บทที่ 605 ฝืนชะตาแก้ลิขิต

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 605 ฝืนชะตาแก้ลิขิต

“องค์หญิง! แย่แล้วเพคะ!”

ณ ถนนใหญ่จูเชวี่ย อวี้จิ่นลงจากรถม้ามา ถกชายกระโปรงวิ่งตรงไปยังห้องขององค์หญิงซิ่นหยาง

องค์หญิงซิ่นหยางกำลังนั่งฝึกคัดลายมืออยู่ริมหน้าต่าง ครานี้นางดึงสติกลับมาได้เร็วกว่าเมื่อก่อน เพิ่งจะวันเดียวก็สามารถสงบจิตสงบใจทำเรื่องของตัวเองได้แล้ว

นางฝึกคัดลายมือพลางถามขึ้นเสียงแผ่วเบา “เช้าตรู่ปานนี้มีเรื่องอะไรจึงได้วิตกเพียงนั้น ผิดวิสัยเจ้าทีเดียว”

จู่ๆ อวี้จิ่นก็ลังเล นางควรทูลบอกเรื่องนี้กับองค์หญิงดีหรือไม่

นางติดตามรับใช้องค์หญิงมานานหลายปี องค์หญิงต่างหากที่เป็นเจ้านายของนาง เซวียนผิงโหวเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เป็นพันธมิตรกันกับองค์หญิงเท่านั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านโหวก็โดนลอบสังหารเพราะองค์หญิงอยู่ดี เกิดท่านโหวเป็นอะไรขึ้นมา องค์หญิงก็คงมีความรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมาในพระทัยแน่

องค์หญิงซิ่นหยางตรัส “มันเรื่องอะไรกันแน่ คนที่บ้านเจ้ามาหาเจ้าอีกแล้วหรือ”

อวี้จิ่นเป็นคนโปรดรับใช้ข้างกายองค์หญิงซิ่นหยาง คนจากบ้านเดิมเชื่อถือไม่ค่อยได้เท่าใดนัก มักมาหาอวี้จิ่นเพื่อขอเงิน

อวี้จิ่นตัดสินใจเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องที่บ้านของอวี้จิ่นเพคะ เป็นท่านโหว! เกิดเรื่องกับท่านโหวแล้ว!”

มือที่ถือพู่กันขององค์หญิงซิ่นหยางพลันชะงัก นางเอ่ยถามเสียงเรียบ “เกิดอะไรขึ้นกับเขารึ”

อวี้จิ่นเอ่ยอย่างร้อนใจ “ท่านโหวไปเขตปกครองของเหลียงอ๋องมิใช่หรือ เมื่อครู่นี้ข้าเจอท่านโหวน้อยเข้า ท่านโหวน้อยบอกว่าเขตปกครองของเหลียงอ๋องจะเกิดภัยพิบัติ เกิดบนเส้นทางที่ท่านโหวต้องผ่านเพคะ”

เสียงฟืดดังขึ้น พู่กันขององค์หญิงซิ่นหยางลากหมึกเป็นทางยาวบนกระดาษ

บนถนนอันทอดยาว หลิวเฉวียนมองไปยังม่านหน้าต่างรถม้า เมื่อครู่เขาได้ยินที่อวี้จิ่นคุยกับเซียวเหิงหมดเลย

เซวียนผิงโหวเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอย แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะกำเริบเสิบสานถึงขั้นกล้าฆ่าลุงของฮ่องเต้พระองค์ก่อน นี่ทำให้หลิวเฉวียนคาดไม่ถึง

พูดตรงๆ ว่าเขาสนใจใคร่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุมาก แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเติมเต็มความอยากรู้ของตัวเอง

“ลิ่วหลังเอ๋ย พวกเราจะทำเช่นไรต่อไปดี”

แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นท่านโหวน้อยแล้ว แต่เขาก็ยังชินกับการเรียกอีกฝ่ายว่าลิ่วหลังอยู่ดี

ทำเช่นไรอย่างนั้นรึ

นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเซียวเหิง

เดิมทีจากนี่ไปเขตปกครองของเหลียงอ๋องก็ตั้งร้อยลี้ ซ้ำเซวียนผิงโหวก็ออกเดินทางตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คำนวณจากการเดินทางของเขา หากไม่รีบไปหยุดเขาไว้ เขาจะไปถึงตอนดินโคลนถล่มพอดี

ทุกเวลาทุกความล่าช้าล้วนอันตราย

โดยเฉพาะนกพิราบสื่อสารที่แจ้งข่าวไม่ถึงเขาด้วยซ้ำ นั่นมันใช้ช่วยเหลือชาวบ้านในหมู่บ้านต่างหาก

