บทที่ 600 เอาใจนาง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 600 เอาใจนาง

“เจียวเจียว!”

ระหว่างทางกลับ จิ้งคงนั่งแกว่งขาไปมาด้วยความตื่นเต้น “เจ้าเล่นเพลงได้ไพเราะมากเลย! ไพเราะกว่าที่พระอาจารย์เล่นอีก!”

“พระอาจารย์ก็เล่นเป็นด้วยหรือ” กู้เจียวถาม

จิ้งคงทำหน้าเหนื่อยหน่ายพลางเอ่ย “เล่นเป็น แต่ฟังแทบไม่ได้เลย!”

กู้เจียวนึกภาพพระอาจารย์เฒ่าเคราขาวกำลังขดสายพิณอย่างโผงผางแต่กลับเล่นผิดทำนอง

กู้เจียวเอ่ย “พระอาจารย์เจ้านี่ก็มีงานอดิเรกที่หลากหลายดีนะ”

“ก็งั้นๆ แหละ แต่สิ่งที่เขาชอบสุดหนีไม่พ้นสุราอยู่ดี!” จิ้งคงเอ่ยพร้อมกับทำท่าโบกมือปัด

“พระดื่มสุราได้ด้วยรึ”

สรุปพระอาจารย์ของเจ้าเป็นพระจริงๆ ใช่ไหม

กู้เจียวหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดกล่องกู่ฉิน พลางเอ่ย “เขาอายุมากแล้ว คนแก่คนเฒ่าดื่มสุราดีต่อร่างกาย”

จิ้งคงหรี่ตาลง ก่อนผงกหัวเห็นด้วย “นั่นสินะ!”

กว่ารถม้าจะเคลื่อนตัวมาถึงหน้าประตูเมืองก็เป็นเวลาปิดทำการแล้ว ทว่ากู้เจียวพกตรามาด้วย ทหารยามจึงเปิดประตูให้

ทันใดนั้น จิ้งคงนึกอะไรขึ้นได้ “ว่าแต่ เจียวเจียว ทำไมพวกเราต้องมาเล่นกู่ฉินในที่ห่างไกลขนาดนี้”

“ข้ามาส่งสหายคนหนึ่ง เขาออกเดินทางไปในที่ๆ แสนไกล” กู้เจียวตอบ

จิ้งคงเอียงศีรษะ “ใช่คนที่เป่าขลุ่ยให้ใช่ไหม เขาเป่าได้ไพเราะมากเลยล่ะ!”

ในเมื่อเขารักกู้เจียว ย่อมต้องรักสหายของกู้เจียวด้วยสิ!

กู้เจียวยิ้มอ่อน “อื้อ ใช่แล้ว ข้าก็คิดว่าเขาเล่นได้ดีมากเลย”

ความสนใจของเด็กมักไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ หากเซียวเหิงอยู่ที่นี่ด้วย คำถามของเขาคงจะเป็นเพื่อนคนไหน ผู้ชายหรือผู้หญิง

ทว่าจิ้งคงกลับถาม “ข้ามั่นใจว่าเขาต้องเป็นเพื่อนที่สนิทมากๆ ของเจียวเจียว แล้วเขาจะกลับมาอีกหรือไม่”

“ไม่รู้สิ” กู้เจียวไม่รู้จริงๆ ตอนที่นางฝันถึงเขา ก็ฝันว่าหลิ่วอีเซิงกลับมา แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ตรงกับในฝันเสียทีเดียว เลยไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะได้เจอเขาอีกเมื่อไหร่

ประตูเมืองค่อยๆ ปิดลง

กู้เจียวเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วมองไปยังถนนนอกเมือง

ลาก่อน หลิ่วเซี่ยง

หลิ่วอีเซิงเป็นคนฐานะยากจน สมบัติของเขามีเพียงแค่กระเป๋าเดินทางและตะกร้าหนังสือที่กู้เจียวมอบให้เขา เขาพาเสี่ยวสือเดินทางไปกับเขาด้วยเพื่อให้เขาได้คิดถึงนาง

