เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของหลงต้าน อวี้จิ่นกลับยกชาขึ้นมาละเลียดพลางกล่าวเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ไหนว่ามาซิ ว่ามีเรื่องอะไร”
พอไม่มีเหลิงอิ่งคอยควบคุม เขาก็ไม่กล้าหวังสูงกับเจ้าคนนี้นัก
ท่าทีของเจ้านายทำให้หลงต้านรู้สึกไม่ไม่ชอบใจ
ทำไมล่ะ เจ้านายไม่เชื่อที่เขาจะพูดอย่างนั้นหรือ
หลงต้านกระแอมไอพลางเอ่ย “วันนี้ฉังหมัวมัวเป็นตัวแทนจากพระตำหนักฉือหนิงไปถวายธูปที่วัดฝูเต๋อตามปกติ ผู้น้อยจำที่เจ้านายกำชับได้ว่า ให้จับตาดูอย่างใกล้ชิด ไม่คิดว่าการสะกดรอยตามครั้งนี้จะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ…”
อวี้จิ่นหมดความอดทน เขาตบโต๊ะฉาดใหญ่ “เข้าเรื่องสักที!”
แม้ไทเฮาตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เขาก็ไม่กล้าสอดมือเข้าไปยุ่งกับตำหนักฉือหนิง อวี้จิ่นจึงพุ่งความสนใจไปที่ความสัมพันธ์ของไทเฮากับนอกวังหลวง ดังนั้นฉังหมัวมัวที่ออกมาถวายธูปที่วัดฝูเต๋อทุกวันที่หนึ่งของเดือนจึงจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
เนื่องจากตำแหน่งและเวลาถูกกำหนดไว้ตายตัว ฉะนั้นจึงสะดวกแก่การส่งคนหนึ่งคนหรือสองคนไปสะกดรอยตาม
อวี้จิ่นจึงมอบหมายงานนี้ให้หลงต้าน
หากจะว่ากันตามจริง เขาไม่คิดว่าจะได้รับความคืบหน้าในเวลาอันรวดเร็วปานนี้
หลงต้านรู้ว่าอวี้จิ่นเริ่มหมดความอดทนจึงไม่กล้าเยิ่นเย้อ เขารีบเล่าเรื่องวันนี้โดยละเอียด “สตรีสองนางนั้นจงใจพูดเรื่ององค์หญิงใหญ่หรงหยางให้ฉังหมัวมัวได้ยิน เมื่อฉังหมัวมัวทราบ ไทเฮาก็จะต้องทราบ และเมื่อไทเฮาทรงทราบ พระนางจะต้องไม่พอพระทัยท่านและพระชายาเป็นแน่… เจ้านาย ดูแล้วเรื่องนี้น่าจะพุ่งเป้ามาที่ท่านนะขอรับ!”
อวี้จิ่นตอบรับแผ่วเบาก่อนจะถาม “แล้วสตรีทั้งสองนางนั้นเป็นใคร”
“นางหนึ่งเป็นภรรยาของจ้าวถีจวี๋จากกรมขุนนาง ส่วนอีกคนคือภรรยาของจางจู่ปู้ในหงหลูซื่อ ในตอนนั้นผู้น้อยอ้างตัวว่าเป็นองครักษ์จิ่นหลิน และได้สั่งให้ลูกน้องอีกสองคนตามพวกนางไปเพื่อจะยืนยันว่าพวกนางโกหกหรือไม่…”
สามีของทั้งสองเป็นเพียงข้าราชการชั้นแปด ดังนั้นโอกาสที่ทั้งสองจะโกหกองครักษ์จิ่นหลินจึงมีไม่มากนัก
อวี้จิ่นกลับจับจุดที่สำคัญกว่า “อ้างว่าเป็นองครักษ์จิ่นหลินอย่างนั้นรึ”
หลงต้านยิ้มกรุ้มกริ่ม “ด้วยไหวพริบอันปราดเปรื่องของผู้น้อย ทำให้ผู้น้อยฉุกคิดได้ว่าการอ้างว่าเป็นองครักษ์จิ่นหลินจะง่ายต่อการสืบหาความจริงมากที่สุด อีกทั้งหากสตรีทั้งสองนางนำเรื่องนี้กลับไปบอกสามี ข้าราชการชั้นผู้น้อยทั้งสองก็คงไม่กล้าตามมาหาเรื่องที่หน่วยองครักษ์จิ่นหลินขอรับ”
อวี้จิ่นเขกหัวหลงต้านพลางกล่าวอย่างเดือดดาล “ไหวพริบอันปราดเปรื่องพระแสงอะไร คราวหลังเจ้าห้ามพูดไร้สาระเช่นนั้นนี้ ไม่งั้นข้าทุบหัวเจ้าแบะแน่!”
