ในตอนที่เธอพึ่งล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วเดินออกมา โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
วารุณีวางชุดที่กำลังจะเปลี่ยนแล้วเดินไปทางเตียง นั่งลงข้างเตียง เธอหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงขึ้นมา มองดูภาพหน้าจอที่แสดง รีบรับสาย “สวัสดีค่ะนักสืบชอล”
“สวัสดีครับคุณหญิงวารุณี” ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับอย่างเคารพ
วารุณีรีบถาม “นักสืบชอลคะ เรื่องเมื่อวานที่ฉันให้คุณสืบ ได้เรื่องหรือยังคะ?”
อีกทางหนึ่งของโทรศัพท์ นักสืบชอลส่ายหัว “ขอโทษด้วยครับคุณหญิงวารุณี ผมได้สืบสถานการณ์ทั้งหมดในช่วงสองสามวันนี้ของคุณปาจรีย์แล้วครับ ปรากฏว่าคุณปาจรีย์ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลยครับ”
“ไม่มีเลย?” วารุณีขมวดคิ้ว
เป็นไปได้ยังไงล่ะ?
สภาพแบบนั้นของปาจรีย์ เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและกังวล ชัดเจนเลยว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
นักสืบชอลรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นอีกว่า “คุณหญิงวารุณีครับ ไม่มีจริงๆ ครับ ช่วงสองสามวันนี้คุณปาจรีย์ไม่ได้ใกล้ชิดกับคนนอกเลยครับ แต่หากจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอารมณ์มากที่สุดของคุณปาจรีย์นั้นก็คือเมื่อสามวันก่อนครับ”
“สามวันก่อน?” วารุณีนั่งลงยังข้างเตียง “สามวันก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้างคะ?”
เธอจำได้ สามวันก่อน ปาจรีย์ไปหาพงศกรพอดี เป็นวันที่เธอบอกพงศกรว่าฆาตกรที่แท้จริงคือใคร
“หลักๆ ผมก็ไม่ชัดเจนครับ สามวันก่อน หลังจากที่คุณปาจรีย์ออกมาจากโรงพยาบาลบัวหลวง อารมณ์ก็แย่ลงทันที ผมได้ไปสืบกล้องวงจรของโรงพยาบาลบัวหลวงในตอนนั้น ตอนนั้นคุณปาจรีย์ร้องไห้หนักมาก หลังจากนั้นเธอก็ขอลากลับบ้านพ่อแม่กับคุณ ดังนั้นผมขอเดาว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณปาจรีย์ อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคุณหมอพงศกรในโรงพยาบาลบัวหลวง”
วารุณีพยักหน้า “โอเค ฉันรู้แล้ว รบกวนกวนคุณแล้ว เดี๋ยวฉันโอนเงินที่ยังไม่ได้จ่ายให้คุณนะ”
“โอเคครับ”
การพูดคุยจบลง วารุณีวางโทรศัพท์ ขมวดคิ้วแน่น
ตอนแรกเธอคิดว่า ปาจรีย์เจอปัญหาบางอย่าง ถึงได้เป็นแบบนี้
กลับคิดไม่ถึง ท้ายที่สุดแล้วก็กลับมายังที่เดิม สาเหตุก็ยังเกิดจากตัวพงศกร
ดูเหมือนว่าวันนั้นตอนที่ปาจรีย์ไปหาพงศกร ระหว่างทั้งสองเกิดเรื่องที่เธอไม่รู้ขึ้น ไม่เช่นนั้นปาจรีย์คงไม่เป็นแบบนี้
ขณะที่คิดอยู่ วารุณีหยิบโทรศัพท์ขึ้น โทรหาพงศกร
อย่างไรก็ตามโทรศัพท์ขอพงศกรยังคงแสดงขึ้นว่าปิดเครื่อง ไม่สามารถติดต่อได้
นี่ทำให้วารุณีรู้สึกปวดหัวมากๆ
ถึงแม้ว่าพงศกรจะตามหาฆาตกร ก็ไม่ถึงขั้นต้องปิดเครื่องให้คนอื่นไม่สามารถติดต่อได้หรอกมั้ง
ในขณะที่คิดอยู่ ประตูห้องถูกคนเคาะดัง นอกห้องมีเสียงของป้าส้มดังผ่านมา “คุณหญิง ท่านตื่นหรือยังคะ?”
วารุณีเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู “ตื่นแล้ว”
“งั้นก็ออกมาทานข้าวเช้าก่อนเถอะค่ะ” ป้าส้มพูดอีก
วารุณีอื้มตอบกลับ “โอเคค่ะ หนูจะรีบลงไปค่ะ”
ได้รับการตอบกลับของเธอ ป้าส้มวางมือลงจากประตู หันหลังแล้วเดินลงบันได
วารุณีก็วางโทรศัพท์ลง เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อ
ช่างเถอะ ในเมื่อติดต่อพงศกรไม่ได้ ก็ลงมือทางปาจรีย์เถอะ
เรียกให้ปาจรีย์กลับมา เปิดใจคุยกับปาจรีย์ดีๆ ไม่แน่อาจจะเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้นกับปาจรีย์และพงศกรในก่อนหน้านี้ แล้วแก้ปัญหาของปาจรีย์ในตอนนี้
เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย วารุณีแต่งหน้าอ่อนๆ จึงจะเปิดประตูออกไป
ในตอนที่ทานอาหารเช้า เธอก็ส่งข้อความให้ปาจรีย์แล้ว ให้เธอกลับมาทำงานที่จังหวัดจันทร์
ขณะนี้ปาจรีย์กำลังดูหนังกับรพี รพีเป็นคนชวน
ในตอนที่ได้รับข้อความจากวารุณี เธอและรพีพึ่งดูหนังจบและเดินออกมาจากโรงหนังพอดี
“พี่รพี พวกเราไปนั่งตรงนั้นกันค่ะ ฉันขอตอบข้อความสักครู่นะ” ปาจรีย์ชี้ไปทางเก้าอี้แถวข้างหน้า
รพีไม่ได้มีความเห็นอะไร พยักตกลงด้วย “โอเค เธอไปก่อนเลย ฉันไปซื้อเครื่องดื่ม เธออยากดื่มอะไร? ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ เธอชอบดื่มสมูธตี้มะม่วง ตอนนี้ยังชอบอยู่ไหม?”
“แน่นอนค่ะ” ปาจรีย์พยักหน้าอย่างดีใจ “คิดไม่ถึงว่าพี่รพียังจำได้ จะยี่สิบปีแล้วค่ะ”
“ฉันจำได้อยู่แล้ว สิ่งที่เธอชอบ ฉันไม่เคยลืมเลย” รพีมองเธอด้วยนัยน์ตาที่ลึกซึ้ง
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของปาจรีย์ก็แข็งทื่อไปเลย ขยับริมฝีปาก กำลังอยากจะพูดอะไรยางอย่าง
รพีหัวเราะเบาๆ “โอเค เธอไปรอฉันก่อน ฉันไปซื้อสมูธตี้แล้ว”
พูดจบ เขาหันหลังแล้วเดินไปทางร้านชานมไข่มุก
ปาจรีย์มองดูภาพข้างหลังของเขา ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่านัยน์ตาเมื่อกี้ และคำพูดเมื่อกี้ เหมือนชอบเธอเลย?
หรือคือภาพลวงตาเหรอ
น่าจะเป็นภาพลวงตาแหละ พวกเขาแยกกันจะยี่สิบปีแล้ว พี่รพีจะชอบเธอได้ยังไง
ส่ายหัว ปาจรีย์ไม่ได้คิดมาก ไปนั่งยังตรงเก้าอี้แถวทางนั้น
หลังจากที่นั่งลงแล้ว เธอจึงจะเปิดข้อความของวารุณีมาดู เห็นเนื้อหาข้างบนแล้ว นัยน์ตาของเธอมืดหมองลง จากนั้นก็พิมพ์ตอบกลับว่า “ขอโทษนะวารุณี พรุ่งนี้ฉันอาจจะกลับไปไม่ได้ ฉันยังอยากอยู่กับพ่อแม่อีกสองวัน ให้อภัยฉันด้วยนะ”
เธอยังมีของอีกมากมาย ที่ยังไม่ได้จัดการให้พ่อแม่
รอให้จัดการเรียบร้อยแล้ว เธอจึงจะ……
ณ จังหวัดจันทร์ วารุณีดื่มนมหมดแล้ว ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ข้างๆ สั่น รู้ว่าปาจรีย์ตอบข้อความแล้ว รีบวางแก้วนมลง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เห็นข้อความที่ปาจรีย์ตอบกลับ เธอเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็ตอบกลับด้วยข้อความเสียงว่า “ปาจรีย์ เธออยากจะอยู่กับคุณอาคุณน้าจริงๆ หรือว่าไม่อยากกลับมา?”
