ตอนที่ 1485 จ้าวตำหนักหยกวิญญาณ (4) / ตอนที่ 1486 จ้าวตำหนักหยกวิญญาณ (5)
ตอนที่ 1485 จ้าวตำหนักหยกวิญญาณ (4)
จวินอู๋เสียเข้าใจการที่ต้องปิดบังความสามารถตัวเอง และยังเข้าใจการต้องกล้ำกลืนความอัปยศอดสูเพื่อรอคอยโอกาสเป็นอย่างดี แต่ถ้าวันหนึ่งนางต้องยอมให้กองทัพรุ่ยหลินถูกข่มเหงและทำให้อับอาย ต่อให้ต้องทิ้งชีวิตตัวเอง นางก็จะทำให้คนพวกนั้นรู้ว่าจะมาทำเป็นเล่นกับกองทัพรุ่ยหลินไม่ได้
ต่อให้ร่างแหลกกระดูกหัก นางก็จะแยกกระดูกของอีกฝ่ายออกมาให้ได้!
ประกายตาที่คมกริบของจวินอู๋เสียไม่ได้แสดงว่านางล้อเล่นหรือหลอกลวง เมื่อถูกจวินอู๋เสียกดดันหนัก เท้าของเขาก็แข็งทื่อ
“ข้าบอกพวกนางแล้วว่าตำหนักหยกวิญญาณไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทุกคนจะจากไปเมื่อไรก็ได้ ข้าจะไม่ไล่ตามพวกนาง ตอนออกไปข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องประกาศว่าตัวเองเป็นคนของตำหนักหยกวิญญาณ” จ้าวตำหนักหยกวิญญาณถอยออกไปสองก้าวแล้วหันหลังกลับทันที ดูเหมือนไม่อยากจะเห็นสายตาของจวินอู๋เสีย
“พวกนางไม่ได้จากไป” จวินอู๋เสียปลุกสติจ้าวตำหนักหยกวิญญาณอย่างไร้ความปรานี
จ้าวตำหนักหยกวิญญาณรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เขาเดินไปนั่งที่โซฟานุ่มๆ ดวงตารูปซิ่งเหรินของเขาดูอัดอั้นตันใจ “ไอ้หนู เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“ข้าบอกไปแล้ว ความร่วมมือ” จวินอู๋เสียพูดอย่างอดทน
จ้าวตำหนักหยกวิญญาณประเมินเด็กหนุ่มที่พูดคำที่น่าตกใจตรงหน้าเขาอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ข้าไม่ได้ไปไหนมาไหนในสามโลกชั้นกลางมานาน จำอะไรที่อยู่ข้างนอกนั่นไม่ค่อยได้แล้ว ดูจากโครงสร้างกระดูกของเจ้า เจ้าก็แค่ผู้เยาว์อายุประมาณสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น เจ้าบรรลุถึงขั้นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้อย่างไร พันปีที่ผ่านมาทำให้ผู้เยาว์ทุกคนที่อายุรุ่นเดียวกับเจ้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้หรือ”
จวินอู๋เสียมองจ้าวตำหนักหยกวิญญาณแล้วคำนวณเบี้ยต่อรองในมือ ในที่สุดนางก็นั่งลงบนโต๊ะเตี้ยด้านข้างและรินสุราให้ตัวเองดื่ม
“ข้ามาจากสามโลกเบื้องล่าง”
“อะไรนะ” จ้าวตำหนักหยกวิญญาณตกตะลึง
สามโลกเบื้องล่าง
“ไม่น่าเชื่ออย่างนั้นหรือ” จวินอู๋เสียจิบสุราเล็กน้อยขณะมองไปที่จ้าวตำหนักหยกวิญญาณพร้อมกับเลิกคิ้ว “ถ้าสิบสองตำหนักไม่ยื่นมือออกไปไกลเกินไปและทำลายความสงบสุขของข้า ท่านคิดหรือว่าข้าจะมาถึงที่สามโลกชั้นกลางนี่เพื่อทำให้ตัวเองลำบากแบบนี้”
ตอนที่ 1486 จ้าวตำหนักหยกวิญญาณ (5)
ใบหน้าของจ้าวตำหนักหยกวิญญาณแสดงถึงความประหลาดใจ แต่จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
“น้องชาย เจ้าไม่โม้มากไปหน่อยหรือ”
จวินอู๋เสียกวาดสายตามองเขาและพูดว่า “ถ้าทำไม่ได้ ข้าไม่พูดเรื่องนี้กับท่านหรอก”
“เจ้าเป็นเด็กที่น่าสนใจนะ แต่ถ้าเจ้าอยากโน้มน้าวให้ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ข้าต้องการเห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้” จ้าวตำหนักหยกวิญญาณกล่าว
จวินอู๋เสียไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยกับความระมัดระวังของจ้าวตำหนักหยกวิญญาณ นางชื่นชมพันธมิตรที่ระมัดระวังสิ่งต่างๆ มากกว่าเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดหรือความเข้าใจผิดในการร่วมมือกันของพวกเขา
“จ้าวตำหนักบอกว่าข้ามีพลังที่แข็งแกร่ง ด้วยพลังระดับนี้ หลังจากถูกยอมรับให้เข้าสิบสองตำหนักแล้วข้าจะเป็นอย่างไรเล่า” จวินอู๋เสียถามอย่างไม่รีบร้อน
“ผู้มีพรสวรรค์ที่หายากเช่นนี้ เจ้าจะได้รับการยกย่องอย่างสูงแน่นอน” จ้าวตำหนักหยกวิญญาณชื่นชมจวินอู๋เสียมากที่สามารถบรรลุพลังระดับนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อมองไปทั่วสามโลกชั้นกลางแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แม้แต่สิบสองตำหนักที่ยิ่งใหญ่ก็ยังอยากได้สมาชิกแบบนางไปเข้าร่วม