อ้างว่าเป็นองครักษ์จิ่นหลิน ไอ้นี่มันก็คิดได้
แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ควรเป็นองครักษ์จิ่นหลินออกโรงถึงจะเหมาะสมที่สุด… อวี้จิ่นลูบคางพลางคิดเงียบงันก่อนจะตกลงใจได้ในที่สุด
เขาส่งคนไปแจ้งเจียงซื่อ แล้วตัวเองก็เปลี่ยนไปสวมอาภรณ์เรียบๆ และออกจากจวนอ๋องไปอย่างไร้สุ้มเสียง
หน่วยองครักษ์จิ่นหลินมีงานล้นมือ แรงกดดันจึงมีมากตามไปด้วย ฉะนั้นการดื่มชาจึงมิใช่เพื่ออู้งาน แต่เป็นการทำให้สมองปลอดโปร่ง
หันหรานมักจะขึ้นไปนั่งดื่มชาที่ริมหน้าต่างชั้นสองในส่วนที่เป็นห้องพิเศษ
ในห้องนั้นไม่มีใครอื่น เขาถือชาใสกวาดสายตามองดูผู้คนที่สัญจรไปมาด้านล่าง การทำเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นผู้ควบคุมสรรพสิ่ง…แต่เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแปลกไป
เหตุใดเยี่ยนอ๋องถึงยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่ตรงนั้น
หันหรานเผลอขยี้ตา ภาพหนุ่มหล่อยิ้มแฉ่งปรากฏชัด
นั่นมันเยี่ยนอ๋องไม่ผิดแน่!
เมื่ออวี้จิ่นเห็นว่าหันหรานเห็นเขาแล้ว เขาก็ชี้นิ้วมาที่ตนเองก่อนจะชี้นิ้วกลับไปที่อีกฝ่าย
หันหรานชะงักงัน
นี่เยี่ยนอ๋องกำลังจะหมายความว่าจะขึ้นมาสนทนากับเขาข้างบนอย่างนั้นหรือ
เมื่ออวี้จิ่นเห็นว่าหันหรานยังคงไร้การตอบสนอง เขาจึงถือว่าความเงียบนั้นเป็นคำตอบ ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบทิศ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจก็กระโดดขึ้นไป และใช้มือคว้าที่ขอบหน้าต่างก่อนจะเข้าไปด้านในห้อง
หันหรานนิ่งอึ้ง
ในขณะที่เขากำลังจังงัง เยี่ยนอ๋องก็ฉวยโอกาสเข้ามาเฉยเลย?
อวี้จิ่นถือวิสาสะนั่งลงตรงข้าม และรินชาใส่แก้วตรงหน้า ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพลางถาม “ผู้บัญชาการหันทานอะไรมาหรือยัง”
แม้ว่านี่เป็นคำถามที่ชาวต้าโจวใช้ทักทายยามพบหน้าคนใกล้ชิด แต่ในวินาทีนั้นหันหรานกลับไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร
เขายังไม่ได้กินอะไร ว่าแต่เยี่ยนอ๋องเข้ามาได้อย่างไร
“นี่ข้าคงไม่ได้รบกวนการดื่มชาของท่านใช่หรือไม่ ข้าเห็นว่าผู้บัญชาการหันไม่ตอบอะไร เลยว่าจะมานั่งดื่มชาเป็นเพื่อน”
หันหรานจดจ้องไปที่ใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม และมีความคิดผุดขึ้นในหัว หน้าตารูปงามปานสลักเช่นนี้เหตุไฉนถึงได้หน้าหนานัก
หลังความเงียบงันปกคลุมชั่วอึดใจ ก่อนที่หันหรานจะส่งยิ้มพลางเอ่ย “ท่านอ๋องประสงค์จะดื่มชากับกระหม่อม นับเป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่คราวหน้าคราวหลังพระองค์เสด็จขึ้นบันไดมาจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ…”
อวี้จิ่นทำหน้าเคร่งขรึม “กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างสะดวกกว่านี่หน่า”
หันหราน “…” เขาควรเงียบปากไว้น่ะถูกแล้ว
ชาที่จิบหนนี้ชามีรสขมกว่าเดิมเล็กน้อย แต่หันหรานยังคงยิ้ม “ท่านอ๋องประสงค์จะมาดื่มชากับกระหม่อมเท่านั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเคยได้ยินมาบ้างว่า เยี่ยนอ๋องเป็นพวกนึกจะทำอะไรก็ทำ
ปลายนิ้วเรียวของอวี้จิ่นเขี่ยถ้วยกระเบื้องสีขาวด้วยท่าทีไม่ยี่หระ “บังเอิญข้าได้ยินเรื่องหนึ่งมา และคิดว่าผู้บัญชาการหันควรตรวจสอบเรื่องนี้”
“เอ่อ กระหม่อมขอฟังรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ” แม้หันหรานจะตอบไปเช่นนั้น แต่ทว่าในใจกลับไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด
