บทที่ 603.2 ปลีกวิเวก

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 603.2 ปลีกวิเวก

เซียวเหิงจัดการเรื่องเหล่าเหลียงอ๋องเฟยเสร็จก็กลับมายังสำนักฮั่นหลิน

ช่วงที่ผ่านมาเขาอยู่ที่กรมยุติธรรมมาหลายวัน ทำให้ห่างหายจากงานราชการที่สำนักฮั่นหลิน

เขาก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กันงานจนเสร็จถึงได้เดินออกมาจากห้องทำงาน

วันนี้เขาหงุดหงิดเล็กน้อย อยากจะออกไปเดินเล่น พอเดินมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงเรียกอันแสนคุ้นเคย “ลิ่วหลัง!”

เขาหันไปด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นเฝิงหลินกำลังกระโดดลงมาจากรถม้าคันหนึ่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ

ปีก่อนเฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่กลับไปยังโยวโจว เดิมทีต้นปีต้องกลับมาสำนักฮั่นหลินแล้ว แต่ได้ยินมาว่าเกิดเรื่องด่วนที่บ้าน จึงขอลาหยุดหนึ่งเดือน

เซียวเหิงเดินเข้าไปหาเขา เฝิงหลินเองก็วิ่งเข้ามาหาเซียวเหิง ทั้งสองหยุดอยู่ตรงทางที่ปูด้วยแผ่นหินหน้าสำนักฮั่นหลิน

เฝิงหลินตบบ่าเซียวเหิง “ไม่เจอกันตั้งนาน เจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว!”

“จริงรึ” เซียวเหิงเอ่ย “เจ้าก็เหมือนล่ำสันขึ้นเป็นกอง”

“แน่อยู่แล้ว” เฝิงหลินภาคภูมิใจ

เดิมทีเซียวเหิงตั้งใจว่าจะออกไปเดินคนเดียว แต่ในเมื่อเพื่อนมาแล้ว ออกไปนั่งกินลมสักหน่อยก็ไม่เลว “เจ้ามาพอดี ข้า…”

ว่ายังไม่ทันจบ เฝิงหลินก็เหลียวกลับไปเอ่ยกับทางรถม้า “ฮูหยิน! เจ้าลงมาพบลิ่วหลังสิ! เขาคือจอหงวนคนใหม่ที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง”

เซียวเหิงสีหน้าตกตะลึง ฮูหยินอย่างนั้นรึ เฝิงหลินแต่งงานแล้วหรือ

“เพราะงานแต่งงานข้าถึงได้ขอลาหยุดน่ะ ข้ากลับไปแล้วก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเหตุใดพ่อแม่ข้าถึงได้เร่งให้กลับไปฉลองปีใหม่นัก พวกเขาไปสู่ขอทาบทามมาให้ข้า…” เฝิงหลินอธิบายอย่างลำบากใจ

สาวน้อยนางหนึ่งลงมาจากรถม้า ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์แล้วเหมือนมาจากตระกูลร่ำรวย มีสง่าราศี

“เป็นลูกสาวของขุนนางที่ประจำอยู่นอกเมืองหลวงน่ะ” เฝิงหลินกระซิบ “แซ่หู”

ตระกูลของเฝิงหลินนั้นยากจน แต่เขาเป็นบัณฑิตจิ้นซือถึงสองสนาม ประสบความสำเร็จจนได้ทำงานที่สำนักฮั่นหลิน ขุนนางประจำเมืองถูกใจความสามารถของเขา จึงยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา

แม่นางหูคำนับเซียวเหิง “คำนับใต้เท้าเซียวเจ้าค่ะ”

เป็นหญิงสาวที่แววตาใสซื่อคนหนึ่ง เซียวเหิงคำนับกลับ

เฝิงหลินเห็นว่าแม่นางหูท่าทางเหนื่อยล้าทั้งกายทั้งใจ จึงรีบเอ่ยกับเซียวเหิง “พวกข้าเร่งเดินทางมาหลายวัน ภรรยาข้าเหนื่อยมากแล้ว ข้าขอพานางกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อน ประเดี๋ยวจะกลับมาหาเจ้า!”

เซียวเหิงคิดไม่ถึงเลยว่าเฝิงหลินจะไปหนึ่งกลับสองเช่นนี้ เห็นทั้งสองคนหวานหยดย้อยก็รู้ว่าเป็นคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน

เฝิงหลินขึ้นนั่งบนรถม้าแล้วเลิกม่านขึ้นเอ่ยกับเซียวเหิง “ใช่แล้ว หลินเฉิงเย่ก็แต่งงานแล้วเช่นกัน! อีกหนึ่งเดือนเขาถึงจะกลับมา! เหมือนพ่อเข้าจะบอกว่าเขาฉลาดไม่น้อย ต้องมีทายาทให้ตระกูลหลินแล้ว ข้าว่าคราวหน้าเขาคงกลับเมืองหลวงกันมาสามคนแล้วล่ะ”

