ปาจรีย์ส่ายหัวเบาๆ “ไม่ใช่ ฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับวารุณีมาโดยตลอด เป็นเพื่อนสนิทมาหลายปีแล้ว ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยมีความขัดแย้งกันเลย”
“แล้วทำไมล่ะ?”
ปาจรีย์มองลงข้างล่าง “เกิดเรื่องบนตัวฉันขึ้นนิดหน่อย ฉันไม่ค่อยเหมาะจะทำงานแล้ว”
หลังจากพูดจบ เธอลุกขึ้น “เอาเถอะพี่รพี เราไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ไปเถอะ ฉันเริ่มหิวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ ฉันเลี้ยง”
“ได้สิ งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ” รพีก็ลุกขึ้น
ปาจรีย์หัวเราะ “พี่ไม่ต้องเกรงใจ ไปเถอะ”
ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันแล้วขึ้นรถ
ณ คฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์ เห็นการตอบกลับของปาจรีย์แล้ว วารุณีโมโหมากๆ จนจะหัวเราะแล้ว
อะไรคือไม่อยากกลับมาแล้ว?
เธอจะทำอะไรกันแน่เนี่ย?
วารุณีทั้งโมโหทั้งรน โทรหาปาจรีย์โดยตรงเลย
อย่างไรก็ตามปาจรีย์เหมือนกับพงศกร โทรศัพท์โทรไม่ติดแล้ว
วารุณีโมโหจนเวียนหัว นวดขมับ
ป้าส้มเห็นเธอเป็นแบบนี้ อดถามไม่ไหวว่า “คุณหญิง เป็นอะไรคะ?”
“ก็ปาจรีย์นั่นแหละ บอกว่าไม่อยากกลับมาทำงานแล้ว” วารุณีถอนหายใจแล้วพูด
ป้าส้มเงียบไปสักพัก “ไม่อยากทำงาน? มีแฟนแล้วหรือเปล่าคะ? ฉันได้ยินว่ามีบริษัทมากมายกำหนดว่าห้ามพนักงานมีแฟน กลัวว่าพนักงานจะเสียเวลาทำงานเพราะมีแฟน คุณปาจรีย์จะเป็นแบบนี้หรือเปล่าคะ?”
ฟังประโยคนี้แล้ว วารุณีกะพริบตา “มีแฟน?”
“เป็นเพียงแค่การคาดเดาของฉันค่ะ” ป้าส้มหัวเราะ
วารุณีลูบไปที่คาง สุดท้ายส่ายหัว “น่าจะเป็นไปไม่ได้ ปาจรีย์ชอบพงศกร น่าจะไม่คบกับผู้ชายคนอื่น อีกอย่างถึงแม้ปาจรีย์จะคบกับผู้ชายคนอื่น หัวใจที่เอาการเอางานของเธอ เธอไม่มีทางทิ้งงานเพราะมีแฟน”
“หากเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่ทราบแล้วค่ะ หรือไม่คุณหญิงลองหาเวลาไปเยี่ยมคุณปาจรีย์ ถามด้วยตนเองดูค่ะ” ป้าส้มให้คำแนะนำ
วารุณีพยักหน้า “ก็ดี งั้นวันมะรืนละกัน เป็นวันอาทิตย์พอดี จะได้ไปเยี่ยมพ่อแม่ของปาจรีย์ด้วย โอเคป้าส้ม ฉันทานเรียบร้อยแล้ว ไปบริษัทก่อนนะ”
“ไปเถอะ ระหว่างทางระวังด้วยนะ” ป้าส้มพูดกำชับ
วารุณีพยักหน้า “แน่นอน วางใจเถอะ ฉันไปก่อนนะ”
เธอโบกมือ ออกจากคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์ไป
ในขณะเดียวกัน ณ บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
นัทธีพึ่งประชุมเสร็จ เดินออกมาจากห้องประชุม มารุตก็เดินขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ท่านประธาน คุณหมอพิชิตมาแล้วครับ”
นัทธีหยุดเท้าเดินกะทันหัน “พิชิต? เขาถูกขังอยู่ในบ้านไม่ใช่เหรอ? ออกมาได้ยังไง?”
