เขาไม่รู้ว่าครั้งนี้พิชิตโกหกเขาอยู่หรือเปล่า
ทว่าหากโกหกเขาจริงๆ งั้นเขาจะไม่สนใจการเป็นอยู่เป็นตายของพิชิตแล้ว
คนคนหนึ่งที่มีเต็มความรักเต็มหัวสมอง ไม่สนใจคนอื่น ไม่คู่ควรให้เขาใส่ใจ
หลังจากที่พิชิตออกมาบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปแล้ว ก็ขับรถตรงไปที่โรงพยาบาลบัวหลวง
เหมือนว่าทางโรงพยาบาลบัวหลวงได้รับคำสั่งของนัทธีแล้ว พอพิชตจมาถึง ก็มีคนพาเขาไปทางสถานที่เก็บศพเลย
พิชิตเห็นศพของนวิยาอีกครั้ง เป็นศพที่ถูกแช่แข็งมาหลายวันแล้ว ซีดขาวไปทั้งตัว ดูแล้วน่ากลัวมากๆ
ทว่าพิชิตไม่ได้ตกใจ เขาที่เป็นคุณหมอ พบเจอกับศพเยอะเกินไปแล้ว ศพที่น่ากลัวกว่าและน่าตกใจกว่าเขาก็เคยเจอมาแล้ว ดังนั้นพอเห็นตรงนี้ จึงไม่ได้รู้สึกกลัวใดๆ
ถือแม้ว่าเขาจะไม่ใช่หมอ เห็นศพของนวิยาแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกกลัว เพราะว่านวิยาคือคนที่เขาเคยรัก
“คุณหมอพิชิตครับ” คุณหมอท่านหนึ่งในโรงพยาบาลบัวหลวงเดินมายังข้างกายของพิชิต มองนวิยาก่อน จากนั้นจึงจะมองไปทางพิชิต “จะส่งศพไปที่ไหนครับ?”
“ฌาปนสถาน” พิชิตคลุมผ้าสีขาวให้นวิยาใหม่อีกครั้ง ปิดตาลงแล้วพูด
คุณหมอโล่งอกไปที “ต้องการให้ผมช่วยจัดรถให้ไหมครับ?”
เขากลัวจริงๆ ว่าคุณหมอพิชิตท่านนี้จะส่งศพกลับไปที่บ้าน
เขาได้รับคำสั่งจากประธานนัทธี ห้ามให้คุณหมอพิชิตส่งศพกลับบ้าน หรือสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากฌาปนสถาน
โชคดีที่คุณหมอพิชิตท่านนี้ไม่ได้ทำอะไรมั่วๆ วู่วามเพราะความรัก ไม่เช่นนั้นหน้าที่นี้ เขาไม่รู้จะรายงานผลยังไงจริงๆ
“ไม่ต้อง ระหว่างทางที่มา ฉันได้ติดต่อเรียบร้อยแล้ว คาดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้ว” พิชิตมองดูนาฬิกาตรงข้อมือแล้วพูด
คุณหมอพยักหน้า ไม่ได้ถามอีก
เหมือนกับที่พิชิตพูด ในไม่ช้ารถของฌาปนสถานก็มาถึง
พิชิตเซนต์ในหนังสืบขอรับศพ แล้วขึ้นรถของฌาปนสถานไปที่ฌาปนสถานพร้อมกัน
ในตอนที่มาถึงฌาปนสถาน นวิยาไม่ได้ถูกส่งเข้าเมรุทันที แต่ว่าถูกส่งเข้าไปในห้องแต่งหน้าก่อน ในนั้นมีช่างแต่งหน้าที่รับผิดชอบแต่งหน้าให้ศพเป็นพิเศษ ให้ศพสามารถคงความสง่างาม จากไปอย่างสวยๆ งามๆ
ในตอนที่นวิยาถูกส่งเข้าห้องแต่งหน้า พิชิตหันหลังเดินขึ้นไปยังบนรถของตนเอง หยิบกล่องขนาดใหญ่ที่ใหญ่มากๆ ออกมา
ช่างแต่งหน้ามองดูกล่องนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “คุณผู้ชายคะ นี่คือ……”
“นี่คือชุดแต่งงาน” พิชิตเปิดฝากล่องขนาดใหญ่ออกแล้วตอบกลับ
ข้างในเป็นชุดแต่งงานสีขาวที่สง่างาม เศษเพชรและด้ายสีเงินบนชุดแต่งงานเปล่งประกายสะดุดตาอยู่ในอากาศ สวยงามมากๆ
นัยน์ตาของช่างแต่งหน้ามีความตะลึงงันผ่านไป ในไม่ช้าก็กลับคืนความเงียบสงบ
