บทที่ 599 ชาติก่อน ชาตินี้ (1)
เซวียนผิงโหวรีบผละจากรถเข็นแล้วคว้าร่างขององค์หญิงไว้ในอ้อมกอดแล้วขึ้นรถม้า เขาไม่มีกะใจจะเรียกหมอหลวงแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันมาก แม้แต่อวี้จิ่นเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
พลางนึก ที่ผ่านมาร่างกายองค์หญิงก็ดีขึ้นมากแล้ว เหตุใดถึงกำเริบอีกล่ะ
ในเมื่อองค์หญิงอยู่ในสภาพนี้แล้ว ที่ทรงกำชับไว้ว่าจะไม่นั่งรถม้าร่วมทางกับใครจึงเป็นโมฆะ
“ขึ้นมา” เซวียนผิงโหวเอ่ยกับอวี้จิ่น
“เจ้าค่ะ”
อวี้จิ่นขึ้นรถม้า
“ท่านโหว หม่อมฉันจัดการเองเจ้าค่ะ” อวี้จิ่นเอ่ยเบาๆ
เซวียนผิงโหวมองร่างในอ้อมอกที่ใบหน้าซีดเผือด พลางนึกหากจู่ๆ นางเกิดฟื้นขึ้นมากลางทางตื่นมาเจอเขาแล้วเกิดตกใจจนเป็นลมไปอีกรอบคงจะไม่ได้การ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจให้นางอยู่ในความดูแลของอวี้จิ่นแทน
อวี้จิ่นโอบร่างขององค์หญิงพร้อมกับกุมมือไว้แน่น
เซวียนผิงโหวย่นคิ้ว
เขาอดคิดไม่ได้ว่าในเมื่อพวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว แม้ต่างคนต่างไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเคยผูกพันกัน บัดนี้เขาทำได้เพียงแค่มองร่างของนางอยู่ในอ้อมกอดของสาวใช้ต่อหน้าต่อตา
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
สีหน้าเซวียนผิงโหวเปี่ยมไปด้วยความว้าวุ่น!
เขาลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่าน
อวี้จิ่นรีบแย้ง “ท่านโหวจะทำอะไรเจ้าคะ”
เซวียนผิงโหวตอบเสียงแข็ง “ข้าก็จะลงจากรถแล้วขี่ม้ากลับน่ะสิ ประเดี๋ยวนางตื่นมาเห็นข้าแล้วจะพาลเป็นลมอีกรอบ”
“แต่บาดแผลของท่าน…” อวี้จิ่นยังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นอีกฝ่ายลงจากรถแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า
เซียวเหิงออกไปทำงานที่กรม ขณะที่ในวันนี้กู้เจียวสามารถเดินเหินได้อย่างปกติหลังจากที่นอนพักฟื้นอยู่หลายวัน พอลุกขึ้นก็มุ่งหน้าไปยังลาน อบอุ่นร่างกาย จากนั้นคว้าทวนพู่แดงแล้วเริ่มร่ายรำกระบวนท่าต่อสู้
การฝึกวิทยายุทธ์ต้องอาศัยความสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นอาจไม่คุ้นมือ
พอกู้เจียวฝึกไปได้ครึ่งทาง เซวียนผิงโหวและองค์หญิงก็กลับมาพอดี
กู้เจียวรู้เรื่องที่พวกเขาไปเข้าเฝ้าที่วัง ขาไปพวกเขานั่งรถม้าคันเดียวกัน แต่พอตอนกลับ กลายเป็นว่าเซวียนผิงโหวขี่ม้า ส่วนองค์หญิงอยู่ในรถแทน หรือว่าพวกเขาจะ…ทะเลาะกันอย่างนั้นรึ
เซวียนผิงโหวลงจากหลังม้าแล้วยื่นบังเหียนม้าให้กับบ่าวที่เฝ้าประตู
จากนั้นเขาขานเรียกกู้เจียว “องค์หญิงหมดสติ วานเจ้าไปดูที”
“อ้อ” กู้เจียววางทวนลง พลางมองรอบๆ
“เอามาให้ข้า” เซวียนผิงโหวยื่นมือรับทวนจากนาง
