บทที่ 599 ชาติก่อน ชาตินี้ (2)
ผู้ดูแลหลิวอธิบาย “กลางดึกคืนหนึ่ง องค์หญิงซิ่นหยางวิ่งเข้ามาที่วงมหรสพกะทันหัน คนที่เป็นหัวหน้าวงเอ่ยถามพระองค์ว่าเหตุใดถึงมาหา พระองค์ไม่ตอบอะไร พวกเขาเลยคิดว่าองค์หญิงอยากฟังพวกเขาขับร้อง ก็เลยเล่นเพลงให้ฟังอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหัวหน้าวงก็บอกกับองค์หญิงว่าดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาฟังใหม่ ทว่าองค์หญิงกลับ…”
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ความทรงจำเลือนหายไปตามกาลเวลา ทว่าเวลานี้ ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เขากลับจดจำแววตาขององค์หญิงซิ่นหยางในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
“องค์หญิงดูเหมือนกำลังต้องการความช่วยเหลือขอรับ”
ผู้ดูแลหลิวเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
แต่ท้ายที่สุด เหตุการณ์ถัดมาก็คือ องค์หญิงเดินออกไปจากตรงนั้น
เพียงผู้เดียว
วันต่อมา ข่าวที่องค์หญิงซิ่นหยางหกล้มจนขาพลิกก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งจวน
เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่องค์หญิงออกมาจากวงมหรสพ เหล่าเหลียงอ๋องเฟยจึงโยนความผิดทั้งหมดให้วงมหรสพ และเป็นเหตุให้พวกเขาต้องแยกย้ายหายจาก
เซวียนผิงโหวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถามต่อ “มีใครที่จวนเคยกลั่นแกล้งองค์หญิงไหม”
ผู้ดูแลหลิวตอบโดยแทบไม่ต้องคิด “ไม่มีแน่นอนขอรับ! พวกเขาเอ็นดูองค์หญิงขนาดนั้น ไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งพระองค์อยู่แล้วขอรับ! ข้าน้อยจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง บุตรชายคนโตของเหล่าเหลียงอ๋องเกิดมีปากเสียงกับองค์หญิง แล้วผลักองค์หญิงจนกลิ้งลงไปบนพื้นหญ้า พื้นหญ้านุ่มไม่มีทางเจ็บอยู่แล้วขอรับ แต่พอเรื่องนี้ไปถึงหูเหล่าเหลียงอ๋องก็ทรงกริ้วมากถึงขั้นจับโบยหนักขอรับ”
เซวียนผิงโหวเริ่มวิเคราะห์ “ด้วยนิสัยของฉินเฟิงหว่านแล้ว…นางไม่ใช่คนที่เข้าหาด้วยง่ายนัก ในบรรดาองค์หญิงก็มีนางนี่แหละที่มีนิสัยดื้อเงียบที่สุด พวกเขาไม่โปรดเด็กนิสัยร่าเริงอย่างหนิงอัน ไม่ชอบหนอนหนังสืออย่างเต๋อชิ่ง แต่กลับเอ็นดูคนอย่างนางรึ”
ผู้ดูแลหลิวคลี่ยิ้มให้ “ก็องค์หญิงทรงเลอโฉมที่สุดมิใช่หรือขอรับ!”
ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ในบรรดาองค์หญิงทั้งหมด ซิ่นหยางคือผู้ที่มีใบหน้างดงามที่สุด
ตกบ่าย เซวียนผิงโหวกลับไปที่ถนนจูเชวี่ย
กู้เจียวกำลังง่วนกับการต้มยา
เซวียนผิงโหวเดินเข้ามาถามกู้เจียว “นางยังไม่ตื่นอีกรึ”
กู้เจียวตอบกลับขณะที่ใส่ขิงแผ่นลงไปในหม้อ “ทรงตื่นแล้วรอบนึง พอดื่มยาเสร็จก็หลับต่อ”
เซวียนผิงโหวขมวดคิ้วแน่น “รักษาได้ใช่ไหม”
กู้เจียวตอบ “โรคทางใจต้องใช้ยาใจรักษา”
ยาใจ
ฉินเฟิงหว่าน สิ่งใดคือยาใจของเจ้า
หลังจากต้มยาเสร็จ กู้เจียวก็อุ่นหม้อยาบนเตา และกำชับกำอวี้จิ่นว่าให้องค์หญิงดื่มยานี้ทันทีหลังตื่น ยานี้เป็นยาก่อนมื้ออาหาร
“เจ้าจะออกไปข้างนอกรึ” อวี้จิ่นถาม
“ข้าขอกลับไปที่เรือนก่อน” กู้เจียวตอบ
อวี้จิ่นยิ้มให้นางพร้อมกับเอ่ยต่อ “เจ้ามาพักที่นี่ตั้งหลายวันก็คงได้เวลากลับไปแล้วสินะ ส่วนทางนี้ข้าจัดการเอง เจ้าวางใจเถอะ”
อวี้จิ่นเตรียมรถไว้ให้กู้เจียวเรียบร้อย
ระหว่างทางกลับเรือน กู้เจียวนั่งรถผ่านเรือนของหลิ่วอีเซิง จึงบอกกับสารถีให้หยุดรถ “ข้ามีธุระที่นี่ ประเดี๋ยวจอดรถที”
“ขอรับท่านหมอกู้!”