ไม่ว่ายังไงแล้วการกระทำที่มอบชุดแต่งงานให้กับผู้เสียชีวิตนั้น เธอเจอมาไม่น้อยเช่นกัน
ว่าที่สามีภรรยาหลายคู่ หรือแฟนชายแฟนหญิง ก่อนแต่งงานหากมีฝ่ายหนึ่งประสบอุบัติเหตุโดยบังเอิญ ในวันเผาศพของอีกฝ่าย ก็จะให้ชุดแต่งงานหรือแหวนแก่คนที่เขารัก โดยแสดงถึงว่าเป็นการให้งานแต่งงานสำหรับอีกฝ่าย
ดังนั้นคุณผู้ชายท่านนี้มอบชุดแต่งงานให้ เธอไม่ได้รู้สึกตกใจ
สิ่งที่ตกใจคือ กลับมอบชุดแต่งงานที่ดูออกว่าแพงมากในแวบตาเดียว
ทว่ามองจากเสื้อผ้าที่คุณผู้ชายท่านนี้ใส่ ราคาก็คงไม่เบา คาดว่าน่าจะเป็นคนมีเงินสินะ
พอคิดแบบนี้ ช่างแต่งหน้าก็ไม่ตกใจแล้ว ยื่นมือออกไปรับกล่องที่พิชิตส่งมอบมา “ฉันรู้แล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะให้คุณผู้หญิงท่านั้นใส่ค่ะ”
“อื้ม” พิชิตพยักหน้า จากนั้นก็ซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมา “แล้วก็แหวน”
“ได้ค่ะ” ช่างแต่งหน้ารับมา “ฉันจะแต่งหน้าเจ้าสาวที่สวยที่สุดให้คุณผู้หญิงเท่านั้นค่ะ”
“ขอบคุณครับ” พิชิตโค้งคำนับให้ไปทางช่างแต่งหน้า หันหลังแล้วกลับขึ้นไปยังบนรถของตนเอง และเปลี่ยนชุดทักซิโด้ชุดใหม่ ปักดอกไม้ที่เขียนว่าเป็นเจ้าบ่าวอยู่ที่อกซ้ายของเขา
ในตอนที่เขาออกมาจากรถอีกครั้ง เขากลายเป็นเจ้าบ่าวท่านหนึ่งแล้ว
คนที่มารุตส่งมาเห็นภาพนี้แล้ว ดวงตาของเขาเกือบจะทะลักออกมา
เกิดอะไรขึ้น?
อย่าบอกนะว่าคุณหมอพิชิตจะจัดงานแต่งงานหลังมรณกรรมกับนวิยา แล้วฆ่าตัวตายอีกครั้ง?
พอนึกถึงจุดนี้ ก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา กดโทรเบอร์ของมารุต บอกสิ่งที่ตนเองเห็น ให้กับมารุตทั้งหมด
มารุตฟังจบแล้วก็ตะลึงงันมาก ขมวดคิ้วแน่นขึ้น “โอเคฉันรู้แล้ว นายจับตาดูเขาให้ดี หากมีความผิดปกติอะไร รีบควบคุมเขาไว้”
“ครับ” คนคนนั้นพยักหน้าตอบรับ
มารุตวางสาย เคาะประตูห้องสำนักงานของนัทธี
“เข้ามา” นัทธีเอ่ยปากด้วยเสียงต่ำ
มารุตสูดหายใจลึก ผลักประตูเข้าไป “ท่านประธานครับ แย่แล้ว คุณหมอพิชิตสวมชุดคนใหม่ให้กับตนเองและนวิยาครับ”
“อะไรนะ?” นัทธีขมวดคิ้ว ระหว่างนั้นยังทันดึงสติกลับมา ชุดคนใหม่คืออะไร
มารุตพูดเตือน “ก็คือชุดเจ้าบ่าวและชุดเจ้าสาวครับ”
“พิชิตเปลี่ยนชุดแบบนี้ให้กับตนเองและนวิยา?” สีหน้าของนัทธีแย่ลงทันที
“ใช่ครับ” มารุตพยักหน้า
สีหน้าของนัทธีแย่มาก “เขาคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“ไม่รู้ครับ คนที่ผมส่งไปกำลังจับตาดูเขาอยู่ ไม่ให้เขาทำเรื่องบ้าๆ ออกมา” มารุตพูด
นัทธีกำหมัดแน่น ไม่ได้พูดอะไร
มารุตไม่ได้รับการตอบกลับของเขา คิดไปคิดมา เอ่ยปากถามขึ้น “ท่านประธานครับ ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดีครับ จะลองไปดูไหมครับ?”