งานของปาจรีย์ได้แบ่งลงไปหมดแล้ว ชัดเจนเลยว่าตัดสินใจไม่กลับบริษัทแล้ว
ไม่เช่นนั้น เธอก็คงไม่ตามปาจรีย์ ยิ่งไม่มีทางสงสัยว่าปาจรีย์ไม่อยากกลับมา
ปาจรีย์ฟังข้อความเสียงของวารุณีแล้ว หัวใจสั่นไปที
เธอคิดไม่ถึง แวบเดียววารุณีก็รู้เลยว่าเธอกำลังโกหก
ช่างเถอะ!
ปาจรีย์ถอนหายใจ เอ่ยปากตอบว่า “วารุณี ขอโทษมากจริงๆ เมื่อกี้ฉันโกหกเธอ ฉันยอมรับ ฉันไม่อยากกลับไปแล้ว หลังจากนี้ ฉันก็ว่าจะไม่กลับไปแล้ว แค่นี้ก่อนนะ”
พูดจบ เธอก็กดปิดเครื่องโทรศัพท์ไปเลย
รพีถือสมูธตี้แก้วหนึ่งและกาแฟแก้วหนึ่งเดินมา ได้ยินคำพูดนี้ของเธอพอดี ยื่นชานมไข่มุกให้เธอแล้วถามขึ้นว่า “ใครเหรอ? เธอจะไปไหน?”
“เพื่อสนิทของฉันค่ะ” ปาจรีย์รับสมูธตี้มา “ฉันกับเพื่อนสนิทได้ก่อตั้งบริษัทออกแบบเสื้อผ้าที่จังหวัดจันทร์ไว้ ตอนนี้เพื่อนสนิทฉันให้ฉันกลับไปทำงาน ฉันว่าจะไม่กลับไปแล้ว”
“เพื่อนสนิทของเธอ คนที่ชื่อวารุณีเหรอ?” รพีนั่งลงข้างกายของเธอแล้วถาม
ปาจรีย์ตกใจ “พี่รู้ได้ยังไง?”
“ตอนที่มาหาเธอ ฉันได้ทำความรู้จักเธอมาเล็กน้อย เพื่อนสนิทเธอสวยมาก” รพีเปิดฝาแก้วกาแฟ ดื่มไปคำหนึ่งแล้วพูด
ปาจรีย์มองเขาอย่างหวาดระแวง “พี่รพี อย่าบอกนะว่าพี่คิดอะไรกับเพื่อนสนิทฉัน? ฉันจะบอกให้นะ อย่าเด็ดขาด เพื่อนสนิทของฉันสวยจริง สวยจนไม่มีอะไรสามารถเทียบได้ แต่ว่าเธอแต่งงานแล้ว ยังมีลูกน้อยแล้วสามคน ดังนั้นพี่ไม่มีโอกาสแล้ว”
ฟังคำพูดนี้ของเธอแล้ว รพีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยกมือขึ้นเคาะไปที่หน้าผากของเธอ “เจ้าเด็กนี่พูดอะไรเนี่ย ฉันจะไปคิดอะไรกับเพื่อสนิทเธอได้ยังไง ฉันแค่ชมว่าเธอสวยเฉยๆ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาจริงๆ แต่ว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย ฉันก็รู้ด้วยว่าเธอแต่งงานแล้ว สามียังเป็นประธานของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปด้วย”
“เรื่องนี้พี่ยังรู้เหรอ?” ปาจรีย์ตะลึงงัน
รพีพยักหน้า “แน่นอน หากจะพูดแล้วก็ ฉันกับประธานนัทธีก็ถือว่ารู้จักกัน ฉันทำงานอยู่ที่บริษัทต่างประเทศหนึ่ง รับผิดชอบในการต้อนรับดูแลธุรกิจจากมหาเศรษฐีในประเทศ มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ คนนั้นก็คือเขา”
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” ปาจรีย์หยักหน้า ไม่ถามต่อแล้ว
รพีดื่มกาแฟหมดแล้ว เขาโยนแก้วที่ใช้แล้วทิ้งลงในถังขยะข้างๆ จากนั้นก็โค้งตัวก้มหน้ามองเธอ “พูดถึงเธอบ้างละกัน เพื่อนสนิทของเธอบอกให้เธอกลับไปทำงาน ทำไมเธอไม่กลับไป? นั่นบริษัทที่พวกเธอก่อตั้งด้วยกันไม่ใช่เหรอ? หรือว่า เธอทะเลาะกับเพื่อนสนิทแล้ว?”