บทที่ 791 สยดสยอง

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 791 สยดสยอง

ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นจึงเดินตามไป

พวกเขาทั้งหมดเดินออกจากห้องและเดินกลับขึ้นไปด้านบน

แต่อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังไม่ลดความระมัดระวังลง เขาแลกเปลี่ยนสายตากับเพ่ยเหมียนหมานและเห็นว่านางก็ทำเช่นเดียวกัน

ทั้งสองคนยังคงตื่นตัว พร้อมที่จะเคลื่อนไหวทันทีหากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น!

ซูอันต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจึงถามว่า “ข้าขอโทษนะท่านแม่ทัพ ท่านชื่อหยาจางใช่หรือไม่?”

“ใช่” หยาจางได้ตอบกลับ “ข้าชื่อหยาจางเป็นชนเผ่าของข้า”

ซูอันตกตะลึง “เอ๊ะ? เจ้าไม่ใช่สมาชิกของราชวงศ์ซางเหรอ?”

หยาจางตอบกลับ “เผ่าของข้ารับใช้จักรพรรดิซาง ดังนั้นเราจึงถือว่าเป็นลูกครึ่งซาง”

“ดูเหมือนว่าจักรพรรดิซางจะเชื่อใจเจ้า เพราะเขาให้เจ้าดูแลสุสานแห่งนี้…”

ซูอันไม่รู้ว่าชายผู้นี้เป็นผีหรืออะไร แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นตัวอะไร อีกฝ่ายคงอยากได้ยินคำเยินยออะไรแบบนี้

แน่นอนว่าใบหน้าของหยาจางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าได้อุทิศตนอย่างกล้าหาญให้กับราชวงศ์ซางมานับครั้งไม่ถ้วน และอันดับของข้าในกองทัพเป็นรองแค่ฟู่ห่าวเท่านั้น ทว่าสาเหตุที่ข้าอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่านางไม่ใช่เพราะความสำเร็จของข้าต่ำกว่านาง แต่เป็นเพราะสถานะของนางในฐานะจักรพรรดินี”

“ฟู่ห่าว?” ซูอันคิดถึงประวัติศาสตร์ที่หมี่ลี่เล่า ขณะที่พวกเขาดูจิตรกรรมฝาผนังในวังก่อนหน้านี้

“แต่องค์จักรพรรดินีเป็นสตรีที่น่าทึ่ง ทั้งงดงามและเก่งกาจในการสงคราม ข้าไม่รู้สึกติดใจแม้แต่น้อยกับการที่ข้าต้องอยู่ในอันดับต่ำกว่านาง” เสียงของหยาจางชื่นชม

ซูอันยิ้ม “ดูเหมือนว่าแม่ทัพจะชื่นชมฟู่ห่าวไม่น้อย”

‘ใบหน้า’ ของหยาจางเปลี่ยนไป “ได้โปรดอย่าพูดสิ่งที่จาบจ้วงเช่นนี้! หากฝ่าบาททรงได้ยิน เราจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาทั้งเป็น”

ขณะที่เขาพูด เขาก็มองไปรอบ ๆ ตัวด้วยความตื่นตระหนก ราวกับว่ากลัวอะไรบางอย่าง

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของซูอัน “เอ่อ…นี่จักรพรรดิของท่านยังมีชีวิตอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ?”

หยาจางส่ายหัว “ข้ากับกระทิงของข้าเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ในสุสาน ข้าเคารพและจงรักภักดีต่อจักรพรรดิและจักรพรรดินีเสมอเหมือนทวยเทพ มันเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณ”

ซูอันยิ้ม “เจ้าแค่พูดว่าเจ้ากลัวที่จะทำให้องค์จักรพรรดิของเจ้าพิโรธ แต่เจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่าชื่นชอบฟู่ห่าว”

หยาจางตัวแข็งทื่อและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจ “บุรุษผู้ใดบ้างจะไม่ชื่นชอบวีรสตรีเช่นองค์จักรพรรดินี? ทุกคนต่างนับถือนางเสมือนเทพธิดาสวรรค์ ไม่มีใครมีความคิดกล้าล่วงเกินเกียรติของนาง”

เพ่ยเหมียนหมานอดไม่ได้ที่จะหยิกเอวของซูอันทำไมผู้ชายสองคนนี้ถึงซุบซิบกัน? เห็นข้าเป็นคนนอกหรืออย่างไร?

ซูอันตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ว่าแต่ การทดสอบที่ท่านพูดถึงมันเป็นอย่างไร?”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าอะไรรอเจ้าอยู่ในการทดสอบ เจ้าสองคนต้องสำรวจด้วยตัวเอง” หยาจางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริมว่า “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องเตือนพวกเจ้า มีหลายคู่เข้าสู่การทดสอบในช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา คนเหล่านั้นทั้งหมดต่างเป็นอัจฉริยะแห่งยุคสมัย ความแข็งแกร่งของพวกเขามีมากกว่าพวกเจ้าอย่างเทียบกันไม่ได้ แต่ไม่มีใครเคยผ่านการทดสอบแม้แต่หนึ่ง”

ใบหน้าของเพ่ยเหมียนหมานซีดเผือด และนางก็ถามอย่างรวดเร็วว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราล้มเหลวในการทดสอบ?”

