บทที่ 604 ตื่นตะลึง
ยามชายหนุ่มจะกลายเป็นเด็กขึ้นมาไม่เกี่ยงว่าจะอายุเท่าใด เขาจงใจโยนมันออกไปในวินาทีสุดท้ายก่อนมันจะไหม้หมด กู้เจียวคิดจะห้ามก็ไม่ทันกาลแล้ว พร้อมกับเสียงประทัดสุดท้ายของค่ำคืนนี้ เซียวเหิงถูกควันระเบิดจนกลายเป็นไก่ดำ
เซียวเหิงหัวติดระเบิด ปากพ่นควันดำปี๋ ราวกับโดนสายฟ้าผ่ามาอย่างไรอย่างนั้น
กู้เจียวปิดตา “…”
ณ เรือนเล็กของโรงหมอ ฮวาซีเหยาเดินวนไปมาอยู่ในห้อง กระวนกระวายจนม่อเชียนเสวี่ยตาลายไปหมด
“ฮวาซีเหยาเจ้าทำอะไรน่ะ!” ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยถามอย่างรำคาญ
ฮวาซีเหยาโบกพัดไปมา มองไปทางเรือนด้านนอกพลางเอ่ย “ข้ากำลังรอข่าวคราวของหมอกู้อยู่น่ะสิ ข้าออกความเห็นให้นางไปตั้งมากมาย ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นอย่างไรกันบ้างตอนนี้”
ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ !”
ฮวาซีเหยาหัวเราะ “จะยุ่งไม่เข้าเรื่องได้อย่างไร นายน้อยตายแล้ว หอเซียนเล่อก็ถูกยึดไปแล้ว ข้าลำบากไร้ที่พึ่ง ทางการยังรอให้ข้าไปเข้าคุก หมอกู้เป็นที่พึ่งเดียวของข้า ข้าต้องกอดเอาไว้แน่นๆ ”
ม่อเชียนเสวี่ยเหน็บแนม “เฮอะ เมื่อก่อนไม่รู้ว่าใครมันสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อนายน้อย ซ้ำยังด่าข้าว่าจิตใจโฉดชั่ว ตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง”
ฮวาซีเหยาไม่ได้โกรธ นางหัวเราะเอ่ย “ข้าไม่เหมือนเจ้าหรอกนะ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ข้าไม่เคยหักหลังนายน้อยเลย แต่นายน้อยไม่อยู่แล้ว จะให้ข้าไปร่วมกลบฝังด้วยก็คงไม่ได้หรอกกระมัง! คนยังมีลมหายใจอยู่ก็ต้องเดินหน้าต่อไปสิ!”
ม่อเชียนเสวี่ยแค่นเสียงเย็น “พูดยังน่าฟังกว่าร้องงิ้วอีกนะ”
ฮวาซีเหยากลอกตา “ข้าไม่ทะเลาะกับเจ้าแล้ว ข้าจะไปรอหมอกู้! แต่ว่า หมอกู้เตรียมเรื่องน่ายินดีมากมายเพียงนี้ไว้ให้ใต้เท้าเซียว คงกำลังเปรมปรีดิ์มีความสุขกับใต้เท้าเซียวใต้แสงจันทรา ต่อหน้าพฤกษานานาแล้วล่ะ”
ม่อเชียนเสวี่ยแทบอยากจะหาอะไรมาเย็บปากฮวาซีเหยาจริงๆ !