“ถ้าข้าทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับสิบสองตำหนัก พวกเขาจะปฏิบัติกับข้าอย่างสมาชิกคนหนึ่งของพวกเขาแล้วดูแลข้าเป็นอย่างดีหรือเปล่า” จวินอู๋เสียถามต่อ
“พวกเขาย่อมทำเช่นนั้นอยู่แล้ว จุดประสงค์ของงานชุมนุมเทพยุทธ์ก็จัดขึ้นเพื่อให้พวกเขาได้ค้นพบผู้เยาว์ที่ยังเด็กและอ่อนต่อโลก จุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือการดูแลและพัฒนาสมาชิกที่แข็งแกร่งที่มีความจงรักภักดีต่อพวกเขา” จ้าวตำหนักหยกวิญญาณพูด
“แล้วถ้าข้าแทงพวกเขาตรงจุดนั้นเล่า” จวินอู๋เสียยังคงถามต่อไป
จ้าวตำหนักหยกวิญญาณหัวเราะเบาๆ และตอบว่า “ต่อให้เจ้าสร้างความปั่นป่วนให้กับตำหนักหนึ่งได้ เจ้าก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนรากฐานของสิบสองตำหนักได้หรอก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รักกันเหนียวแน่นทั้งฉากหน้าและในใจ แต่ทุกตำหนักก็ให้ความสำคัญกับตำแหน่งของพวกเขาในฐานะหนึ่งในสิบสองตำหนัก พวกเขาจะไม่เลิกทำเป็นจริงใจและเป็นมิตรต่อกัน เว้นแต่ว่าพวกเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนั่นแหละ ดังนั้นต่อให้เจ้าควบคุมหนึ่งในสิบสองตำหนักได้ มันก็ยังไม่พอหรอก”
“ไม่ใช่แค่หนึ่ง” จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นทันที นางเชิดหน้าเล็กน้อย “ห้าต่างหาก”
“ห้า!” คำตอบที่มีตัวเลขเกือบครึ่งหนึ่งนั้นทำให้จ้าวตำหนักหยกวิญญาณตกใจไม่น้อย
“ผู้เยาว์ห้าคนที่มีพลังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับข้า” จวินอู๋เสียพูด
“วัยเดียวกับเจ้าด้วยหรือ” จ้าวตำหนักหยกวิญญาณถาม
จวินอู๋เสียพยักหน้า
“แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าคนพวกนี้จะไม่กลับคำพูดหลังจากถูกยอมรับเข้าสิบสองตำหนัก” จ้าวตำหนักหยกวิญญาณถามต่อ
จวินอู๋เสียลดสายตาลงเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นเติมแก้วที่ว่างเปล่าของนาง
“เพราะในใจของพวกเขามีหนี้โลหิตที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกับสิบสองตำหนักได้”
จ้าวตำหนักหยกวิญญาณนิ่งเงียบและมองผู้เยาว์ที่ดูเหมือนจะพูดเรื่องต่างๆ อย่างง่ายๆ ดวงตาของเขาพลุ่งพล่านด้วยคลื่นอารมณ์
“เจ้ากล้าบอกข้าทั้งหมดนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะเอาไปบอกสิบสองตำหนักหรือ”
จวินอู๋เสียหันไปมองเขาและพูดว่า
“ต่อให้ท่านบอกพวกเขาแบบคำต่อคำ พวกเขาก็ไม่เชื่อท่านหรอก”
จ้าวตำหนักหยกวิญญาณระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เจ้าพูดถูก! ใครจะเชื่อว่าคนจากตำหนักหยกวิญญาณอยากช่วยสิบสองตำหนักให้รอดพ้นจากแผนการต่อต้านพวกเขา ต่อให้ข้าบอกพวกเขาด้วยตัวเอง พวกเขาก็จะคิดว่าข้าพยายามจะยุยงให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และไม่อยากเห็นพวกเขารับคนที่มีพรสวรรค์ที่หายากแบบนั้น!”
หลังจากหัวเราะอยู่พักหนึ่ง เขาก็หยุดทันที ดวงตาที่มีเสน่ห์ของเขามองไปที่ใบหน้าด้านข้างของจวินอู๋เสีย
“ไอ้หนู เจ้าคิดเรื่องทั้งหมดนี้ไว้แล้วตอนที่เจอจื่อจินครั้งแรกใช่หรือไม่ เจ้าเดาว่าข้าคงจะไม่นั่งอยู่เฉยๆ เมื่อศิษย์ของข้าโดนคนอื่นรังแก และรู้ว่าสิบสองตำหนักกับตำหนักหยกวิญญาณเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟ ดังนั้นข้าจะไม่เปิดโปงเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าถึงได้กล้าเปิดเผยแผนการทั้งหมดให้ข้าฟังอย่างมั่นใจสินะ” ทั้งหมดนี้ ทุกขั้นตอนที่นางทำลงไปล้วนอยู่ในการคำนวณของเด็กสาวหมดแล้ว!
จวินอู๋เสียแค่เงยหน้าขึ้น ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ เพียงแค่มองจ้าวตำหนักหยกวิญญาณด้วยสายตาเย็นชาเท่านั้น