บทที่ 626 บทเรียนที่ต้องประสบพบผ่านในชีวิตมนุษย์ (2)
ในด้านวิธีการไล่ล่าคนอย่างต่อเนื่องในช่วงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ…
แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วมีแผนอยู่ในใจ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่มุมหนึ่งแล้วหยิบม้วนตำราออกมาก่อนจะค่อยๆ เปิดมันช้าๆ และพิจารณาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
มันเป็นสูตรที่ซับซ้อน และผลลัพธ์ของมันคือ อัตราการเบี่ยงเบนที่เต๋าสวรรค์ยอมให้
หลี่ฉางโซ่วต้องการ “ข้อมูลตัวอย่าง” บางส่วนในการคาดคะเนค่าคงที่นี้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการกระทำของเขาในช่วงระหว่างมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ…
มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพมีพื้นฐานมาจากแผนการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ในราชวงศ์ซางและราชวงศ์โจว
สิ่งต่างๆ กำลังพัฒนาไปทีละขั้นเรื่อยๆ และมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพก็อยู่เหนือการควบคุมไปทีละขั้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของปรมาจารย์จอมปราชญ์ทั้งสามคนแห่งวังเมฆม่วงที่ลงนามในรายนามทะเบียนเทพ เพียงแค่ดูที่การพัฒนาของรายนามทะเบียนเทพ
ในตอนแรก กษัตริย์แห่งราชวงศ์ซาง ตี้ซินได้กระทำการลบหลู่พระมารดาศักดิ์สิทธิ์หนี่วาด้วยบทกวีที่เหลวไหลของเขา
จากนั้นพระมารดาศักดิ์สิทธิ์จึงได้เรียกปีศาจนับหมื่นออกมาและเลือกปีศาจสามตนในสุสานเซวียนหยวน นั่นคือ จิ้งจอกเก้าหาง ภูตผีผา และไก่ฟ้าเก้าเศียร เพื่อทำให้พระเจ้าตี้ซินหลงเสน่ห์และเร่งการล่มสลายของอาณาจักรซางเพื่อเป็นการลงโทษ
หลังจากนั้น พระเจ้าตี้ซินก็กลายเป็นเผด็จการทรราชย์ อาณาจักรโจวได้ผงาดขึ้นและพันธมิตรขององค์ชายและเหล่าข้าราชบริพารที่ต่อต้านอาณาจักรชางก็ได้ก่อตั้งขึ้นในขณะที่บรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยได้เข้าร่วมกับสองฝ่าย อาณาจักรโจว และอาณาจักรซาง …
ในหมู่พวกเขา เจ้าลูกหมี[1]ที่สร้างปัญหาที่ด่านเฉินถังนั้นอยู่ไกลออกไปก่อนการเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าสลดของจ้าวกงหมิงที่ตกตายไปด้วยค่ายกลสิบสัมบูรณ์ และการปราบปรามของเหล่าสิบสองเซียนจินด้วยค่ายกลใหญ่ฮวงโหเก้าโค้ง
เรื่องราวของจาเอ๋อร์[2] ข้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด มันสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับแผนการที่ตามมาของรายนามทะเบียนเทพได้ในระดับหนึ่ง
ตอนนี้ไข่มุกวิญญาณอยู่ที่ใดกัน?
มันอยู่ในสระหยกขององค์ราชินีหรือในมุมหนึ่งของวังเซิ่งหมู่ของเทพีหนี่วา?
หลี่ฉางโซ่วไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้และเขาก็ไม่ได้รีบร้อน เพราะในท้ายที่สุด บิดาของจาเอ๋อร์ก็กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ
ถูกจับมือเปล่าแน่นอน[3]…เฮ่ย!
ได้เวลาบรรจุแผนการฝึกอบรมของบิดาผู้ยิ่งใหญ่ที่มีใจเมตตาอันประเสริฐยิ่งแห่งการสถาปนาเทพ เข้าสู่วาระการจัดการแล้ว!
……
“น้องสาม น้องสาม!”
ในห้องส่วนตัวหรูหราของเครือข่าย ‘ร้านอาหาร’ ที่มีชื่อเสียงลือเลื่องในโลกบรรพกาลในเมืองที่คึกคักพลุกพล่านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ในส่วนลึกของทะเลทักษิณ
จ้าวกงหมิง ผู้เป็นศิษย์ชั้นนอกคนโตแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย บัดนี้ เขาได้ถอดชุดเกราะที่เขาโปรดปราน เปลี่ยนมาเป็นสวมเสื้อคลุมเต๋าธรรมดาและปกปิดกลิ่นอายลมปราณของเขาเอาไว้
เขาเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าออกมาอยู่ที่นี่นานมากแล้ว เจ้าจะลงมือทำกิจการกันเมื่อใด? อย่าหลอกพี่ใหญ่อย่างข้านะ หากน้องรองรู้เรื่องนี้เข้า…”
“ว้าว นานเพียงใดกัน?!”