หอส่งสารแต่ละแห่งมีนกพิราบสื่อสารไปมาหากัน แม้จะมีอัตราความผิดพลาดอยู่บ้างก็ตาม อย่างเช่นนกพิราบสื่อสารถูกคนยิงตายหรือระหว่างทางโดนเหยี่ยวจับกิน แต่ยามนี้เหมือนจะเหลือแค่วิธีนี้วิธีเดียวที่ไวและสะดวกที่สุดแล้ว

นกพิราบเจอพายุฝนก็บินไม่สะดวกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงต้องรีบไปให้ถึงก่อนที่พายุฝนจะมา และต้องมีเวลาเพียงพอให้แจ้งศาลาว่าการ รวมถึงให้ศาลาว่าการนำทัพไปแจ้งต่อชาวบ้านในหมู่บ้านด้วย

ด้านหนึ่งเป็นเซวียนผิงโหว อีกด้านหนึ่งเป็นชาวบ้านในหมู่บ้าน

หลิวเฉวียนก็เข้าวังไม่ได้อีก

หากให้หลิวเฉวียนย้อนกลับไปหากู้เจียว แล้วให้กู้เจียวเข้าวังทูลเรื่องภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึงต่อฮ่องเต้ ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไปอย่างน้อยๆ ครึ่งชั่วยาม

ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่แน่ใจเลยว่ากู้เจียวจะอยู่บ้านหรือไม่ นางอาจจะไปโรงหมอ หรืออาจจะไปออกตรวจก็ได้

เขาตรงเข้าวังเป็นวิธีที่ช่วยเหลือชาวบ้านได้เร็วที่สุด แต่หากทำเช่นนี้ ก็จะเสียเวลาในการไปหาเซวียนผิงโหว

เขาต้องเลือกระหว่างบิดาแท้ๆ ของตัวเองและชาวบ้านที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง

“ลิ่วหลิง” หลิวเฉวียนเรียก

เซียวเหิงกำหมัดแน่นจนสั่นสะท้าน “เข้าวัง!”

ห่างจากเวลาฝนมาไม่ถึงสองชั่วยามแล้ว นกพิราบสื่อสารต้องเร่งรุดให้ไปถึงหอส่งสารเมืองผิงเล่อก่อนหน้านั้นให้ได้!

ณ ตำหนักฮว๋าชิง เซียวเหิงเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพายุฝนจะถล่มเมืองผิงเล่อ” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยความสงสัย

เซียวเหิงก็ไม่รู้ว่ากู้เจียวสามารถสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ท้องฟ้าได้ไกลนับร้อยลี้เพียงนั้นได้อย่างไร แต่เขาย่อมไม่มีทางเอ่ยออกมาเพื่อเพิ่มความสงสัยโดยไม่จำเป็นของฮ่องเต้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ก็ไม่ใช่เวลามาถามเจาะลึกเรื่องความสามารถของกู้เจียวด้วย ประเด็นสำคัญก็คือการช่วยเหลือชาวบ้านที่อาจจะโดนดินโคลนถล่มต่างหาก

เซียวเหิงเอ่ย “กระหม่อมเจอพ่อค้าที่มาจากเมืองผิงเล่อ เขาบอกว่าเมืองผิงเล่อสองวันมานี้อบอ้าวเป็นพิเศษ อากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตก เขาบอกอีกว่า ตอนผ่านถนนหลวงละแวกหมู่บ้านซีสุ่ย เกือบจะโดนก้อนหินจากไหล่เขาถล่มใส่ กระหม่อมอ่านตำราในสำนักฮั่นหลินเจอว่านี่เป็นสัญญาณของการคลายตัวของภูเขา หากเจอพายุฝนเข้าจริงๆ คงเกิดภูเขาถล่มขึ้นแน่ๆ ถึงเวลานั้น ชาวบ้านตรงตีนเขาคงแย่แน่พ่ะย่ะค่ะ!”

โชคดีที่เขาเรียนรู้หลักภูมิศาสตร์จากสำนักฮั่นหลินไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงจะแต่งคำอธิบายที่สมเหตุสมผลเช่นนี้ไม่ออกแน่

เห็นฮ่องเต้ไตร่ตรองหนัก เซียวเหิงจึงทูลด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาท ชีวิตคนในหมู่บ้านซีสุ่ยกว่าร้อยชีวิต โปรดทรงเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้ยามนี้จะยังไม่เกิดขึ้นจริงก็เถอะ”

สีพระพักตร์ฮ่องเต้เคร่งขรึมขึ้นมา “หากตรรกะของเจ้าเป็นจริง เช่นนั้นแคว้นเจาหนึ่งปีมานี้ทั้งมีภัยสงคราม ทั้งมีภัยธรรมชาติ สวรรค์กำลังเตือนอะไรอยู่หรือไม่”

เซียวเหิงรีบเอ่ย “ฝ่าบาท ยามนี้ช่วยคนสำคัญกว่านะพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ถอนหายใจ “รู้แล้ว เราจะส่งคนไปเมืองผิงเล่อ”

เซียวเหิงทูลด้วยสีหน้าจริงจัง “เกรงว่าใช้คนจะไม่ทันกาล ฝ่าบาทส่งนกพิราบสื่อสารไปด้วย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งด้วยดีกว่า!”