หลินเฉิงเย่หนึ่งคน ภรรยาของเขาหนึ่งคน แล้วก็ลูกในท้องภรรยาอีกหนึ่งคน

เซียวเหิงรู้สึกเหมือนมีธนูปักกลางหัวใจ

“อ้าว ลิ่วหลัง เจ้ายังไม่กลับอีกหรือ”

หนิงจื้อหย่วนเดินออกมาจากนสำนักฮั่นหลิน มองไปยังรถม้าที่วิ่งออกไปไกลพลางเอ่ย “ผู้ใดรึ”

เซียวเหิงตอบ “เฝิงหลินน่ะ เขากลับเมืองหลวงแล้ว”

หนิงจื้อหย่วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไอ้หยา กลับมาได้เสียที เจ้าแซ่หลินล่ะ”

“เจ้าหมายถึงหลินเฉิงเย่รึ” เซียวเหิงตอบ “เขาจะกลับมาเดือนหน้า”

“อ๋อ”

ยามนี้เซียวเหิงอยากจะหาเพื่อนดื่มสักสองสามจอกจริงเชียว หัวใจมันอัดอั้นจนแทบทนไม่ไหว “ท่านพี่หนิงอยากออกไปเดินเล่นหรือไม่”

หนิงจื้อหย่วนย่อมรู้ว่าเกินเรื่องอะไรขึ้น เขาอยู่กับภรรยามาตั้งหลายปี ลูกก็โตกันหมดแล้ว คู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานไม่ควรจะไปยุ่มย่ามกับคู่ภรรยาหนุ่มสาวหรอก

ใครจะไปคิดกันว่าหนิงจื้อหย่วนจะบ่ายเบี่ยง เขายิ้มเจื่อนพลางเอ่ย “วันนี้เกรงว่าจะไม่ได้ ภรรยาข้าตั้งท้องน่ะ ข้าต้องกลับไปดูแลนาง”

เซียวเหิงที่กินอาหารหมาไปสามชามรวด “…”

เซียวเหิงรู้สึกแน่นอกไปหมด

หลังจากหนิงจื้อหย่วนกลับไป เขาก็หายใจเข้าออกสูดลมอยู่นานสองนาน จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะกลับเรือน ทว่ากลับมีรถม้าคันหนึ่งมาจอดอยู่ตรงหน้าเขาเสียก่อน

พลขับที่สวมหน้ากากลงจากรถ ก่อนจะคำนับให้กับเซียวเหิง “มิทราบว่าท่านคือใต้เท้าเซียวแห่งสำนักฮั่นหลินใช่หรือไม่ เจ้านายของข้าขอเรียนเชิญท่าน”

เซียวเหิงมองเขาอย่างหมดคำพูด เจ้าสวมหน้ากากแล้วข้าจะไม่รู้เลยหรือว่าเจ้าคือเสี่ยวซานจื่อน่ะ

รถม้าก็เปลี่ยนด้วยหรือนี่

เสี่ยวซานจื่อที่คิดว่าตัวเองปลอมตัวได้อย่างแนบเนียบเอ่ยขึ้น “มิทราบว่าใต้เท้าเซียวจะกรุณาหรือไม่”

เซียวเหิงมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ได้ ข้าตกลง”

เสี่ยวซานจื่อ “…”

ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ

ต้องถามหน่อยไม่ใช่หรือว่าเจ้านายของเขาคือใคร นี่เขาทำความแตกอย่างนั้นหรือ

“เจ้านายของข้า…”

เสี่ยวซานจื่อตั้งใจว่าจะพูดบทละครให้หมด แต่เซียวเหิงคร้านจะฟังแล้วจึงเดินขึ้นรถม้าในทันที “ไปกัน”

เสี่ยวซานจื่อ “…”

เสี่ยวซานจื่อขับรถมุ่งไปทางศาลารับลมแห่งหนึ่งแถบชานเมือง

ม่านราตรีปกคลุม ลมรัตติกาลพัดโบก

ด้านนอกศาลารับลมมีม่านผืนบางปกคลุม ปลิวไสวไปตามแรงลม

โคมไฟถูกแขวนติดรอบทิศของศาลาส่องแสงเทียนรำไร ทว่าใต้แสงเทียนนั้น มีร่างอรชรนั่งอยู่หลังโต๊ะหิน สองมือเรียวดุจหยกงามกำลังดีดกู่ฉินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ

เสี่ยวซานจื่อออกไปอย่างรู้งาน

เซียวเหิงมองเงาร่างเลือนรางหลังม่านบางด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเดินเข้าไปในศาลารับลม

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพที่เห็นนั้นช่างงดงามเหลือเกิน คนที่ได้เห็น เสียงฉินที่ได้ยิน ทะลุทะลวงจากโสตเข้าสู่หัวใจ

เซียวเหิงยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุด หากก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวก็จะเข้าไปในศาลารับลมแล้ว

หัวใจของเขาแต่ถี่รัวขึ้นมา

ในวินาทีนั้นเอง สายลมอ่อนก็พัดเข้ามา ม่านผืนบางปลิวมาคลอเคลียอยู่ที่ริมฝ่าเท้าของเขา เขากลับเหยียบเข้าอย่างจัง

แรงดึงจากม่านผืนบางรั้งให้ฝ้าเพดานถล่มลงมา

เซียวเหิงศีรษะโดนกระแทกจนหมดสติไป…

กู้เจียว “…!!”