“ผมก็ไม่รู้ครับ น่าจะเพราะคิดได้แล้ว ดังนั้นจึงถูกปล่อยออกมามั้งครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าเขาแอบออกมาครับ ดังนั้นจึงติดต่อกับทางดร.ไปครับ ดร.บอกว่า เขาเป็นคนปล่อยออกมาเองครับ” มารุตตอบกลับ
นัทธีพยักหน้า แสดงออกว่ารู้แล้ว “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ห้องรับแขก รอพบท่านอยู่ครับ”
“อื้ม ไปเถอะ” นัทธีพยักหน้า ตกลงที่จะพบเจอ
ในไม่ช้า เขามาถึงห้องรับแขก มารุตเปิดประตูออก
พิชิตนั่งอยู่บนโซฟา ในมือถือน้ำไว้แก้วหนึ่ง ก้มหน้าอยู่พอดี ราวกับว่ากำลังเหม่อลอย
นัทธีขมวดคิ้ว ยกเท้าเดินเข้าไป
ได้ยินเสียงเท้าเดิน พิชิตรีบดึงสติกลับมา เงยหน้าขึ้นมองนัทธี บนใบหน้าที่หน้าเด็กและน่ารัก บีบรอยยิ้มที่ฝืนออกมา “นัทธี นายมาแล้วเหรอ”
“ไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม น่าเกลียดมาก” นัทธีเดินไปยังโซฟาเดี่ยวตรงหน้าแล้วนั่งลง
มารุตไปชงชาข้างๆ
พิชิตได้ยินคำพูดที่นัทธีมองออกในพริบตา ว่าเขากำลังฝืนยิ้ม สีหน้าแย่ไปสักพัก ก้มหน้าลง “ขอโทษ”
นัทธีพูดถูก เขาไม่อยากยิ้มจริงๆ และยิ้มไม่ออก
เมื่อกี้ก็แค่เพราะมารยาท ถึงได้ฝืนบีบรอยยิ้มออกมา
ถึงแม้ว่านัทธีจะไม่พูด เขาเองก็รู้ว่าน่าเกลียดมาก
“ประธาน ชาครับ” มารุตเติมชาเรียบร้อย ส่งให้นัทธี
นัทธียื่นมือไปรับ แต่กลับไม่ได้ดื่ม วางลงบนโต๊ะน้ำชา มองดูพิชิตและพูดขึ้นว่า “พูดเถอะ ออกมาได้ยังไง?”
พิชิตหมุนแก้วน้ำชาที่อยู่ในมือ “พ่อฉันปล่อยฉันออกมา ฉันไม่ได้อยากไปกับนวิยาแล้ว”
“อ๋อ?” นัทธียักคิ้ว “นายคิดได้แล้ว? ไม่เตรียมตัวตายแล้ว?”
พิชิตหัวเราะขื่นๆ “ตอนนั้นที่ฉันอยากจะตาย เพราะว่าได้ข่าวว่าเกิดเรื่องกับนวิยา เป็นความคิดที่ผุดออกมาหลังจากที่อารมณ์พังทลายกะทันหัน แต่ว่าผ่านช่วงเวลานี้ที่สงบสติอารมณ์นี้มา ฉันเข้าใจแล้วว่าความคิดในตอนนั้นของฉันน่าตลกแค่ไหน”
หากตอนนั้นนัทธีไม่ได้ห้ามไว้ เขาอาจจะไปพร้อมกับนวิยาแล้วจริงๆ พอถึงเวลา พ่อแม่ของเขา เป็นคนที่เสียใจมากที่สุด เป็นคนที่รับไม่ได้มากที่สุด
พ่อแม่อาจจะได้รับการโจมตีที่หนักนา เพราะการเสียชีวิตของเขา อาจจะล้มป่วย ถึงขั้นอาการหนัก และอาจจะเสียชีวิต
หากเป็นเช่นนั้น เขาไม่เหมาะที่จะเป็นลูกจริงๆ
นัทธีเห็นพิชิตในแบบนี้ ค่อยๆ ยิ้มโค้งขึ้นที่ริมฝีปาก ในไม่ช้าก็หายไป เหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน “ดูเหมือนว่าช่วงเวลานี้ ถือว่ามีการพัฒนาอยู่”
“ฉันควรจะขอบใจที่นายชมไหม?” พิชิตดื่มชา
“ไม่ต้อง” นัทธีตอบกลับอย่างจริงจัง จากนั้นก็ถามต่อว่า “ในเมื่อนายไม่อยากตายแล้ว วันนี้นายมาหาฉันมีเรื่องอะไร?”