ฮ่องเต้เห็นด้วยกับความคิดของเซียวเหิง จึงเรียกเหอกงกงให้เขารีบไปจัดการ

เมื่อเซียวเหิงออกมาจากตำหนักฮว๋าชิงก็ขึ้นนั่งรถม้าตัวเอง แล้วถามหลิวเฉวียน “ท่านลุงหลิว ม้าที่ให้เปลี่ยนน่ะเปลี่ยนหรือยัง”

“เปลี่ยนน่ะเปลี่ยนแล้ว ล้วนเป็นม้าศึกที่เร็วที่สุดในกองทหารองครักษ์ เพียงแต่ว่า…” หลิวเฉวียนมองแขนขาของเซียวเหิงด้วยความเป็นห่วง “เจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ เร่งรุดเดินทางไม่สะดวกหรอก ข้าไปเองดีกว่า! หากเจ้ารู้สึกว่าข้าตามไม่ทัน ส่งขุนนางทหารกรมยุติธรรมไปก็ได้ หรือไม่ก็ไปหาไทเฮาหรือไม่ก็ฮองเฮา ให้พวกนางส่งพวกยอดฝีมือของวังหลวงไปแทน!”

เซียวเหิงส่ายหน้า “พวกเจ้าห้ามเขาไม่ได้หรอก”

เซวียนผิงโหวเป็นคนหัวรั้น หากเขาตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว ต่อให้ขุนเขาถล่ม มหาสมุทรพิโรธก็ขวางเขาไว้ไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไปบอกเขาว่าภูเขาจะถล่ม เขาจะเชื่อหรือ

เขาไม่มีทางเชื่อหรอก

และเขาก็ไม่กลัวด้วย

หากกลัวละก็คงไม่ใช่เซวียนผิงโหว หากกลัวคงออกรบไม่ได้มากมายเพียงนี้ และไปลอบสังหารท่านลุงของฮ่องเต้พระองค์ก่อนไม่ได้ด้วย

“ตะ…แต่ท่านโหวออกจากเมืองหลวงไปเมื่อวานนี้แล้วมิใช่หรือ พวกเราจะตามทันหรือ” หลิวเฉวียนไม่ได้หาข้ออ้างไม่ไป เขาหวังอยากจะไปเองด้วยซ้ำ แล้วให้เซียวเหิงอยู่แทน

เซียวเหิงใช้มือขวาถือแผนที่ มองเส้นทางบนนั้นพลางเอ่ย “ถนนหนทางบนเขาขรุขระ ต่อให้เป็นพาหนะของเขาอย่างมากก็เดินทางได้หกสิบลี้ วันนี้ยามอู่เขาจะเดินทางได้ครึ่งทาง เข้าสู่เขตเมืองผิงเล่อ แต่จากนั้นจะมีพายุฝนกระหน่ำลงมา ฝนฟ้าคะนองจะทำให้เขาเดินทางล่าช้า พวกเราออกเดินทางจากเมืองหลวงไม่มีทางเจอพายุฝน เร่งความเร็วอีกนิด คืนนี้ก็เข้าเมืองผิงเล่อได้แล้ว แบบนั้นข้าก็จะอยู่ไม่ไกลจากเขามาก”

หลิวเฉวียนร้องไอ้หยา “ไอ้ไกลน่ะไม่ไกลหรอก แต่พอเข้าเมืองผิงเล่อก็จะเจอพายุฝนแล้ว ต่อให้ห่างเขาไม่ไกลก็ไม่ได้หมายความว่าจะตามทันนี่นา พายุฝนในนั้นไม่ได้ทำให้การเดินทางของเขาล่าช้าคนเดียวเสียหน่อย!”

เซียวเหิงเก็บแผนที่ด้วยมือเดียวให้เรียบร้อย “ที่ท่านพูดมามีแต่หลักการทั้งนั้น”

แต่อย่างไรเสียเขาก็ต้องไปอยู่ดี

หลิวเฉวียนทั้งโมโหทั้งสงสาร “ได้ ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดจึงไม่มีใครห้ามเซวียนผิงโหวได้ และไม่มีใครห้ามเจ้าได้เลยเช่นกัน พวกเจ้าสองคนพ่อลูก…เหมือนกันไม่มีผิด!”