ฉยงเซียวเพิ่งดื่มสุราเลิศรสและใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อขึ้น
นางกำลังยืนพิงหน้าต่างและมองดูแสงเซียนและผู้คนที่กำลังโบยบินอยู่ภายนอก
นางบ่นว่า “บนเกาะไม่ครึกครื้นเหมือนข้างนอก พี่สาวระวังตัวยิ่ง ข้าไม่รู้ว่านางจะกลัวอะไร
พี่ชาย นอกเหนือจากปรมาจารย์จอมปราชญ์ทั้งหกแล้ว ยังมีปรมาจารย์อีกมากมายที่ท่านไม่อาจเอาชนะได้ในตอนนี้หรือไม่? ”
“ก็น่าจะมีบ้าง” จ้าวกงหมิงลูบเคราของเขาและครุ่นคิด
“อย่าพูดอะไร ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าเจ้ามีแผนการยอดเยี่ยมหรอกหรือ?
ศิษย์น้องหญิงเหรินจินกวงยังคงรอคำตอบของข้าอยู่บนเกาะ ข้าไม่อาจปล่อยให้นางรอต่อไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาได้”
ฉยงเซียวแค่นเสียงกล่าวว่า “ความจริงแล้ว การปล่อยเอาไว้เช่นนั้น มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้
พี่ชาย ท่านต้องถามเรื่องหัวใจของท่านก่อน ไม่เช่นนั้น เกรงว่าท่านจะกล่าวโทษข้าที่เข้าไปยุ่มย่ามสร้างปัญหาในภายหลัง หลังจากที่ข้าช่วยท่านปฏิเสธและผลักไสคู่บำเพ็ญเต๋าผู้นี้ของท่านไป”
“นี่…”
จ้าวกงหมิงลูบเคราของเขาพลางถอนหายใจ และกล่าวว่า “นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าตัดสินใจไม่ได้
ตอนนี้คำว่า ‘คู่บำเพ็ญเต๋า’ หมายถึงการเป็นคู่อมตะคู่หนึ่งแล้ว เมื่อศิษย์น้องหญิงจินกวงเผยความคิดของนางที่มีต่อข้าให้ข้าฟัง นางก็กำลังตั้งใจที่จะตบแต่งเป็นสามีภรรยากัน”
“พี่ชาย แล้วท่านไม่พอใจหรือ?”
ฉยงเซียวหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ชีวิตแบ่งออกเป็นหยินและหยาง ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ แล้วไฉนท่านกลับต้องหลีกเลี่ยงเรื่องของชายหญิงเล่า?”
จ้าวกงหมิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจ้ากำลังพูดอันใดกัน? ไยเจ้าถึงคิดเช่นนั้น? ทำราวกับว่าเจ้ารู้ดียิ่ง!”
ฉยงเซียวเดาะลิ้นและขมวดคิ้วลงต่ำพลางถอนหายใจและกล่าวว่า “ พี่ชาย ท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวท่านเองกำลังซ่อนเร้นหรือ?”
“หือ?”
“ท่านไม่ได้ไยดีน้องหญิงจินกวงจริงๆ หรือ? หรือท่านยังรู้สึกว่า ท่านได้บำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่สมัยโบราณ และตอนนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นท่านกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงลือลั่นในโลก? และท่านก็รู้สึกเสียหน้าที่จะต้องเลียนแบบพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตโฮ่วเทียนและความปรารถนาของมนุษย์ใช่หรือไม่?”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว ฉยงเซียวเลียนแบบจ้าวกงหมิงด้วยการกล่าวน้ำเสียงหยาบๆ ว่า “ว้าว! ข้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร!?! การฝึกบำเพ็ญคู่จะไม่เป็นเรื่องทำให้ผู้คนขบขันหรือ!?! แล้วจะเกิดอันใดขึ้นกับท่าทางของปรมาจารย์!?!”
อาจารย์ลุงจ้าวอดจะตกตะลึงอยู่ข้างๆ ไปสักพักไม่ได้ เขาทำความเข้าใจอย่างระมัดระวังและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ “น้องสาม ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล…”
ฉยงเซียวกระแอมไอให้โล่งคอและนั่งลงบนเก้าอี้กลม จากนั้นนางก็ยิ้มและกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านรู้หรือไม่ว่า นี่คืออันใดกัน?”
“เจ้าชี้แจงเพิ่มเติมเถิด”
“สงวนท่าที วางตัวสูงส่ง”
“เอ่อ…”
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ดวงตาของฉยงเซียวแย้มยิ้มจนโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว “การวิเคราะห์ของข้าไม่ด้อยไปกว่าน้องชายฉางเกิงของท่านใช่หรือไม่? ข้ารู้จักท่านดี ข้าเข้าใจนิสัยของท่าน
ดังนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องช่วยท่าน ฉางเกิงทำได้เพียงรักษาอาการเท่านั้น ทว่าไม่ใช่ที่ต้นเหตุ”
จ้าวกงหมิงพยักหน้าช้าๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโล่งใจ
ช่างโชคดีเพียงใดที่มีน้องสาวเช่นนี้!
ทว่า…
………………………………………………………………..
[1] หมายถึงเทพนาจา
[2] หมายถึงเทพนาจา
[3] เป็นเหมือนทักษะคิดตัวของบิดานาจาคือ แม่ทัพหลี่จิ้งแห่งราชวงศ์ซาง ว่ากันว่า ตราบใดที่หลี่จิ้งมีกระบี่อยู่ในมือเมื่อเขาฟาดฟันกระบี่ เขาก็จะถูกคนรอบข้างจับได้ด้วยมือเปล่าอย่างแน่นอน
—————————————-