“ฉันอยากให้นายนำศพของนวิยาให้ฉัน” พิชิตเงยหน้าขึ้น มองดูเขาพูด
นัทธีตะลึงเล็กน้อย “นายจะเอาศพของนวิยาไปทำอะไร?”
อย่าบอกนะว่าจะนำไปทำเป็นกลุ่มตัวอย่าง แล้ววางอยู่ในบ้าน มองดูทุกวัน?
เหมือนจะมองออกว่านัทธีกำลังคิดอะไรอยู่ พิชิตเบ้ที่มุมปาก “นายคิดมากไปแล้ว ฉันแค่อยากจะส่งนวิยาครั้งนี้ด้วยตนเอง ฝังเธอด้วยตนเอง และถือว่าเพื่อเป็นการอำลาครั้งสุดท้ายกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ของฉัน นายวางใจได้ ฉันพูดจริง พ่อของฉันตกลงแล้ว”
“ใช่เหรอ?” นัทธีหรี่ตา มีความสงสัยเล็กน้อย
พิชิตพยักกหน้า “ใช่ หากนายไม่เชื่อ สามารถติดต่อกับพ่อฉันได้”
“ไม่ต้องแล้ว ฉันเชื่อ นายก็คงไม่กล้าโกหกฉัน ไม่เช่นนั้นนายรู้ผลที่ตามมา” นัทธีนั่งไขว่ห้าง
ศพของนวิยา ควรจะจัดการแล้ว
พูดตามจริง ตอนนี้เขายังรู้สึกเครียดอยู่ว่าจะฝังศพของนวิยาไว้ที่ไหน
เขาไม่สามารถนำศพของนวิยาฝังอยู่ข้างๆ สองสามีภรรยาประธานธนงค์ คิดว่าสองสามีภรรยาประธานธนงค์ก็ไม่ค่อยอยากจะให้ลูกสาวคนนี้ฝังอยู่กับพวกเขา
หากฝังอยู่ที่สุสานธรรมดาทั่วไป ก็รู้สึกว่าให้เปรียบนวิยาไป
คนอย่างนวิยา ไม่ควรจะฝังในสถานที่ดีขนาดนั้น
แต่ว่าตอนนี้พิชิตบอกเองว่าจะฝังศพของนวิยาเอง ถือว่าเป็นการแก้ไขความเครียดหนึ่งของเขา
“นายจะเอาศพของนวิยา ได้ ฉันยอมตกลงแล้ว” นัทธีพยักหน้าแล้วพูด
พิชิตสีหน้าดีใจ รีบวางแก้วชาในมือลง “นัทธี ขอบใจนายมาก”
“นายไม่ต้องขอบใจฉัน ฉันก็แค่ไม่อยากให้เรื่องปัญหาของนวิยาอยู่ในมือของฉันตลอด” นัทธีพูดเบาๆ
พิชิตก็ไม่สนว่าที่เขาพูดนั้นจริงหรือเท็จ ถามต่อว่า “จริงด้วยนัทธี ศพของนวิยา ยังอยู่ที่สถานเก็บศพในโรงพยาบาลบัวหลวงไหม?”
“อื้ม” นัทธีพยักหน้า
พิชิตลุกขึ้น “โอเคฉันรู้แล้ว ฉันไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากพูดจบ เขายกเท้าเดินตรงออกไปทางประตูเลย
นัทธีขมวดคิ้ว โบกมือกับมารุต “ส่งคนตามเขาไปด้วย จับตาดูเขาไว้ดีๆ อย่าให้เขาก่อเรื่อง”
“ประธานเป็นห่วงว่าท่าทีบุคลิกของคุณหมอพิชิตในวันนี้ได้เสแสร้งออกมา จริงๆ แล้วยังไม่ได้เดินออกมาจากความเสียใจในเรื่องที่นวิยาเสียชีวิต แล้วทำเรื่องบ้าๆ เหรอครับ” มารุตพูด
นัทธีไม่ได้ปฏิเสธ
มารุตยืนตรง “ผมรู้แล้วครับ จะส่งคนตามเขาไปด้วยเดี๋ยวนี้เลยครับ”
“ไปเถอะ” นัทธีพยักหน้า
มารุยยกเท้าขึ้นและเดินออกจากห้องรับแขกเช่นกัน
นัทธีไม่ได้ออกไป ยังคงนั่งดื่มชาอยู่ที่เดิม จนกระทั่งชาในแก้วดื่มหมดแล้ว จึงจะลุกขึ้นออกจากห้องประชุม