยิบโคมไฟตั้งโต๊ะออกมาบนเตียงเพื่ออ่านหนังสือ แต่ฉีเสี่ยวฟางก็หยิบโคมไฟตั้งโต๊ะออกมาเช่นกัน

ตอนนี้โคมไฟตั้งโต๊ะนับว่าเป็นสินค้าหายากจริง ๆ ราคาก็ไม่ถูกด้วย แต่วันนี้ฉีเสี่ยวฟางยังซื้อโคมไฟตั้งโต๊ะกลับมาได้

เธอรู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้หนักไม่อาจเสียเวลาไปเปล่าๆ ได้

คนในครอบครัวให้เธอมาเรียนที่มหาวิทยาลัย ทำให้เธอสามารถกินข้าวขาวได้ไม่ใช่เพื่อให้เธอมาเสียเวลาเปล่า ๆ ที่มหาวิทยาลัย

ตอนที่พวกเธอเตรียมตัวจะอ่านหนังสือประตูก็ถูกผลักเปิดออก