ว่ากันตามตรงฝ้าเพดานไม่ได้หนักเลย แต่เป็นเพราะผ้าม่านและราวผ้าม่านต่างหาก แถมราวผ้าม่านนี้มีราวหลักแค่ราวเดียวด้วยซ้ำ

แต่ก็ดันเป็นราวหลักนั้นที่กระแทกเข้ากับหัวของเซียวเหิง

กู้เจียวกุมขมับ “โชคร้ายอะไรของเจ้ากันนะ”

เซียวเหิงฟื้นขึ้นหลังจากนั้นราวสิบห้านาที เขานั่งอยู่บนตั่งหินของศาลารับลม ฟุบอยู่กับโต๊ะหิน

ภายในศาลาถูกเก็บกวาดอย่างหมดจด ไม่มีแม้กระทั่งฉินตัวนั้น

กู้เจียวนั่งอย่างว่าง่ายตรงหน้าเขา

เซียวเหิงลูบศีรษะที่ปวดหน่วง มองไปรอบทิศก่อนจะกลับมามองที่กู้เจียว “เจ้าเรียกข้ามา เพื่อใช้ราวม่านฆาตกรรมข้ารึ”

กู้เจียวเอ่ยเสียงจริงจัง “ฆาตกรรมเจ้าไม่ต้องใช้ราวม่านหรอก มือข้าข้างเดียวก็พอแล้ว”

เซียวเหิง “…”

กู้เจียวหยิบกล่องจากพื้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ “ข้ามีของดีมาให้เจ้าดู ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน เจ้าคือคนแรก”

เซียวเหิงได้ยินคำว่าคนแรก แววตาก็ไหววูบ ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉย “ข้าไม่สนใจหรอก”

“น่าสนุกมากเลยน่ะ” นางเอ่ย

นางเปิดกล่องออก ก่อนจะหยิบกระบอกไม้ไผ่น้อยออกมา ปลายหนึ่งของกระบอกมีสายชนวนแปลกตา

นางถาม “มีตะบันไฟหรือไม่”

เซียวเหิงล้วงตะบันไฟออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้นาง

กู้เจียวเปิดปลอกตะบันไฟเพื่อจุดไฟ แล้วจุดไฟที่สายชนวนปลายกระบอกไม้ไฟ

จากนั้นนางก็โยนกระบอกไม้ไผ่ออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงดังลั่น กระบอกไม้ไผ่ระเบิดออกมา

เซียวเหิงประหลาดใจเล็กน้อย “นี่คือ…บั้ง…ไฟรึ”

ไม่ใช่สิ บั้งไฟต้องเป็นลำไม้ไผ่ แต่เมื่อครู่ไม่ใช่นี่นา

กลิ่นดินปืนอบอวลไปทั่วทั้งบรรยากาศ

กู้เจียวยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ย “นี่คือประทัด! ทำมาจากดินปืน แต่ส่วนผสมไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว มันไม่ได้ระเบิดร้ายแรง แต่ต้องจุดไฟก่อน เจ้าอยากลองหรือไม่”

เซียวเหิงสีหน้าเย็นชา “มีอะไรให้น่าลองกัน”

กู้เจียวเลิกคิ้ว “เจ้ากลัวมันระเบิดใส่มือหรือ”

เซียวเหิงหน้านิ่ง “ข้าจะกลัวได้อย่างไร”

“เอ้า นี่” กู้เจียวยื่นกระบอกไม้ไผ่น้อยให้เขา

เรียวนิ้วของเซียวเหิงสั่นเครือ กัดฟันรับมา

“แล้วก็นี่ตะบันไฟ” กู้เจียวเอ่ย

เซียวเหิงถือประทัดด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งถือตะบันไฟ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง

กู้เจียวเอ่ย “ข้าทำชนวนให้ยาว มีเวลาพอที่จะโยนประทัดออกไป”

เซียวเหิงไม่ยอมจุด

กู้เจียวอ้อมมาอยู่ข้างหลังเขา กุมมือที่แข็งทื่อทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ “แบบนี้…”

กู้เจียวจับมือเขาจุดประทัด “เร็วเข้า โยนออกไป!”

เซียวเหิงขว้างออกไปสุดแรง โป้ง!

ประทัดระเบิด!

แววตาของเซียวเหิงเบิกกว้าง

ผู้ชายนั้นย่อมไม่อาจต้านทานของจำพวกประทัดได้อยู่แล้ว

กู้เจียวยื่นให้เขาอีกหนึ่งอัน

อีกหนึ่ง อีกอันหนึ่ง แล้วก็อีกอันหนึ่ง

ใครบางคนเล่นสนุกจนลืมทุกสิ่ง

จนกระทั่งเหลือประทัดอันสุดท้าย เซียวเหิงอารมณ์ดีจนลืมตัว จุดชนวนแล้วแต่ดันขว้างตะบันไฟออกไปแทน…

*******************