กู้เจียวปราดตามองบริเวณช่วงเอวและต้นขาของเขาหนึ่งที แต่ก็ไม่พูดอะไร แล้วเดินไปที่ประตู
จากนั้นกู้เจียวอุ้มร่างที่หมดสติขององค์หญิงเข้ามาในเรือน แล้ววางลงบนฟูกนุ่ม
อวี้จิ่นเดินตามเข้ามา พร้อมเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “เจียวเจียว องค์หญิงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
กู้เจียวค่อยๆ แง้มเปลือกตาองค์หญิง ดูแล้วก็ปกติดี จากนั้นเริ่มวัดชีพจร “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดองค์หญิงถึงเป็นลม”
“องค์หญิงทรงหมดสติตรงบริเวณหน้าประตูวัง ก่อนหน้านี้พระองค์ไปที่ตำหนักฮว๋าชิงและตำหนักคุนหนิง ข้ามิได้ติดตามองค์หญิงไป ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในนั้น สีหน้าขององค์หญิงเริ่มไม่สู้ดีตั้งแต่ตอนออกมาจากตำหนักคุนหนิง พอมาถึงประตูวัง องค์หญิงก็ทรงบอกกับท่านโหวว่าไม่ให้ขึ้นรถคันเดียวกัน จากนั้นท่านโหวก็เริ่มถามองค์หญิง…จากนั้น องค์หญิงก็ทรงหมดสติไปเลย”
“แค่ถามก็เป็นลมไปเลยรึ เป็นคำถามที่ทำให้องค์หญิงโกรธมากหรือไม่” กู้เจียวเอ่ยพลางปลดแขนเสื้อและเข็มขัดขององค์หญิง เพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น
อาการขององค์หญิงดูท่าจะไม่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจเพราะทรงรักษาหายนานแล้ว ครั้งนี้เหมือนกับเจอเรื่องที่กระทบใจเข้าอย่างรุนแรง
ดูเหมือนข้อมูลที่อวี้จิ่นอธิบายมานั้นยังไม่ครบถ้วน
กู้เจียวครุ่นคิดพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างขององค์หญิง
จากนั้นหันไปถามอวี้จิ่นต่อ “ท่านน้าอวี้จิ่น หากท่านเล่าความจริงไม่หมด ข้าก็ไม่สามารถวินิจฉัยอาการขององค์หญิงได้”
อวี้จิ่นนิ่งเงียบในทันที
หลังจากเซวียนผิงโหวช่วยกู้เจียวเก็บหอกเสร็จก็เดินตามเข้ามาข้างใน
คราวนี้อวี้จิ่นอ้ำอึ้งเสียยิ่งกว่าเดิม
กู้เจียวชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้างให้เซวียนผิงโหวพร้อมกับเอ่ย “นั่งก่อน”
เซวียนผิงโหวคือคนไข้ที่ดื้อด้านที่สุด ขนาดบอกให้เขาอย่าขยับตัวมากก็ไม่ฟัง คราวนี้แผลของเขาได้อักเสบเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอึดอัด
เซวียนผิงโหวจ้องเขม็งไปที่อวี้จิ่นจนนางเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
พอหันไปทางผู้เป็นนายที่ยังคงนอนไม่ได้สติ ภายในใจของอวี้จิ่นก็ยิ่งร้อนรน แต่ท้ายที่สุดความคิดที่ต้องการจะให้องค์หญิงหายดีย่อมมาก่อน
อวี้จิ่นเบือนหน้าลงแล้วเริ่มเปิดปาก “องค์หญิงซิ่นหยางทรงมีอาการไม่กล้าเข้าใกล้เพศชายเจ้าค่ะ จะทรงรู้สึกไม่สบายใจหากเข้าใกล้เกินเจ้าค่ะ”
“ใกล้เกินในที่นี้หมายความเช่นไร แล้วทรงไม่สบายใจอย่างไร” กู้เจียวยิงคำถามต่อ