ห้องของเขาถูกทิ้งโล่ง ไม่มีคนมาดูแล และไม่ได้ขายออกแต่อย่างใด

แค่หลิ่วเซิงหายไปคนเดียวไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเมืองหลวง ไม่มีใครสนใจเขา จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาไม่อยู่แล้ว

บางทีหลายปีต่อมา ในช่วงบ่ายที่มีแสงแดดสดใส ในร้านน้ำชาแห่งหนึ่งที่พลุกพล่าน จู่ๆ อาจมีคนพูดขึ้นมาว่า ‘เอ๊ะ ช่วงนี้ไม่เห็นหน้าค่าตาหลิ่วอีเซิงเลย’

‘อย่าบอกนะว่าเขาตายแล้ว’

‘ตายๆ ไปเถอะทายาทตระกูลหลิ่ว!’

กระนั้น เรื่องพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว

บัดนี้ เขา เจ้าเสี่ยวสือ รวมถึงความไว้วางใจและความคาดหวังของนางที่มีต่อเขา ริเริ่มการเดินทางอันยาวนานเพื่อต่อสู้กับโชคชะตา

ลาก่อน แม่นางกู้

พอกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย เจ้าตัวเล็กก็ผล็อยหลับไปแล้ว

กว่ากู้เจียวออกไปข้างนอกก็ดึกแล้ว นางไม่ได้ตั้งใจที่จะพาเจ้าตัวน้อยออกไป แต่เจ้าตัวเล็กกลับยืนยันจะออกไปให้ได้ ก็เลยต้องพาออกไปด้วย

รถม้าจอดลง

กู้เจียวยกม่านขึ้นและกำลังจะอุ้มจิ้งคงออกจากรถม้า จู่ๆ ลำแขนอันแข็งแกร่งยื่นเข้ามาเพื่อจะช่วยเหลือ

“กู้ฉังชิง” กู้เจียวมองลำแขนที่คุ้นเคยพร้อมกระพริบตาปริบๆ

“เรียกข้าว่าพี่ใหญ่สิ” กู้ฉังชิงโต้กลับ

กู้เจียวลงจากรถม้า

สองพี่น้องและอีกหนึ่งร่างเล็กที่ถูกโอบอุ้มเดินเข้าเรือนพร้อมกัน

เวลาล่วงเลยมาจนถึงกลางดึก ทุกคนหลับกันไปหมดแล้ว ทว่าเซียวเหิงยังคงไม่กลับมา

ด้วยความที่ช่วงนี้เกิดเรื่องวุ่นมากมาย ไหนจะฉินเฟิงเยียน ไหนจะราชครูจวง จนแทบจะร่างหนังสือราชการกันไม่ทัน คืนนี้เซียวเหิงเลยจำต้องค้างแรมที่กรมราชทัณฑ์

หลังจากเข้าไปในห้อง กู้เจียวก็ก็วางจิ้งคงไว้บนเตียง

“เจียวเจียว…ไพเราะมากเลย…”

เจ้าตัวเล็กกำลังละเมอฝันถึงตอนที่ได้ยินกู้เจียวเล่นกู่ฉิน

จากนั้นกู้เจียวดึงผ้าห่มมาคลุมเขา จัดมุมผ้าห่มให้เรียบร้อย แล้วกลับไปที่ห้องโถงเพื่อนั่งพูดคุยกับกู้ฉังชิง

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” กู้เจียวถาม

“เพิ่งมาถึงน่ะ ข้าผ่านที่นี่ระหว่างทางกลับก็เลยแวะมาดู” กู้ฉังชิงเอ่ย “จริงๆ ข้าควรจะกลับมาได้ตั้งนานแล้ว ข้าได้พบกับเพื่อนเก่าของเจ้าด้วยล่ะ ก็เลยอยู่ต่อไปอีกสองสามวัน”