“นี่! กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว!” ฮวาซีเหยาเห็นเงาร่างคุ้นตาเร้นผ่านจากประตูหลังห้องโถงใหญ่ นางยกชายกระโปรงถือพัดกลมวิ่งเหยาะๆ ไปหา
ม่อเชียนเสวี่ยก็อดชะเง้อเคอมองไปด้านนอกไม่ได้เช่นกัน
ฮวาซีเหยาเข้ามาในโถงใหญ่ คว้าตัวเด็กจัดยาคนหนึ่งมาถาม “หมอกู้เล่า เมื่อครู่ข้ายังเห็นนางอยู่เลย”
เด็กจัดยาถูกฮวาซีเหยาคว้าแขนไว้ก็หน้าแดงเห่อ “หมอกู้อยู่ในห้องตรวจทางตะวันออกขอรับ”
ฮวาซีเหยาไม่สนใจเขา โบกพัดกลมเข้าไปในห้องตรวจที่กู้เจียวอยู่ทันที
“หมอ…”
นางดันประตูเปิด เพิ่งจะเรียกได้คำเดียวก็ชะงัก
ถะถะถะถะ…ถ่านดำๆ บนรถเข็นนี่ผู้ใดกันน่ะ
“สามี เจ้าอดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” กู้เจียวนั่งย่อตัวพันแผลให้เซียวเหิง บาดแผลเขาส่วนใหญ่อยู่ตรงแขนซ้ายและขาซ้าย
แขนซ้ายบาดเจ็บเพราะประทัด ตั้งแต่มือไปถึงไหล่โดนกู้เจียวพันจนกลายเป็นศพแล้ว
ส่วนขาซ้ายของเขาถูกเสาไม้กระแทกจนบาดเจ็บ กู้เจียวพยุงเขาให้มานั่งบนม้านั่งหิน ตอนนั้นเขาไม่ได้เดิน จึงไม่ได้สังเกตเห็นในทันที
หลังจากโดนระเบิด ขณะกำลังกลับขึ้นรถม้าถึงได้พบว่าขาตัวเองก็แพลงเช่นกัน
ทั้งยังมีบาดแผลถลอกอีกนิดหน่อย กู้เจียวทำแผลพันแผลไม่ให้ขยับเช่นกัน
อย่างกับขาศพเลย
ฮวาซีเหยาตัวสั่นระริก
หมอกู้ คนอื่นเวลาขอโทษต้องใช้ความจริงใจ นี่เจ้าขอโทษต้องการเอาชีวิตคนหรือนี่
กู้เจียวเข็นรถเข็นพาเซียวเหิงกลับไปยังตรอกปี้สุ่ย
กลางดึกสงัด ตรอกอันครึกครื้นเหลือเพียงเสียงฝีเท้าและเสียงล้อรถเข็นดังกึกกักเท่านั้น
คนในบ้านหลับกันหมดแล้ว พี่เขยนิสัยตัวแสบไม่อยู่ เสี่ยวจิ้งคงจึงกอดหมอนน้อยๆ ปีนขึ้นเตียงหวงฝู่เสียนแทน
เนื่องจากมีหวงฝู่เสียนเพิ่มขึ้นมา พวกเขาจึงซ่อมธรณีประตูใหม่ รถเข็นจึงเข้ามาได้ง่ายมาก
กู้เจียวเข็นเขามาถึงหน้าประตูห้องตะวันตก
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำ นางก็รู้สึกผิดไม่น้อย บอกเขาไว้ว่าจะง้อ เหตุใดจึงกลับตาลปัตรกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
นางครุ่นคิด ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบข้างหูเขา “อันที่จริง ข้ายังเตรียมเรื่องน่าตื่นตะ…”
คำว่า ‘ตะลึง’ ยังไม่ทันจะเอ่ย เซียวเหิงก็ใช้มือขวาเข็นรถเข็นเข้าห้องไปแล้ว เขาหันรถเข็นกลับมาปิดประตูห้อง ลงดานประตูเสร็จสรรพภายในรวดเดียว!
จากนั้นเขาก็หันกลับไป พิงรถเข็น มือกุมหน้าอก พรูลมหายใจโล่งอกยาวเหยียด “ฮู่!”
ตะลึงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ตะลึงกว่านี้ได้ตายแน่
กู้เจียวเกาหัวแกรกๆ
แล้วนี่ง้อสำเร็จหรือไม่สำเร็จกันเล่า
“เช่นนั้น…สามี ราตรีสวัสดิ์”
นางเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับประตูห้อง ก่อนจะหันหลังกลับไปที่ห้องตะวันออก
กู้เจียวผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ห้วงฝันของตระกูลกู้ กู้เจียวก็ไม่ได้ฝันมาครึ่งปีแล้ว ทว่าคืนนี้นางกลับฝันอีกครั้ง
นางนึกว่าตัวเองจะฝันเห็นคนข้างกายที่รู้จักใกล้ชิดกัน สุดท้ายกลับเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นางไม่รู้จักเลยสักคน
หรือพูดให้ถูกก็คือ นางเห็นรูปร่างลักษณะของคนเหล่านั้นไม่ชัดเจน
มันเป็นวันที่พายุฝนน่าหวาดกลัวเทกระหน่ำติดต่อกันหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ทำให้แผ่นดินถล่ม และเกิดดินโคลนไหล บังเอิญตีนเขามีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่ง ทั้งหมู่บ้านถูกถล่มมิด
อาจเพราะภัยธรรมชาตินี้ ไม่ได้เกิดจากมนุษย์ที่เร่งให้เร็วขึ้นหรือทำให้ล่าช้าลง มันจึงจะเกิดขึ้นในตอนค่ำของมะรืนนี้
หากเป็นตอนกลางวันอาจมีคนสังเกตเห็นได้ แต่กลางดึกคนหลับหมดแล้ว ในหมู่บ้านไม่มีใครสามารถหนีออกมาได้สักคน
เมื่อกู้เจียวตื่นขึ้นมาก็ไปที่ห้องตะวันตกของเซียวเหิงทันที
เซียวเหิงเพิ่งจะตื่น
เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่มักจะมีภาพน่าเขินอาย โดยเฉพาะชายหนุ่มที่เลือดลมพลุ่งพล่านได้ดี
โดยปกติแล้ว เซียวเหิงจะรอให้มันสงบลงอย่างใจเย็น แล้วค่อยเลิกผ้าห่มลงจากเตียง
ไหนเลยจะรู้ว่าจู่ๆ กู้เจียวจะเคาะประตู “สามี ตื่นหรือยัง ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
เซียวเหิงมองการโอ้อวดแสนยานุภาพของตัวเอง ใจพลันวิตกขึ้น “ชะ…ช้าก่อน!”
“สามี เรื่องค่อนข้างด่วน” กู้เจียวบอก “ข้าเข้าไปนะ”
เซียวเหิงทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่กำลังว้าวุ่นเขาคว้าหมอนมาปิดขาตัวเองไว้ แล้วมองไปที่กลอนประตูด้วยมาดจริงจัง
กะกะกะกลอนประตู!
ต้องไปเปิดประตูให้นางหรือนี่
เช่นนั้นมันก็…
เซียวเหิงมองกลอนประตู แล้วมองหมอนที่ปิดตรงนั้นไว้ ลุกขึ้นมามันได้โผล่แน่ หากไม่ลุกก็ไปเปิดประตูให้นางไม่ได้เช่นกัน…
แกร๊ก!
กลอนประตูตกลงมาโดยพลัน
กู้เจียวสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ!”
เซียวเหิงมุมปากกระตุก หันหน้ามาพึมพำเบาๆ “เกือบลืมไปแล้วว่านางมีฝีมือเช่นไร นึกไม่ถึงว่าข้ายังจะห่วงว่านางเปิดประตูไม่ได้อีก…”
กู้เจียวก้าวเข้ามาด้านใน ยืนอยู่ข้างเตียงมองเขา “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายหรือเจ็บตรงไหนมากๆ หรือไม่”
เซียวเหิงกดหมอนบนขาโดยไม่กระโตกกระตาก ก่อนวางมาดจริงจังเอ่ย “มะ…ไม่มี จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีเรื่องด่วนมากนี่”
กู้เจียวเอ่ยตามตรง “เมืองผิงเล่อจะเกิดพายุฝน เป็นไปได้มากที่จะเกิดภูเขาและดินโคลนถล่ม ถึงเวลานั้นหมู่บ้านละแวกใกล้ๆ จะเป็นอันตรายได้”
“เมืองผิงเล่ออยู่ไกลนับร้อยลี้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นั่นจะเกิดพายุฝน” เซียวเหิงรู้ว่านางรู้วิธีสังเกตปรากฏการณ์ท้องฟ้า แต่ก็ไม่มีทางสังเกตได้ไกลถึงเพียงนั้นหรอก
กู้เจียวครุ่นคิดพลางเอ่ย “ถ้าข้าบอกว่าข้าฝันเห็นเจ้าจะเชื่อหรือไม่”
เซียวเหิง “…”
กู้เจียวหยิบแผนที่แคว้นเจาออกมา ก่อนชี้ที่ที่เกิดภัยพิบัติขึ้น “ตรงนี้แหละ”
เซียวเหิงขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ข้าจะเข้าวังไปทูลฝ่าบาท ให้พระองค์รีบส่งคนไปแจ้งคนในหมู่บ้านให้อพยพหนี”
กู้เจียวเอ่ย “ฝนจะเริ่มตกยามอู่ ต้องรีบให้เสร็จสิ้นก่อนคืนวันพรุ่งนี้”
นั่นเป็นช่วงที่เกิดดินโคลนถล่ม
กู้เจียวเอ่ยอีก “ทางที่ดีใช้นกพิราบสื่อสารไปส่งข่าว”
ให้คนไปเอง ระหว่างทางจะเจอพายุฝนเอาได้
“ได้” เซียวเหิงขานรับ
แม้จะไม่รู้ว่านางสังเกตปรากฏการณ์เจอได้อย่างไร แต่เซียวเหิงเชื่อนาง
กู้เจียวเก็บแผนที่ให้เรียบร้อย กำลังจะออกจากห้อง ก่อนกลับจู่ๆ นางก็มองหมอนที่ปิดขาเซียวเหิงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างสบายๆ “ก็แค่กลไกของร่างกาย ไม่มีอะไรต้องปิดบังหรอก”
เซียวเหิงแววตาไหวระริก
กู้เจียว “อย่ากดจนมันหักล่ะ”
เซียวเหิง “…!!”