“คือว่า…” ด้วยความที่อวี้จิ่นเป็นคนที่เรียงลำดับเหตุและผลได้ดี หลังจากก้าวผ่านความรู้สึกตื่นเต้นไปแล้ว ก็พยายามอธิบายอาการขององค์หญิงอย่างชัดเจนต่อ “เวลาออกไปข้างนอก องค์หญิงจะจำกัดระยะห่างที่สามก้าว หากเป็นในเรือน…จะไม่อยู่ร่วมห้องกับผู้เป็นเพศชายเจ้าค่ะ”
เซวียนผิงโหวย่นคิ้ว “แล้วคราวก่อน เหตุการณ์ห้องใต้หลังคานั้น องค์หญิงกลัวจริงๆ หรือแค่ปากแข็งเท่านั้น”
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนั้นกู้เจียวยังไม่เดินทางไปชายแดน องค์หญิงซิ่นหยางเกิดอุบัติเหตุหกล้มในห้องใต้หลังคา เซวียนผิงโหวเข้าไปช่วยไว้ ทำเอาองค์หญิงตกใจไม่น้อย
จากนั้น กู้เจียวก็เข้ามาที่จุดเกิดเหตุ แล้วก็เห็นว่าท่าทางองค์หญิงซิ่นหยางดูผิดสังเกต แต่ตอนนั้นกู้เจียวก็สรุปออกมาว่าองค์หญิงอาจเป็นโรคกลัวพื้นที่ปิด
“องค์หญิงมีอาการแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว” กู้เจียวถาม
อวี้จิ่นส่ายหัว “ไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ องค์หญิงเองก็มิเคยเล่าให้ข้าฟัง ข้าเข้ามาทำงานรับใช้องค์หญิงหลังจากงานอภิเษกใหญ่ ซึ่งตอนนั้นก็ทรงมีอาการนี้อยู่แล้ว ข้าเองก็เคยถามแล้ว แต่องค์หญิงไม่ยอมเล่าให้ฟัง”
กู้เจียวทำหน้าครุ่นคิด “องค์หญิงทรงมีอาการนี้ตลอดเลยรึ เคยมีช่วงที่ดีขึ้นหรือแย่ลงบ้างไหม”
อวี้จิ่นตอบตามความจริง “ช่วงสองปีนี้ ทรงมีอาการดีขึ้นแล้ว พระองค์ยังนั่งรถม้าคันเดียวกันกับท่านโหวได้อยู่เลย”
ที่จริงองค์หญิงซิ่นหยางเคยนั่งรถม้าของหมอยาแคว้นเยี่ยนด้วยซ้ำ ด้วยความที่รถม้าคันนั้นไม่มีผ้าม่านและมีพื้นที่โปร่งโล่ง
เซวียนผิงโหวนึกอะไรขึ้นได้จากตอนที่นั่งรถม้าด้วยกันกับองค์หญิง ก็เลยให้ข้อมูลเพิ่ม “แต่ดูนางมีอาการอึดอัดอยู่พอสมควร”
“ท่านโหวก็เห็นหรือเจ้าคะ” อวี้จิ่นทำหน้าตะลึง
เซวียนผิงโหวจึงโต้กลับ “อะไรกัน คิดว่าข้าเป็นไอ้ทึ่มที่ไม่เคยสังเกตรายละเอียดรอบตัวเลยหรืออย่างไร”
อวี้จิ่นโค้งตัวลง “หม่อมฉันผิดเองเจ้าค่ะ”
เซวียนผิงโหวเอ่ยต่อ “ข้าไม่ได้โทษเจ้าหรอก แม้ข้าจะไม่ได้มีความละเอียดอ่อนเท่าสตรีอย่างพวกเจ้า แต่ข้าหาใช่บุรุษธรรมดาไม่”
อวี้จิ่น “…”
ที่แท้ท่านต้องการจะอวยตัวเองแต่แรกสินะ
อวี้จิ่นพยายามทำเป็นไม่ได้ยิน จากนั้นเล่าต่อ “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ องค์หญิงทรงซ่อนความรู้สึกไว้ได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งที่ไม่ไหว ก็จะมีอาการหมดสติเช่นวันนี้เจ้าค่ะ”
กู้เจียวร้องอ๋อ “แต่ทรงไม่มีอาการเช่นนี้กับเซียวเหิงและหลงอี”
อวี้จิ่นพยักหน้าเบาๆ “เสี่ยวท่านโหวกับหลงอีเว้นเป็นกรณีพิเศษ”
เซวียนผิงโหวได้ฟังดังนั้นก็เริ่มใจเสีย
กับเซียวเหิงไม่เท่าไหร่ เพราะนั่นลูกชาย แต่หลงอีด้วยเนี่ยนะ!