“เพื่อนเก่าของข้ารึ” กู้เจียวมีเพื่อนอยู่ทางทิศเหนือด้วยรึ

กู้ฉังชิงเดินทางไปที่เทศมณฑลทางตอนเหนือเพื่อแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้พลีชีพ ระหว่างนั้นก็ถือโอกาสสืบเรื่องของฉินเฟิงเยียนไปด้วย

กู้เจียวมาจากเมืองโยวโจว ซึ่งอยู่คนละทิศกับเมืองที่เขาไป

กู้ฉังชิงมองกู้เจียวด้วยสายตาเอ็นดู แม้สีหน้าของกู้เจียวจะนิ่งเฉย แต่สำหรับเขา น้องสาวคนนี้ก็นิ่งเฉยได้น่ารักเหลือเกิน

“น่าจะเป็นเพื่อนเก่าของเจ้ากับจิ้งคงนะ” เขาหัวเราะ

ลากจิ้งคงมาด้วยรึ

จากนั้นกู้ฉังชิงก็เริ่มลองเชิง “เรียกข้าว่าพี่ชายสิ แล้วข้าจะบอกเจ้า”

น้ำเสียงที่ดัดแปร่งราวกับกำลังพูดกับเด็กสามขวบแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน

กู้เจียวถึงกับเลิกคิ้ว “เจ้าไปเจอเพื่อนเณรน้อยของจิ้งคงมาล่ะสิ”

กู้ฉังชิง “…”

แย่ละ นี่นางจะฉลาดเกินไปแล้วนะ

กู้ฉังชิงทำหน้ายิ้มเจื่อน ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่ยอมรับก็คงไม่ทันแล้ว

“ข้าเจอกับกลุ่มพระสงฆ์ที่มาจากวัดแถวหมู่บ้านเก่าของเจ้าระหว่างที่ข้าเดินทางผ่านเหมืองหลีฮวา ตอนนั้นข้าแวะที่จุดพักม้า กำลังป้อนอาหารให้ม้าอยู่นั้น ก็มีกลุ่มเณรน้อยที่ตัวขนาดพอๆ กับจิ้งคงมาขอบิณฑบาต สำเนียงของพวกเขาคล้ายกับตอนที่เจ้ากับเสี่ยวซุ่นเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ก็เลยถามพวกเขาไปว่าเป็นคนที่ไหน”

“พวกเขาเลยตอบว่ามาจากเมืองผิงเฉิง โยวโจว ข้าก็นึกตาม ที่นั่นคือภูมิลำเนาของเจ้านี่นา ก็เลยถามพวกเขาต่อว่ารู้จัดหมู่บ้านชิงเฉวียนหรือไม่ พวกเขาก็ตอบกลับว่ามันอยู่ตรงชายเขาซึ่งเขานั้นเป็นที่ตั้งของวัดที่พวกเขาอาศัย แถมพวกเขายังเล่าให้ฟังด้วยว่ามีเณรน้อยที่เป็นมังสวิรัติถูกคนของหมู่บ้านนั้นรับไปเลี้ยง”

“และคนที่รับเลี้ยงก็คือพี่สาวนางฟ้าใจดีที่บนใบหน้ามีดกม้ายติดอยู่”

ดกม้ายอย่างนั้นหรือ อ๋อ ดอกไม้

กู้เจียวโพล่งหัวเราะอย่างอดไม่ได้

เป็นสำเนียงของเณรน้อยพวกนั้นจริงๆ

กู้เจียวเอ่ยชื่อพวกเขาทีละคน “จิ้งซิน จิ้งฝาน และจิ้งซ่าน”

กู้ฉังชิงถึงกับทำหน้าเหวอ “นี่เจ้าจำได้ด้วยรึ”

“ข้าเคยพูดคุยกับพวกเขาน่ะ”

เพื่อนเล่นตัวน้อยทั้งสามของจิ้งคงที่ตั้งตารอให้จิ้งลงออกจากวัดทุกวัน แถมพวกเขายังไม่ได้บอกกับจิ้งคงด้วยว่าเขากินเนื้อสัตว์ไม่ได้หลังจากลงจากภูเขา เพราะพวกเขากลัวว่าจิ้งคงจะไม่ยอมออกไป

