บทที่ 707 บอกกล่าวคำพูดสุดท้าย

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

นัทธีก็มองไปทางเมรุ “จริงๆ แล้วก่อนที่นวิยาจะเสียชีวิต ได้เหลือคำพูดสุดท้ายไว้”

“อะไร?” พิชิตอึ้งไปเลย “คำพูดสุดท้าย?”

“ใช่ บอกกับนาย” นัทธีมองเขา

ดวงตาของพิชิตสั่นไหว อ้าปาก ผ่านไปนานมากจึงจะเอ่ยขึ้นว่า “ให้…ให้ฉัน?”

“อื้ม” นัทธีพยักหน้า

พิชิตเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ บนใบหน้าที่หน้าเด็กและน่ารัก มีความสับสนแฝงอยู่

นวิยา……กลับเหลือคำพูดสุดท้ายไว้ให้เขา!

เป็นไปได้ยังไง!

นวิยาไม่รักเขา ไม่มีความรู้สึกกับเขาเลยแม้แต่น้อย เห็นเขาเป็นเพียงเครื่องมือในการหลอกใช้มาโดยตลอด

ดังนั้นนวิยาในแบบนี้ จะเหลือคำพูดสุดท้ายไว้ให้เขาได้ยังไง เกรงว่าคงจะไม่นึกถึงเขาเลย

อย่างไรก็ตามนัยน์ตาที่จริงจังของนัทธีนั้น ชัดเจนเลยว่านี่คือความจริง นวิยาเหลือคำพูดสุดท้ายไว้ให้เขาจริงๆ

“นวิยา……พูดว่าอะไร?” พิชิตกำหมัด หมัดของเขาสั่นเล็กน้อย ถามอย่างเร่งรีบ

นัทธีมองดูเขา “นวิยาบอกว่า เธอรู้สึกผิดกับนายมาก อีกอย่างเธอรู้แล้วว่า คนที่เธอรักคือใคร”

“รู้สึกผิดฉัน คนที่รักคือใคร……” พิชิตเบิกตาโต “นี่……หมายความว่าอะไร?”

“เป็นความหมายที่นายคิดนั่นแหละ” นัทธีพูด

หัวใจของพิชิตกระตุกแรงขึ้นทันที อ้าปาก แต่พูดอะไรไม่ออก

ความหมายที่เขาคิด

สิ่งที่เขาคิดคือ ในขณะที่ที่นวิยารู้สึกผิดกับเขา ทำไมต้องบอกกับเขาด้วยว่าคนที่เธอรักคือใคร

ประโยคนี้ ชัดเจนเลยว่าจะบอกเขา คนที่เธอรักคือเขา!

ไม่เช่นนั้น เธอพูดขอโทษกับเขาตรงๆ ก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มประโยคที่ว่า ‘รู้ว่าคนที่รักคือใครแล้ว’

อย่างไรก็ตามนวิยาพูดแบบนี้แล้ว งั้นผลก็มีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือคนที่นวิยารัก คือเขา!

พอคิดถึงจุดนี้ ร่างกายของพิชิตสั่นเล็กน้อย ผ่านไปนานมากจึงจะพูดออกเสียง “นวิยาเธอ……รักฉัน”

“อื้ม นวิยาหวั่นไหวกับนายตั้งนานแล้ว แต่แค่ตัวเธอไม่รู้” นัทธีซุกมือเข้ากระเป๋าแล้วพูด

พิชิตมองลงข้างล่าง นัยน์ตามีความร่าเริงขึ้นทันที “ใช่เหรอ?”

นวิยารักเขา ทว่าตัวนวิยาไม่รู้

เขารักนวิยา ทว่าไม่ได้รับรู้ถึงว่านวิยาหวั่นไหวกับเขา น่าตลกจริงๆ

คนสองคนที่รักกันแท้ๆ สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างรักกัน ยังมีอะไรที่น่าเยาะเย้ยมากกว่านี้อีก

ถ้าหากเขารับรู้ได้เร็วกว่านี้ เขาอาจจะชักชวนให้นวิยาทิ้งความชั่วและปฏิบัติแต่ความดี

อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรที่มีถ้าหาก

ถ้าหากถึงแม้เขาจะรู้จตั้งแต่แรก จุดจบของนวิยาก็คงไม่ดีไปถึงไหน เพราะว่าตอนที่นวิยาอายุสิบขวบ ก็ได้ฆ่าพ่อแม่ของนัทธีไปแล้ว

สิบขวบ พวกเขาต่างก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร ในเวลานั้น เขาก็ไม่ได้ตกหลุมรักนวิยา นวิยายิ่งไม่มีทางชอบเขา ดังนั้นถึงแม้ว่าสุดท้ายเขากับนวิยาจะชอบกัน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตอนจบในวันนี้ได้

ตอนนี้ เขาสามารถรู้ว่านวิยารักเขา จึงโอบกอดเรื่องนี้ ชีวิตหลังจากนี้คงตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างสุดขีด

มองดูสีหน้าของพิชิตที่ร้องไห้อย่างไร้น้ำตา นัทธีหรี่ตาลงเล็กน้อยพูดขึ้นว่า “ฉันคิดว่าหลังจากที่นายรู้ว่านวิยารักนาย อารมณ์ของนายจะตื้นตันซะอีก”

เขาถึงขั้นเคยคิดว่า พิชิตรู้จุดนี้ อาจจะมีความคิดที่จะไปตายกับนวิยาขึ้นมาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากความคิดของเขา สถานการณ์ของเขาเงียบสงบมาก นอกจากน้ำตาไหลอย่างเงียบสงบแล้ว แม้กระทั่งการโห่ร้องก็ไม่มี

พิชิตได้ยินคำพูดของนัทธีแล้ว สูดหายใจลึก พูดด้วยเสียงเบาว่า “ฉันบอกแล้ว ฉันปล่อยวางแล้ว ด้านอารมณ์ แน่นอนว่าไม่ได้มีการถูกกระตุ้นที่ใหญ่โตอะไร แต่ในตอนที่ได้รู้ว่าคนที่นวิยารักคือฉัน ในใจของฉันรู้สึกแย่มากจริงๆ แต่ฉันรู้ ไม่ว่านวิยาจะรักหรือไม่รักฉัน ผลต่างก็เหมือนกัน จึงสงบจิตลง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ว่าฉันรู้ในจุดนี้แล้ว นวิยาจะสามารถมีชีวิตกลับมาได้ ตามนี้ละกัน ฉันกับนวิยาก็แค่มีบุพเพแต่ไร้วาสนา ชาตินี้ก็จบกันแบบนี้เถอะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”

พูดจบ พิชิตก็ยังคงมองเมรุที่กำลังเผาไหม้ บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนๆ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขารักนวิยามาก ทำเพื่อนวิยามาโดยตลอด

ตอนนี้รู้แล้ว นวิยาก็รักเขาเช่นกัน สำหรับเขามันเพียงพอแล้ว

หลังจากนี้ เขาไม่มีทางตกหลุมรักคนอื่น และไม่แต่งานอีก โอบกอดความรักที่นวิยามีต่อเขาแบบนี้ มีชีวิตอยู่คนเดียวต่อไป

นัทธีเหมือนจะเข้าใจความคิดของพิชิตแล้ว เม้มที่ริมฝีปากบาง อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด นั่งอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ แบบนี้ มองดูนวิยาค่อยๆ หลอมกลายเป็นเถ้าข้างๆ เขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในตอนที่ทั้งสองออกมาจากฌาปนสถาน ท้องฟ้ามืดลงแล้ว และในมือของพิชิตตอนนี้ก็มีกล่องเพิ่มขั้น

นั่นคือขี้เถ้ากระดูกของนวิยา

คนคนหนึ่งที่เมื่อก่อนส่วนสูงร้อยหกสิบ น้ำหนักแปดสิบกรัม วันนี้กลายเป็นฝุ่นเถ้าที่อยู่ในกล่องเล็กๆ ช่างน่าเศร้าน่าถอนใจจริงๆ

นัทธีและพิชิตมาถึงสถานที่จอดรถ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

นัทธีหยิบโทรศัพท์ออกมาดู วารุณีเป็นคนโทรมา หลังจากที่นัยน์ตาอ่อนโยนลง ก็รับสาย

เสียงที่เป็นห่วงของวารุณีดังผ่านขึ้น “ที่รัก ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมนายยังไม่กลับมา ที่บริษัทยังมีงานไม่เสร็จเหรอ?”