“แน่นอนว่าเป็นความตาย” หยาจางมองที่นาง แต่ทว่ายามพูดกับนางน้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้นมาก “แต่เจ้าสองคนไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้าจะต่ำต้อย แต่พวกเจ้าทั้งคู่ต่างมีดีไปคนละอย่าง เจ้าหนุ่ม เจ้ามีความลับมากมายเกี่ยวกับตัวเอง ส่วนเจ้าสาวน้อย เจ้ามีกลิ่นอายขององค์จักรพรรดินี ใครจะไปรู้ เจ้าสองคนอาจจะสามารถไขความลับของมิติลับนี้ได้จริง ๆ”

ซูอันถามว่า “แล้วถ้าเราไม่เข้าร่วมในการทดสอบล่ะ? มีวิธีออกจากมิติลับนี้หรือเปล่า?”

เนื่องจากพลังปฐมบทของเขาเพียงพอที่จะเอาชนะหยาจางได้ ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปทำการทดสอบ

หยาจางส่ายหัว “ไม่มี เจ้าสามารถออกจากสถานที่แห่งนี้ได้โดยผ่านการทดสอบเท่านั้น นอกจากนี้เจ้าต้องเข้าร่วมโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกหลอมรวมเข้ากับมิติลับนี้ และท้ายที่สุดร่างกายของพวกเจ้าก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมิติลับ”

พวกเขาตื่นตระหนกในทันที ทั้งสองตรวจสอบร่างกายของตนเองอย่างรวดเร็ว ไม่นานพวกเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ พลังชี่ของพวกเขาไหลออกจากร่างกายในอัตราที่ช้ามาก ตอนแรกพวกเขาคิดว่าตัวเองเมื่อยล้าหลังจากการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นผลมาจากการอยู่ในมิติลับนี้

เพ่ยเหมียนหมานกัดริมฝีปาก นางเพิ่งยืนยันความสัมพันธ์ของนางกับซูอันก่อนหน้านี้ และนางต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับคนรักของนางที่นี่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะไม่มีโอกาสนั้น…

“ว่าแต่ท่านแม่ทัพรู้ไหมว่าเราจะหาตราหยกของอนารยชนตะวันออกได้จากที่ไหน?” ซูอันถามอย่างจริงจัง ข้อตกลงของเขากับเด็กสาวยังคงอยู่ในใจ

“ตราหยก?” หยาจางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อตอนนั้นองค์จักรพรรดินีชื่นชอบมันมาก ข้าเชื่อว่ามันถูกฝังไว้ในสุสานของพระนาง เจ้าสามารถเข้าไปในสุสานของจักรพรรดินีได้เมื่อเจ้าผ่านการทดสอบ”

ซูอันหัวเราะอย่างขมขื่น ดูเหมือนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำการทดสอบ

ถึงเวลานี้ พวกเขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่ เมื่อพวกเขามองเห็นด้านในทั้งหมด เพ่ยเหมียนหมานและซูอันต่างก็ตกตะลึง

ด้านในห้องโถงใหญ่มีเนื้อหลายแถวแขวนอยู่กลางอากาศ

ความคิดแรกในหัวของซูอันที่ผุดขึ้นมาคือพวกมันน่าจะเป็นเนื้อสัตว์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ แต่เมื่อเขามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น เขาตระหนักได้ในที่สุดว่าพวกมันเป็นศพมนุษย์!

อวัยวะภายในของศพมนุษย์เหล่านี้ถูกเอาออกไป ร่างถูกผ่ากลางแล้วใช้ตะขอห้อยลงมาจากเพดานมองดูเหมือนปศุสัตว์แขวนอยู่บนตะขอขายเนื้อ

เพ่ยเหมียนหมานเบิกตากว้าง “โลกนี้โหดร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร?”

ซูอันรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นหลุมบูชายัญมากมายระหว่างทาง แต่เครื่องสังเวยในนั้นกลายเป็นกระดูกไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่อุจาดตานัก

แต่ศพเหล่านี้ไม่ได้เหลือแต่โครงกระดูก ไม่เพียงเท่านั้น ศพเหล่านี้ยังถูกแสดงให้เห็นในแบบปศุสัตว์ที่แขวนรอให้จับจ่ายซื้อหา

แม้ว่าเขาจะทราบแนวคิดเรื่องการบูชายัญของมนุษย์มาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้เป็นการส่วนตัว เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมนุษย์ได้รับการปฏิบัติเหมือนปศุสัตว์ในวันหนึ่ง!

“นี่ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นการสังเวยที่เรียกว่าการเสียสละของเหมา” แม่ทัพหยาจางตอบอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าคำถามของเพ่ยเหมียนหมานทำให้เขาลำบากใจอยู่บ้าง

“การเสียสละของเหมา?” ซูอันไตร่ตรองเรื่องนี้สักครู่ ศพเหล่านี้ถูกผ่ากลาง…คล้ายกับตัวอักษร ‘เหมา’ (卯)

หยาจางกล่าวต่อว่า “เมื่อเราถวายเครื่องบูชาแก่สวรรค์ การถวายที่ดีที่สุดคือการบูชายัญมนุษย์ เราถวายอวัยวะภายใน เลือด และศีรษะ ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมนุษย์ สามารถย่าง ต้ม ตุ๋น หรือตากให้แห้งเป็นเนื้อแห้ง…”