แต่จิ้งคงเองก็ใช่ย่อย จ้องแต่คอยแย่งอาหารเณรคนอื่นๆ อยู่ทุกวัน

กู้เจียวถามต่อ “แล้วเจ้าไปเจอพวกเขาได้อย่างไร”

กู้ฉังชิงอธิบาย “พวกเขาติดตามเจ้าอาวาสวัดเพื่อเข้าร่วมการประชุมธรรมมะ เดินทางเป็นระยะกว่าครึ่งแคว้น พวกเขาพักที่เมืองเย่ช่วงที่มีสงคราม เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าก็อยู่ในกองทัพด้วย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเองก็อยู่ที่นั่น”

กู้เจียวร้องอ๋อ “น่าเสียดาย คลาดกันนิดเดียว”

กู้ฉังชิงเล่าต่อ “พวกเขาพาข้าไปพบเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสถามข้ามากมายเกี่ยวกับจิ้งคง และพอรู้ว่าเจ้าไม่ส่งจิ้งคงกลับไปที่วัด เจ้าอาวาสก็ประหลาดใจมาก”

กู้เจียวสงสัย “ไยข้าต้องส่งจิ้งคงกลับไปด้วยล่ะ”

กู้ฉังชิง คงเพราะเขาเป็น…ปีศาจตัวน้อยกระมัง

กู้ฉังชิงนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบบอกกับผู้เป็นน้อง “ท่านอาวาสบอกว่าพวกเขากำลังจะกลับไปที่วัดแล้ว ขอให้เจ้าดูแลจิ้งคงให้ดี อย่าส่งกลับไปที่วัด”

กู้เจียวถามต่อ “แล้วตอนนั้นเจ้าได้เจอคนชราไว้หนวดยาวดูทรงเหมือนพระอาจารย์ไหม หลังเขาโก่งๆ เดินช้าๆ อีกทั้งมีอาการหูตาพร่ามัว”

ขนาดกู่ฉินเขายังไม่มีแรงจะดีดเลยด้วยซ้ำ

กู้ฉังชิงส่ายหัว “ไม่เห็นนะ อ้อ จริงสิ ท่านเจ้าอาวาสฝากของมาให้จิ้งคงด้วยล่ะ”

“อ้อ”

กู้ฉังชิงเดินไปข้างนอกแล้วถอดมัดแขวนออกจากอานม้า จากนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับหยิบกล่องเล็กข้างในออกแล้วยื่นให้กู้เจียว “ข้าไม่เคยเปิด เลยไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน”

กล่องนี้ถูกห่อหุ้มอย่างเรียบง่ายไม่รัดกุม

ดูเหมือนเจ้าอาวาสจะไว้วางใจกู้ฉังชิงเป็นอย่างมาก

กู้เจียวเองก็ไม่ถือวิสาสะเปิด ก่อนจะเอาไปวางไว้ที่หัวเตียงของจิ้งคง

เจ้าตัวเล็กคงดีใจไม่น้อยถ้ารู้ว่าเจ้าอาวาสมีของมาฝาก

กู้เจียวเดินออกมาจากห้องนอน ก็เห็นกู้ฉังชิงหยุดยืนที่หน้าประตูพร้อมกับมองมาที่นางด้วยแววตาลึกซึ้ง “มีอีกเรื่องที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า”

กู้เจียวเอ่ยถาม “เรื่องอันใดรึ”

“ข้าอาจต้องเดินทางออกนอกแคว้นสักพักใหญ่นะ” กู้ฉังชิงตอบ

“เพราะอะไรล่ะ” กู้เจียวเริ่มไม่เข้าใจ

นี่พวกเจ้าแต่ละคนนัดกันไว้อย่างนั้นรึ ทยอยกันเดินทางออกแบบนี้

กู้ฉังชิงยกมือลูบปอยผมของกู้เจียว “ข้าก็จะออกไปหาวิธีรักษาเจ้าน่ะสิ”