“ไปทำไม? ในเมื่อเขาอยากตาย งั้นก็ให้เขาไปเถอะ” ริมฝีปากบางของนัทธีเม้มปากออกถึงความเย็นชา
เมื่อกี้เขาบอกแล้ว หากพิชิตโกหกเขา ยังคงไม่ได้ลบล้างความคิดที่จะไปอยู่กับนวิยา เขาจะไม่สนใจอีก
มารุตเองก็รู้ในจุดนี้ แล้วรู้สึกว่าหากคุณหมอพิชิตจะทำแบบนี้จริงๆ ไม่คู่ควรที่จะถูกช่วยเหลือจริงๆ
ทว่าหากเห็นคุณหมอพิชิตไปตายจริงๆ เขาก็อดไม่ไหว
ไม่ว่ายังไงแล้ว ก็รุู้จักกันมาสิบกว่าปี เขาและคุณหมอพิชิตก็ถือว่าเป็นเพื่อนกัน ทำไม่ได้จริงๆที่จะปล่อยคุณหมอพิชิตไปโดยไม่สนใจ
ผลักแว่นตา มารุตรวบรวมความกล้าแล้วพูดขึ้นว่า “คุณหมอพิชิตอาจจะไม่อยากตาย แค่อยากจะทำอย่างอื่นก็เป็นได้ครับ ประธาน ไปดูหน่อยเถอะครับ เดี๋ยวอย่าเสียใจทีหลังเอานะครับ”
เสียใจ?
เป็นไปได้ยังไง!
ถึงแม้ว่าจะคิดแบบนี้ ทว่านัทธีก็ละเลยอารมณ์ที่หัวใจเต้นไม่ได้
เอาเถอะ หัวใจของเขา คงจะไม่ได้แข็งถึงขั้นปล่อยพิชิตไปโดยไม่สนใจ
นวดไปที่หว่างคิ้ว นัทธีลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง “เตรียมรถ!”
มารุตเห็นเขาเห็นด้วยที่จะไป ใบหน้าดีใจ รีบตอบกลับ “ครับ”
มารุตหันหลังแล้วออกจากห้องสำนักงาน ไปเตรียมรถ
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็ขับรถตรงไปทางฌาปนสถาน
ฌาปนสถานอยู่นอกชานเมือง มารุคขับรถไปในระยะทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดก็มาถึงฌาปนสถาน
คนที่มารุตส่งมาเห็นรถมาถึงแล้ว ก็รีบไปช่วยเปิดประตู
“ประธาน ผู้ช่วยมารุต” คนคนนี้ทักทายด้วยความเคารพ
นัทธีซุกมือทั้งสองลงในกระเป๋ากางเกง ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองสำรวจอาคารเมรุตรงหน้าในฌาปนสถาน ถามด้วยเสียงเบาว่า “พิชิตล่ะ?”
“คุณหมอพิชิตอยู่ในนอกห้องแต่งหน้าครับ” คนคนนี้ตอบกลับ
“นำทาง” มารุตออกคำสั่ง
คนคนนี้พยักหน้า จากนั้นก็ดินอยู่ข้างหน้า นำทางให้นัทธีและมารุต
ระยะทางไม่ไกล เดินไปสองนาทีก็ถึงแล้ว
นัทธีเห็นพิชิตที่นั่งอยู่นอกห้องแต่งหน้าแล้ว
พิชิตก้มหน้าอยู่ ชุดทักซิโด้สีเงินขาวที่ประกายแวววาวของเจ้าบ่าว ตรงหน้าอกมีดอกไม้สีแดงดอกหนึ่ง ในมือเหมือนถืออะไรบางอย่าง และกำลังมองอย่างตั้งใจ
นัทธียกเท้าเดินตรงไป
เสียงเท้าเดินขัดจังหวะความจริงจังของพิชิต เขาเงยหน้าขึ้น หันศีรษะไปทางเสียงเท้าเดิน เห็นนัทธี นัยน์ตามีความตกใจผ่านไป จากนั้นก็ลุกขึ้น “นัทธี นายมาได้ยังไง?”
“นัทธียืนอยู่ตรงหน้าของพิชิต มองดูเขาด้วยนัยน์ตาที่เย็นชา เห็นดอกสีแดงตรงอกซ้ายมีคำว่าเจ้าบ่าว ริมฝีปากก็ยิ้มโค้งขึ้นอย่างประชด “ทำไม? จัดงานสมรสหลังมรณกรรมเหรอ?”