อวี้จิ่นรีบอธิบายต่อ “ใช่ว่าหลงอีจะเข้าใกล้องค์หญิงได้ในทันทีนะเจ้าคะ เป็นเพราะท่านโหวน้อยโปรดหลงอีเอามากๆ ตอนที่ยังเล็ก เรียกได้ว่าแทบจะตัวติดกัน พอพวกเขาสามคนอยู่ด้วยกัน นานวันเข้าองค์หญิงก็ทรงเห็นหลงอีเป็นลูกชายไปโดยปริยายเจ้าค่ะ”
ดังนั้น คนอย่างเซียวจี่ก็เป็นได้แค่ผู้ชายธรรมดาทั่วไปในสายของฉินเฟิงหว่านสินะ
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วขึ้น
แต่เดี๋ยวก่อน มีบางอย่างผิดปกติ
อวี้จิ่นหันไปทางเซวียนผิงโหวพลางเอ่ย “ท่านโหว องค์หญิงมิได้ทรงรังเกียจท่านแต่อย่างใด เพียงแต่พระองค์ไม่อาจเข้าใกล้บุรุษได้ ท่านโหวอย่าได้ถือโทษโกรธเคืององค์หญิงเลยเจ้าค่ะ”
เซวียนผิงโหวฟังจบก็ย่นคิ้วหนักแล้วพึมพำ “แปลว่าคืนนั้นนางกินยาผิดขวดจริงๆ สินะ…”
“ท่านโหวว่าอะไรนะเจ้าคะ” อวี้จิ่นได้ยินไม่ชัด
เซวียนผิงโหวตอบกลับไปเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก”
หรือเขาจะเป็นยาที่แก้อาการให้นางได้
หลังจากที่กู้เจียววัดความดันเลือดองค์หญิงเสร็จก็ถามต่อ “ท่านน้าอวี้จิ่นบอกว่าอาการขององค์หญิงดีขึ้นแล้ว แต่วันนี้กลับกำเริบอีกครั้ง แปลว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่วังต้องเจอกับสิ่งเร้าบางอย่าง ท่านโหวพอจะทราบหรือไม่”
เซวียนผิงโหวจำได้แม่นเชียวล่ะ
ซิ่นหยางเริ่มมีอาการแปลกๆ หลังจากที่เซียวฮองเฮาพูดถึงเหล่าเหลียงอ๋องและภรรยาของเขา
เซวียนผิงโหวออกมาจากถนนจูเชวี่ยเพื่อกลับมายังตำหนัก
วันนี้ผู้ดูแลหลิวประจำอยู่ที่จวน ไม่ได้ออกไปรบ พอเจอนายตัวเองกลับมาก็พลันเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น “ท่านโหว กลับมาแล้วหรือขอรับ!”
“พอได้แล้วน่า” เซวียนผิงโหวโบกมือปัด นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะถาม “เจ้ารู้จักเหล่าเหลียงอ๋องใช่ไหม”
ผู้ดูแลหลิวตอบ “เอ่อ รู้จักขอรับ พระมาตุลาของฝ่าบาทกับองค์หญิงไงขอรับ เหตุใดจู่ๆ ท่านโหวถามถึงเขาขอรับ”
“ไปสืบเรื่องเขาและอ๋องเฟยมาที”
“ข้าน้อยขอรู้เหตุผลได้หรือไม่ขอรับ” ผู้ดูแลหลิวสงสัยไคร่รู้
ทว่ากลับได้รับสายตาอันเย็นชากลับมาแทน ผู้ดูแลหลิวถึงกับรีบหดคอลง “ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ”
“ไม่ได้ให้สืบเรื่องทั้งหมด” การสืบข้อมูลมีความสำคัญพอๆ กับการออกรบ หากให้สืบเรื่องทั้งหมดย่อมเป็นการสิ้นเปลืองเวลา เซวียนผิงโหวคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ย “แค่สืบเรื่องที่เกี่ยวกับองค์หญิงซิ่นหยางก็พอ”
สีหน้าผู้ดูแลหลิวตอนนี้เต็มไปด้วยความหมดคำจะพูด “ท่านโหวพูดวกไปวนมาเช่นนี้ บอกตรงๆ แต่แรกก็ได้ขอรับว่าต้องการจะสืบเรื่องขององค์หญิง”
เซวียนผิงโหวเหน็บเบาๆ “แล้วข้าจะสืบมิได้เลยรึ”
ผู้ดูแลหลิวยิ้มเจื่อน “ได้สิขอรับ ท่านเป็นท่านโหว จะสืบเรื่องใครก็ได้ขอรับ เพียงแต่ ท่านไม่ต้องสืบขอรับ หากต้องการทราบเรื่องใดให้ถามมาเลย ข้าน้อยเคยรับใช้ที่จวนเหล่าเหลียงอ๋องนะขอรับ!”