เจ้าเป็นน้องสาวของข้า

ข้าไม่อยากเห็นเจ้าสูญเสียการควบคุม และไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายตัวเองอีกเด็ดขาด

ต่อให้ต้องเดินทางผ่านภูเขาแห่งมีด ทะเลแห่งไฟ ข้าต้องหาทางรักษาเจ้าให้ได้

“ตอนที่ข้ากำลังคุยกับเจ้าอาวาส ข้าบังเอิญเล่าเรื่องของเจ้าให้ฟัง” กู้ฉังชิงกล่าว “เจ้าอาวาสบอกว่าอาจมีวิธีรักษาเจ้า ซึ่งหาได้ที่แคว้นเยี่ยน”

“แคว้นเยี่ยนเรอะ” กู้เจียวตกใจเล็กน้อย

“อันที่จริง ทักษะทางการแพทย์ของแคว้นเฉินก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน แต่ข้าคิดว่าในเมื่อเป็นแพทย์ที่ทรงพลังที่สุดอยู่แล้ว แต่หากเจ้าไม่สามารถรักษาตัวเองได้ ก็อาจไม่ใช่เรื่องของทักษะทางการแพทย์ ที่แคว้นเยี่ยนมีคนที่มีความสามารถและคนที่มีลักษณะแปลกๆ อาศัยอยู่ ข้าเลยคิดว่าจะลองไปเสี่ยงโชคที่นั่นดู”

“เจ้า ไปที่นั่นไม่ได้” กู้เจียวเอ่ย

เขาเป็นหัวหน้ากองทัพตระกูลกู้ ทุกครั้งที่ออกนอกเมืองจะต้องอนุญาต ออกนอกแคว้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

รู้ๆ กันอยู่ว่าฝ่าบาททรงไม่มีทางเห็นชอบอย่างแน่นอน เพราะเขาทำแบบนั้นแต่แรกไม่ได้อยู่แล้ว

กู้ฉังชิงหัวเราะ “ข้าไปได้ อย่างมากก็แค่ทิ้งตำแหน่งของกองทัพ”

“แคว้นเยี่ยนไม่ใช่ที่ที่อยากไปก็ไปได้เลย” กู้เจียวพูดด้วยแววตานิ่งขรึม

กู้ฉังชิงเห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือลูบหัวนาง พลางฉีกยิ้ม “วางใจเถอะน่า ข้ามีวิธีของข้า”

ข้ามีแผนรองรับตั้งมากมาย!

ท่าทีที่เขาลูบหัวนางไม่ต่างอะไรกันกับตอนที่เซียวเหิงลูบหัวจิ้งคง

และนั่นทำให้กู้เจียวไม่พอใจอย่างมาก!

“เอาละ ข้าจะกลับแล้ว ไหนเจ้าลองเรียกข้าว่าพี่ชายให้ชื่นใจที” เขาอยากเป็นพี่ชายคนแรกที่ได้รับการยอมรับจากนาง

กู้เจียวมองเขาอย่างจริงจัง สีหน้าประมาณว่า พูดจาแบบนี้กับคนรุ่นลุงเรอะ

กู้เจียว “……”

กู้ฉังชิงตั้งใจจะไปที่แคว้นเยี่ยนเพื่อรักษากู้เจียวจริงๆ

ด้วยตำแหน่งหน้าที่ของเขาในตอนนี้ วิธีเดียวที่เขาจะสามารถเดินทางข้ามแคว้นได้ คือผ่านสนามประลองใต้ดิน

สนามประลองใต้ดินถูกสร้างขึ้นโดยผู้คนในราชวงศ์จากสามแคว้นระดับบน พวกเขาคัดเลือกผู้มีความสามารถและรวบรวมข้อมูลจากแคว้นต่างๆ ผ่านสนามแห่งนี้ แม้แต่ราชสำนักก็ไม่สามารถแทรกแซงได้

ตราบใดที่เขาทำคะแนนได้สามอันดับแรก เขาก็จะมีสิทธิ์เข้าแคว้นเยี่ยน

เมื่อคืนด้วยความที่กู้เจียวเข้านอนดึก กว่าจะตื่นก็เป็นเวลาสายแล้ว ตรงกับเวลาฝึกมวยของจิ้งคงพอดี

“ฮึบ!”