หน่วยองครักษ์จิ่นหลินทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้ และรับคำสั่งจากฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียว แล้วเหล่าองค์ชายมีสิทธิ์มาออกคำสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เยี่ยนอ๋องไม่กลัวเลยหรือว่าหากฝ่าบาททรงทราบจะพิโรธ
การที่หันหรานสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยองครักษ์จิ่นหลินยาวนานถึงเพียงนี้เป็นเพราะรู้จักอดกลั้นและควบคุมสีหน้าได้ดี
“วันนี้คนของข้าไปถวายปัจจัยที่วัดฝูเต๋อ และบังเอิญไปได้เห็นเรื่องหนึ่งเข้า…”
ครั้นฟังอวี้จิ่นพูดจบ หันหรานก็ชะงักไปในทันใด
เยี่ยนอ๋องนี่โง่หรือเปล่า ที่มาป่าวประกาศว่าส่งคนของจวนตัวเองไปสะกดรอยตามคนของไทเฮา
เหตุบังเอิญปานฉะนี้ เขาจะเชื่ออย่างนั้นรึ
ในวินาทีนั้น หันหรานเดาไม่ออกว่าอวี้จิ่นต้องการจะสื่อความใด
แต่อวี้จิ่นไม่ได้ปล่อยให้หันหรานต้องคิดนาน เขาชี้แจ้ง “ผู้บังคับบัญชาหัน ภรรยาของข้าราชการชั้นผู้น้อยทั้งสองกล้าสร้างสถานการณ์ที่กระทบต่อไทเฮา เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วหน่วยองครักษ์จิ่นหลินก็ควรตรวจสอบหน่อยมิใช่หรือ”
หันหรานดึงมุมปาก
เยี่ยนอ๋องหน้าหนาเสียจริง มีหน้ามาบอกว่าคนอื่นสร้างสถานการณ์ให้คนของไทเฮา ทั้งที่ตัวเองสั่งให้คนของตัวเองคอยจับตาดูคนของไทเฮาอยู่มิใช่หรือ
“ตัวตนของสตรีทั้งสอง ข้าก็ได้สืบทราบมาเป็นที่เรียบร้อย…” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็ลูบจมูกพลางกล่าวด้วยท่าทีกระดากอาย “แต่เนื่องด้วยสถานการณ์คับขัน และเกรงว่าอีกฝ่ายจะปิดบังความจริง คนของข้าถึงได้อ้างว่าตัวเองเป็นองครักษ์จิ่นหลิน”
หากต้องการให้หันหรานเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ก็คงปิดบังเรื่องที่หลงต้านปลอมตัวเป็นองครักษ์จิ่นหลินไม่ได้ สู้เขาบอกไปตามตรงแต่แรกดีกว่า
ความโกรธแว่บผ่านในแววตาของหันหรานเพียงชั่วแล่น
อ้างตัวเป็นองครักษ์จิ่นหลินอย่างนั้นรึ!
เยี่ยนอ๋องคงไม่ได้หน้าหนาแล้วล่ะ แบบนี้เรียกว่าคนบ้าจะถูกกว่า
“ผู้บัญชาการหัน?” เมื่อเห็นหันหรานนิ่งแน่ไม่โต้ตอบ อวี้จิ่นก็ยิ้มร่าพลางเร่งเร้า
หันหรานหลุดจากภวังค์ สายตาพิศมองไปที่บุรุษตรงหน้าก่อนที่สีหน้าของเขาจะเย็นชา “การแทรกแซงกิจของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินเป็นเรื่องไม่เหมาะมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นทำหน้าน้อยใจ “แทรกแซงที่ไหนกัน ข้าเพียงแต่เสนอความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้น ในเมื่ออีกฝ่ายพุ่งเป้าไปที่ไทเฮา หากเกิดเรื่องขึ้น เกรงว่าผู้บัญชาการหันคงหนีไม่พ้นพระอาชญาของเสด็จพ่อ”
หันหรานยิ้มเยาะ “หากจะกล่าวเช่นนี้ ก็หมายความว่าคนแซ่หันควรจะขอบพระทัยท่านอ๋องเสียมากกว่า?”
มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่อยากเรียกแทนตัวเองด้วยสรรพนามสุภาพอีกแล้ว
หน่วยองครักษ์จิ่นหลินมิได้อยู่ใต้อาณัติขององค์ชายหรือเชื้อพระวงศ์องค์อื่นๆ ฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น
แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาอยากรู้คือ เยี่ยนอ๋องไปเอาความมั่นหน้าเช่นนี้มาจากที่ใดถึงได้กล้าเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าเขา!