เซวียนผิงโหวกระตุกมุมปาก “เจ้าเคยรึ”
ผู้ดูแลหลิวกระแอมหนึ่งที “ข้าน้อย…เอ่อ ตอนนั้นข้าน้อยก็มิได้มีตำแหน่งใหญ่โตอะไร เป็นแค่บ่าวรับใช้ทั่วไป ภายหลังเหล่าเหลียงอ๋องย้ายถิ่นฐาน ข้าน้อยเลยไม่ได้ตามไปขอรับ”
“ไม่ใช่ว่าเขาไม่พาเจ้าไปหรอกรึ” เซวียนผิงโหวขัดคอ
ผู้ดูแลหลิวฝืนยิ้ม
ตอนนั้นเขายังเยาว์ เป็นแค่บ่าวทั่วไป ไม่มีสิทธิ์ได้ตามไปอยู่แล้ว
เซวียนผิงโหวเอ่ยถามต่อ “ที่ว่ากันว่าพวกเขาเอ็นดูองค์หญิงซิ่นหยางนั้นเป็นความจริงหรือไม่”
ผู้ดูแลหลิวตอบอย่างไม่คิด “เป็นจริงขอรับ! จริงแท้เสียยิ่งกว่าทองคำแท้! เหล่าเหลียงอ๋องทรงชื่นชอบการฟังมหรสพ ทรงมีวงมหรสพประจำจวน ตอนนั้นข้าน้อยยังเด็ก อายุเพียงแปดขวบเท่านั้น ได้เข้ามาอยู่ในจวนพร้อมๆ กันกับคณะมหรสพ แต่ภายหลังพวกเขาก็แยกย้าย คนที่เหลือบางส่วนกลายมาเป็นบ่าวรับใช้ ข้าน้อยได้ยินเรื่องที่เหล่าเหลียงอ๋องและภรรยาทรงรักและเอ็นดูองค์หญิงซิ่นหยางมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วขอรับ”
ตอนนั้นองค์หญิงยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่นสวมหมวกใดๆ และด้วยความที่ถูกจัดอยู่อันดับเจ็ด พวกเขาจึงเรียกนางว่าองค์หญิงเจ็ด
ผู้ดูแลหลิวเล่าต่อ “ช่วงนั้นเหล่าเหลียงอ๋องและภรรยาเดินทางไปเยี่ยมองค์หญิงซิ่นหยางที่วังอยู่บ่อยๆ พวกเขาไม่มีลูกสาว หรือแม้กระทั่งหลานสาว ดังนั้น…พวกเขาเลยเอ็นดูองค์หญิงซิ่นหยางประหนึ่งบุตรสาวขอรับ”
“เรื่องพวกนี้ข้ารู้อยู่แล้ว ได้ยินว่าพวกเขาเคยพาองค์หญิงไปพักที่จวนด้วย”
ผู้ดูแลหลิวออกอาการตื่นตูม “ใช่แล้วขอรับ มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง! ที่วงมหรสพต้องแยกย้ายก็มีสาเหตุมาจากองค์หญิงด้วยขอรับ!”
“หมายความว่าอย่างไร” เซวียนผิงโหวขมวดคิ้ว
ผู้ดูแลหลิวนึกย้อนไปช่วงเหตุการณ์ครั้งนั้น เอ่ยต่อ “ข้าน้อยจำได้ว่า…ตอนนั้นองค์หญิงอายุเพียงหกหรือเจ็ดขวบนี่ล่ะขอรับ ทรงเข้ามาพำนักที่จวนได้ระยะหนึ่ง ตอนนั้นเหล่าเหลียงอ๋องเฟยสั่งให้วงมหรสพเล่นเพลงที่เด็กๆ ชอบฟัง ตอนนั้นพวกเขาเล่นเพลง…เพลงอะไรข้าน้อยจำไม่ได้แล้ว จำได้เพียงว่าตอนนั้นข้าน้อยหยิบกระบองขึ้นมาร่ายรำบนเวทีขอรับ”
“องค์หญิงชอบฟังมหรสพรึ” เซวียนผิงโหวไม่เคยเห็นองค์หญิงฟังมหรสพเลยสักครั้ง
ผู้ดูแลหลิวส่ายหน้า “ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ดูเหมือนองค์หญิงจะไม่ได้โปรดขนาดนั้นขอรับ พระองค์นั่งฟังเงียบๆ โดยมีเหล่าเหลียงอ๋อองและภรรยานั่งขนาบข้างแล้วกุมมือนาง เด็กคนอื่นที่มานั่งดูหัวเราะชอบใจกันใหญ่ มีแต่องค์หญิงที่คงสีหน้านิ่งเรียบขอรับ”
เซวียนผิงโหวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถามต่อ “แล้วเรื่องที่วงมหรสพแตกเกี่ยวอะไรกันกับองค์หญิงล่ะ”
———————————–