สารถีจอดรถไว้ที่ปากทาง
กู้เจียวแค่อยากแน่ใจว่าหลิ่วอีเซิงกลับมาแล้วหรือยัง และไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่เมื่อมาถึงประตู ก่อนที่จะยกมือขึ้นเคาะ ทันใดนั้น ปรากฏเงาสีขาวโฉบออกมาจากกำแพง และพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของกู้เจียว
“เสี่ยวสือ!”
กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับกอดเจ้าเกี๊ยวอ้วนตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน
เจ้าเกี๊ยวอ้วนเอาแต่คลอเคลียไปมา
กู้เจียวยิ้มมุมปาก
“ใครมารึ”
เสียงของหลิ่วอีเซิงดังขึ้นหลังจากที่เขาเปิดประตูไม้เคลือบออก และเห็นกู้เจียวปรากฏตัวนอกประตู
กู้เจียวอยู่ในอาภรณ์สีเขียวน้ำทะเลที่ให้ความรู้สึกอ่อนวัย แต่มาดจิตวิญญาณของวีรบุรุษกลับทะลุออกมาจากหว่างคิ้วของนางอย่างชัดเจน
หลิ่วอีเซิงมองร่างเล็กตาค้าง
กู้เจียวเอ่ยทัก “กลับมาแล้วรึ”
นางทักเขาเช่นนี้
คงรู้แล้วสินะว่าเขาออกไปข้างนอก
หลิ่วอีเซิงอธิบาย “แม่นมเหวินก็เริ่มชราแล้ว ข้าเลยพานางกลับไปที่ชนบท… ราวใบไม้ที่ร่วงหล่นได้กลับคืนสู่รากอีกครั้ง”
แม่นมเหวินเคยทำงานอยู่ที่นี่ อายุมากและเรี่ยวแรงเริ่มถดถอย จนเริ่มขยับตัวไม่สะดวกมาพักใหญ่แล้ว
หลิ่วอีเซิงจึงพาแม่นมเหวินกลับไปยังชนบทและพักที่นั่นระยะหนึ่ง
กู้เจียวจึงร้องอ๋อ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง แล้วนาง…”
หลิ่วอีเซิงเอ่ยต่อ “ไปสบายแล้วล่ะ”
แม่นมเหวินไม่มีลูกหลาน หลิ่วอีเซิงจึงเป็นคนจัดการเรื่องพิธีศพ
“แม่นมเหวินจากไปอย่างสงบขณะกำลังหลับฝัน” จากนั้นเขาหลีกทางให้กู้เจียว “เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ”
จากนั้นกู้เจียวเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับอุ้มเสี่ยวชีในอ้อมอก “ข้าแค่ผ่านมาแถวนี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะอยู่ที่เรือน หยวนถังฝากของให้เจ้าด้วย เดี๋ยวข้าไปเอามาให้”
จากนั้นหลิ่วอีเซิงก็ให้นางนั่งในห้องโถง และยื่นถ้วยชาให้
ที่หลังเรือนมีคนกำลังเตรียมกับข้าวอยู่
ซึ่งก็คืออาหนู บ่าวคนสุดท้ายของเขา
สายตาของกู้เจียวจับจ้องไปที่กล่องต่างๆ ที่วางอยู่บนเก้าอี้ “เพิ่งกลับมา จะไปอีกแล้วรึ”
หลิ่วอีเซิงมองดูกระเป๋าเดินทางของเขากับอาหนู แล้วเอ่ย “ตอนแรกข้าจะแวะไปหาเจ้าเสียหน่อย กะว่าจะไปบอกลา”
กู้เจียวทำหน้าตกใจ “เจ้าจะย้ายออกจากเมืองหลวงแล้วรึ”
“อื้อ” หลิ่วอีเซิงยิ้มร่า “ข้าจะไปแล้ว ไม่ได้จากแค่เมืองหลวงเท่านั้น”
“เจ้าจะออกจากแคว้นเจาสินะ” กู้เจียวเอ่ย
หลิ่วอีเซิงคลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ทำอย่างไรได้ ใครใช้ให้แพ้เดิมพันกันล่ะ ข้าเองก็เป็นคนมีน้ำใจนักกีฬานะ”
กู้เจียวตอบ “เจ้าจำได้มาตลอดเลยสินะ”
หลิ่วอีเซิงหยิบปิ่นปักผมที่อยู่ในชุดอุปกรณ์ออกมา “ข้าจำได้เสมอ เพียงแต่แม่นมเหวินสุขภาพไม่ดี ข้าไม่สามารถทิ้งนางไว้ที่นี่ตามลำพังได้”
กู้เจียวพยักหน้า
เป็นเรื่องที่คนอย่างเขาต้องคำนึงอยู่แล้ว