คนหนึ่งบาดเจ็บก็ยังจะไปฆ่าคนให้ได้ อีกคนบาดเจ็บก็ยังจะไปช่วยคนให้ได้

เซียวเหิงแววตามุ่งมั่น “ออกเดินทาง!”

เมื่อยามอู่ผ่านพ้นไปเมืองผิงเล่อก็เหมือนถูกกะละมังน้ำเทพรวดลงมา ฝนฟ้าโหมกระหน่ำไม่ขาดสาย ผู้คนบนถนนหลวงพากันทยอยหลบฝน

เพิงร้านน้ำชาเล็กๆ ที่เดิมทีไม่มีคนยามนี้ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัดทันตา

ในบรรดาผู้คนหลากหลาย มีเงาร่างสูงใหญ่กำยำดึงดูดสายตาเป็นพิเศษอยู่คนหนึ่ง

ประการแรกใบหน้าของเขาเรียกได้ว่าอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจา ไม่ว่าจะไปยืนที่ใดก็หล่อเหลาเอาการจนไม่นึกว่าจะมีอยู่บนโลกนี้จริงๆ ประการที่สอง เป็นกลิ่นอายสูงส่งเจือไอสังหารบนตัวเขา แม้แต่ม้าของเขาก็ยังแผ่กลิ่นอายดุดันกว่าม้าตัวอื่นๆ

เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้นในเพิงร้านน้ำชา เพื่อหลบฝน ทุกคนเบียดกันจนไหล่ชนไหล่ ส้นเท้าเหยียบส้นเท้า มีเพียงเขาคนเดียวที่แม้แต่ลูกค้าจะร่วมโต๊ะด้วยก็ไร้เงา

เมื่อก่อนตอนอยู่ในสนามรบเซวียนผิงโหวไม่ได้มีไอสังหารมากมายถึงเพียงนี้ เขารูปงาม เห็นใครก็ประดับยิ้มไว้สามส่วน เป็นประเภทเจ้าชู้ประตูดินและมีไมตรี

วันนี้เพราะเอาแต่อดกลั้นเพลิงโทสะในใจที่อยากจะฉีกกระชากเหล่าเหลียงอ๋องให้เป็นชิ้นๆ ไว้ทั้งวัน ทำเอากลายเป็นห้ามคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ไปในพริบตา

ในบรรดาลูกค้าที่หลบฝนอยู่นั้นมีโจรซุกซ่อนอยู่ด้วย

ทว่าโจรผู้ร้ายตกใจเป็นนกกระทาไปแล้ว

เซวียนผิงโหวไม่ได้มาเพื่อหลบฝน เขามาเพื่อป้อนอาหารม้า ม้ากินอิ่มแล้วเขาก็จะจากไป

เขายื่นมือล้วงถุงเงินออกจากอกเสื้อ หลังจากเปิดออกแสงทองก็วิบวับจับตา!

เถ้าแก่ร้านน้ำชาดวงตาเป็นประกายไปหมดแล้ว

สุดท้ายเซวียนผิงโหวคุ้ยเขี่ยในถุงเงินอยู่ค่อนวัน นึกไม่ถึงว่าจะล้วงเอาเหรียญกษาปณ์ออกมาวางบนโต๊ะเหรียญหนึ่ง

เถ้าแก้ร้านน้ำชาสงสัยว่าตัวเองตาฝาด ไม่ใช่เหรียญกษาปณ์ แต่เป็นแท่งเงินกระมัง

มองดูก็รู้ว่าเป็นคนร่ำคนรวย จะจ่ายเงินขี้เหนียวเพียงนี้เชียวรึ

เถ้าแก่ร้านน้ำชาเดินไปหา นับอย่างละเอียดถึงสามรอบ

นี่มันเป็นเหรียญกษาปณ์จริงๆ ด้วย!

“นายท่านผู้นี้!”

เถ้าแก่ร้านน้ำชาเรียกความกล้าเรียกเซวียนผิงโหวไว้

เซวียนผิงโหวจูงม้าหันหน้ามามองเขาอย่างแปลกใจ

เถ้าแก่ร้านน้ำชาใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปทางเงินบนโต๊ะ

น้อยไปนะ ดีร้ายอย่างไรก็ให้สักสองเหรียญเถิด!

เซวียนผิงโหวส่งเสียงอ้อ ส่งสายตาว่าข้าเข้าใจไปให้เถ้าแก่ร้านน้ำชา ก่อนสาวเท้าไปหา

เถ้าแก่ร้านน้ำชาแย้มยิ้มอย่างรู้ใจ

ครู่ต่อมา เขาก็เห็นเซวียนผิงโหวหยิบเหรียญกษาปณ์เหรียญเดียวนั้นขึ้นมาเก็บใส่อกตัวเอง

เถ้าแก่ร้านน้ำชา “…”

………………