…
เมื่อถึงเวลามื้อเช้า ทั้งบ้านก็ทราบถึงอาการบาดเจ็บของเซียวเหิง
เซียวเหิงบอกว่าตัวเองเกิดอุบัติเหตุล้ม นึกไม่ถึงว่าที่บ้านไม่มีใครตกใจกันเลย
อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ซวยแค่วันสองวันแล้ว หมู่นี้พวกเขายังสงสัยกันอยู่เลยว่าเหตุใดเซียวเหิงไม่ได้ซวยมานานมากถึงเพียงนี้ได้ หรือดวงจะพลิกแล้ว
ทุกคนมองเขาแล้วพยักหน้าพร้อมกัน
แบบนี้สิถึงจะถูก ยังคงเป็นลิ่วหลังที่คุ้นเคย
มื้อเช้าผ่านไป เซียวเหิงก็นั่งรถม้าของหลิวเฉวียนเข้าวัง
ไปได้ครึ่งทางก็เจอกับอวี้จิ่นที่ออกมาจับจ่ายซื้อของ
อวี้จิ่นไม่รู้ว่าเซียวเหิงจะเข้าวังเพราะมีเรื่องด่วน นางจำหลิวเฉวียนได้จึงเรียกรถม้าของเซียวเหิงไว้
“ท่านโหวน้อย”
รถม้าสองคันจากคนละทิศทางบนถนน อวี้จิ่นเลิกม่านขึ้น เอ่ยกับเซียวเหิง “เช้าตรู่เพียงนี้จะไปทำงานแล้วหรือ แขนเจ้าเป็นอะไรไปหรือ ขาท่านด้วย”
ขากับแขนของเซียวเหิงพันผ้าพันแผลเอาไว้หนาเตอะ
เซียวเหิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่เป็นไรหรอก แค่ล้มไป ข้าจะเข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาทมีเรื่องจะกราบทูล”
อวี้จิ่นเอ่ยอย่างสงสาร “เจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้อย่าไปเลย ข้าไปทูลองค์หญิงให้”
องค์หญิงซิ่นหยางเป็นคนไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็เหมือนๆ กัน
เซียวเหิงเอ่ย “ไม่ทันกาลแล้ว เมืองผิงเล่อจะเกิดพายุฝน เป็นไปได้มากที่จะเกิดดินโคลนถล่ม ต้องรีบอพยพชาวบ้านตรงตีนเขาออกมา”
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว “เมืองผิงเล่อรึ นั่นมันอาณาเขตปกครองของเหลียงอ๋องมิใช่หรือ”
เซียวเหิงพยักหน้า “ถูกต้อง”
อวี้จิ่นสีหน้าพลันเปลี่ยน “แย่แล้ว!”
เซียวเหิงถามอด้วยความฉงน “ทำไมรึ”
อวี้จิ่นจับหน้าต่างรถแน่น “ท่านโหวไปเมืองผิงเล่อแล้ว!”
เซียวเหิงรู้ว่าเซวียนผิงโหวไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาไปไหน “เขาไปทำอะไรที่เมืองผิงเล่อหรือ”
“เขา…” อวี้จิ่นมองไปรอบๆ ก่อนกระซิบเสียงเบา “เขาไปลอบฆ่าเหล่าเหลียงอ๋อง!”
สีหน้าเซียวเหิงพลันเปลี่ยน สถานที่ที่เกิดดินโคลนถล่มตั้งอยู่บนเส้นทางที่ต้องผ่านไปจวนเหลียงอ๋อง!
*********************