ต้องรู้ว่าปกติแล้วนัทธีตชจะเลิกงานตามเวลาแล้วไปรับเธอ ไม่ก็กลับคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์เลย

ถึงแม้ว่าปกติจะมีธุระ ไม่สามารถกลับบ้านตรงเวลา ก็จะส่งข้อความบอกกับเธอก่อน

อย่างไรก็ตามตอนนี้ดึกขนาดนี้แล้ว เขาไม่ได้ส่งข้อความให้เธอ และไม่ได้กลับไป จึงทำให้เธอเป็นห่วง

นัทธีได้ยินคำพูดของวารุณีแล้ว จึงจะนึกขึ้นว่าตนเองลืมส่งข้อความให้เธอ เอ่ยปากตอบกลับว่า “ขอโทษนะ ฉันลืมไป ฉันอยู่ที่ฌาปนสถานเป็นเพื่อนพิชิต ดังนั้นไม่ทันสังเกตว่าฟ้ามือแล้ว”

“ฌาปนสถานเป็นเพื่อนคุณหมอพิชิต?” วารุณีตกใจในคำพูดของเขามาก ลุกขึ้นมาจากโซฟาในห้องรับแขกทันที “อย่าบอกนะว่าคุณหมอพิชิตตายแล้ว?”

ก่อนหน้านี้พิชิตเอาแต่ดื้อรั้นว่าจะไปอยู่กับนวิยา ดังนั้นตอนนี้พิชิตตายแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เสียงของวารุณีไม่เบา แน่นอนว่าพิชิตที่ยืนอยู่ข้างๆ นัทธีได้ยินอย่างชัดเจน อดเบ้ปากที่มุมปากไม่ได้

“นัทธี พวกนายสองสามีภรรยารู้สึกว่าฉันต้องตายจริงๆ เหรอ” พิชิตพูดอย่างจนปัญญา

นัทธีหัวเราะไปที “เรื่องก่อนหน้านี้ที่นายทำ ก็ให้ความรู้สึกผิดๆ แบบนี้กับคนอื่นไม่ใช่เหรอ??”

“เออ……” พิชิตเบ้ปากที่มุมปากอีกครั้ง สุดท้ายก้มหน้าลง ยิ้มอย่างเขินอาย ไม่ได้พูดอะไร แค่ลูบกล่องขี้เถ้ากระดูกในเมืองอย่างเงียบสงบ

นัทธีไม่ได้มองเขาอีก ให้ความสนใจกับบนโทรศัพท์ “พิชิตไม่ตาย เขาไม่เป็นอะไร”

“ไม่ตาย?” วารุณีอึ้งไปเลย จากนั้นก็ถามต่อว่า “งั้นพวกนายไปฌาปนสถานทำไมล่ะ?”

“วันนี้เป็นวันเผาศพของนวิยา” นัทธีตอบกลับ

วารุณีเข้าใจโจ่งแจ้ง “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ก็ถูก ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ควรจะเผาแล้ว ตอนนี้เผาแล้วใช่ไหม?”

“อื้ม” นัทธีเหลือบไปมองกล่องขี้เถ้ากระดูในมือของพิชิตแล้วตอบกลับ

วารุณีพยักหน้า “แล้วนายจะกลับมาเมื่อไหร่?”

เขาไม่ได้ถามเรื่องการฝังศพของนวิยาต่อ

สำหรับเธอแล้ว นั่นไม่ได้สำคัญเท่านัทธีกลับบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้น เธอต้องการรับรู้ว่าการฝังศพของนวิยาฝังเมื่อไหร่ และฝังขึ้นที่ไหน ไม่ว่ายังไงแล้วก็คือศัตรู ใครจะไปอยากรู้เรื่องหลังเสียชีวิตของศัตรู เพิ่มความอึดอัดให้ตนเอง?

“กลับมาตอนนี้” นัทธีมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูด

วารุณียิ้ม “โอเค รีบหน่อยนะ ฉันกับลูกรอนายทานข้าวที่บ้าน”

“โอเค” นัทธีพยักหน้าด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน

วางสายลง นัทธีเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าสูทเหมือนเดิม หันไปมองพิชิต “นายตัดสินใจจะไปฝังเธอเมื่อไหร่?