พอจิ้งคงปล่อยหมัด เหล่าลูกเจี๊ยบที่ยืนอยู่ก็เซล้มกันเป็นแถบ!

…ให้ความร่วมมือกันดีใช่เล่น

กู้เจียวพอแต่งตัวเสร็จก็เดินมาแปรงฟัน ส่วนเซียวเหิงก็กำลังล้างหน้าอยู่ตรงนั้น

ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีเสียจนไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ดูดีไปหมด ขนาดตอนเขาบิดผ้าก็ยังดูงดงามราวกับภาพที่วาดด้วยหมึก

“เพิ่งกลับมาจากสำนักรึ” กู้เจียวเอ่ยทักทายเขา

เพราะเขายังอยู่ในชุดเครื่องแบบ

ทว่า ไร้เสียงตอบรับใดๆ จากเขา

หรือว่าจะไม่ได้ยินนะ

กู้เจียวกลอกตาไปมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินมาที่ฝั่งซ้ายของเขา “คุณสามี”

เซียวเหิงหันขวาแล้วตากผ้าขนหนู

กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเดินมาทางขวา “คุณสามี”

เซียวเหิงหันไปทางซ้ายแล้วเทน้ำออก

กู้เจียวยังดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น พลางนึกในใจว่าตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด

เซียวเหิงเพิ่งกลับมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า และเขาต้องไปสำนักฮั่นหลินต่อ การทำงานสองที่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

หลังจากที่เขาเดินออกไป กู้เจียวก็เรียกจิ้งคงที่กำลังง่วนกับการต่อยมวย “พี่เขยของเจ้าเป็นอะไรไปรึ”

“ก็ปกตินี่ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” จิ้งคงตอบพร้อมเอามือเกาหัว

กู้เจียวมองไปยังประตูที่ว่างเปล่า “เจ้าไม่สังเกตเห็นว่าเขาโกรธเลยหรือ นี่เขากำลังโกรธเจ้าหรือข้ากันแน่”

“โกรธรึ” จิ้งคงเกาหัวเห็ดของเขาอีกครั้ง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “อ๋อ! ข้ารู้แล้ว พี่เขยคงกำลังอิจฉาข้าอยู่แน่ๆ !”

“อิจฉาเจ้า” กู้เจียวทำหน้ามึนงง

จิ้งคงส่ายหัวอย่างมีชัย “ใช่สิ! ก็เมื่อวานข้าไปนอกเมืองกับเจียวเจียว และได้ฟังเจียวเจียวเล่นกู่ฉินด้วย! ดูเหมือนเขาไม่เคยได้ยินเจียวเจียวเล่นกู่ฉินมาก่อนเลย! และข้าก็คือคนแรกที่ได้ฟัง! คนโปรดของเจียวเจียวคือข้าจริงด้วย!”

กู้เจียวไม่สนใจที่จะแก้ไขสมญานาม “พี่เขยตัวแสบ” ที่เขาเรียก แล้วถามต่อ “แล้วเจ้า… เล่าเรื่องให้พี่เขยฟังว่าอย่างไร”

จิ้งคงเล่าด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าเล่าว่า… เจียวเจียวกับข้าเดินทางออกไปส่งสหายถึงนอกเมือง เจียวเจียวเล่นกู่ฉินเพื่อกล่าวลาสหายคนนั้น จากนั้นเจียวเจียวและสหายของเจียวเจียวก็ประสานเสียงเพลงด้วยกันอย่างปานจะกลืนกิน มันช่างยอดเยี่ยมไร้เทียมทานสุดๆ !”

คำว่าปานจะกลืนกินไม่ได้ใช้แบบนั้นสักหน่อย…แล้วก็ เครื่องดนตรีที่เล่นคือขลุ่ยต่างหาก!

กู้เจียวเอามือก่ายหน้าผาก หลับตาลง

เป็นเรื่องแล้วสิ!