หลิ่วอีเซิงนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบเอ่ยแย้งด้วยท่าทางเคร่งเครียด “แต่อย่าได้ใจเกินไปล่ะ ข้าก็แค่ออกไปเรียนหนังสือ คนอย่างข้าไม่คู่ควรกับการได้รับตำแหน่งอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว”
กู้เจียวไม่เถียง
จากนั้นเขาก็เก็บปิ่นปักผมไว้ดังเดิม “ก่อนจากกัน ข้ามีคำถามอยากจะถามเจ้าหน่อย”
“ว่ามา” กู้เจียวเอ่ย
หลิ่วอีเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจเปิดปาด “เหตุใดเจ้า…ถึงได้ดีกับข้านัก เพราะข้าเป็นคนไข้ของเจ้ารึ”
“ไม่ใช่” กู้เจียวตอบ
แววตาหลิ่วอีเซิงเป็นประกาย “เช่นนั้นเป็นเพราะ…”
กู้เจียวยิ้มมุมปาก “เจ้าถามไปแล้วหนึ่งคำถาม”
หลิ่วอีเซิงอึ้งชะงักไปในทันที จากนั้นจึงคลี่ยิ้มเจื่อนออกมา “นั่นสินะ”
กู้เจียวเหลือบไปเห็นขลุ่ยไม้ที่วางตั้งอยู่บนกล่อง ”เจ้าชอบเป่าขลุ่ยรึ”
หลิ่วอีเซิงยิ้มตอบ “ชอบสิ”
กู้เจียวร้องอ๋อ “แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่”
หลิ่วอีเซิงตอบ “อีกหนึ่งชั่วยาม ตัวตนของข้าพิเศษกว่าคนอื่น ไม่อาจออกไปข้างนอกตอนช่วงคนเยอะได้”
กู้เจียวพยักหน้า แล้วมองเขาหนึ่งที “เตรียมรถไว้หรือยัง”
หลิ่วอีเซิงยิ้มตอบ “เตรียมแล้วล่ะ”
กู้เจียวเอ่ย “เช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปเอาของฝากของหยวนถังมาให้”
หลิ่วอีเซิงรีบแย้ง “เจ้าไม่ต้องไปๆ กลับๆ หรอก เดี๋ยวข้าให้อาหนูออกไปกับเจ้า”
“ได้เลย”
ตกกลางคืน หลิ่วอีเซิงผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมายี่สิบสองปีในที่สุดก็รวบรวมความกล้าที่จะเดินทางย้ายถิ่น
เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองหลวง เขาใช้เงินและใช้กลอุบายบางอย่าง
รถของเขาออกไปทางฝั่งประตูตะวันตก
เขาไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาได้หรือไม่หลังจากนี้ เขารู้แค่ว่าเขาต้องออกไป
พอผ่านศาลาเฟิ่งหวง ก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของกู่ฉิน
หัวใจของหลิ่วอีเซิงเริ่มสั่นไหว
ขณะที่เขากำลังจะเปิดม่านก็เกิดลังเลกลางคัน
อาหนูหันไปหาเขา ใช้มือทำท่าทางเพื่อถามเขาว่าต้องการจะหยุดรถหรือไม่
เขามองไปยังทิศที่เสียงนั้นลอยมา ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความลังเล แต่สุดท้าย เขาเลือกที่จะส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหยุด แค่ขับไปช้าๆ ก็พอ”
อาหนูค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง
เสียงฉินดังขึ้นอย่างนุ่มนวลราวกับเสียงหุบเขาและลำธารจากสวรรค์ทั้งเก้า
เขาไม่เคยได้ยินเสียงที่ไพเราะเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ขนาดนักดนตรีหลวงก็ไม่สามารถเล่นได้ไพเราะเท่านี้
หลิวอีเซิงค่อยๆ หยิบขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของเขาออก วางไว้ที่ริมฝีปากของเขา และเล่นตามเสียงกู่ฉินของนาง
นางกำลังเล่นเพลงเพื่อส่งเขา
บทเพลงอันน่าสะพรึงส่งคนสนิทออกไปยังที่ไกล
นางขอบคุณเขาสำหรับความรู้สึกที่เขาฝากไว้ในชาติก่อน และเขาขอบคุณนางสำหรับความมีน้ำใจต่อเขาในชาตินี้
——————————————–