คำบอกเล่าของเว่ยซื่อทำให้เสียนเฟยแทบลุกพรวด สีหน้าของนางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “ท่านพี่สะใภ้หมายความว่าอย่างไร”
เว่ยซื่อเฝ้าพินิจปฏิกิริยาของเสียนเฟยพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เหนียงเหนียงมิทรงทราบสักนิดเลยหรือ”
จากที่เห็น สถานะของเสียนเฟยในวังหลวงคงมิใคร่จะดีนัก
ฉีอ๋องถูกจู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่า ขนาดนางที่เป็นเพียงสตรีซึ่งอาศัยอยู่ในส่วนลึกของจวนยังทราบเรื่องนี้ แต่เสียนเฟยกลับไม่ทราบอะไรเลย
ในวินาทีนั้นเว่ยซื่อรู้สึกว่าการที่นางเข้าวังมาน้อมทักเสียนเฟยในวันนี้เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ภายภาคหน้านางควรจะมาเหยียบที่นี่ให้น้อยลง
นางคือกั๋วกงฮูหยิน หากปรารถนาจะมีอนาคตที่มั่งคั่ง นางควรเป็นที่นับหน้าถือตาของคนภายนอก ควรหรือที่จะเข้ามาน้อมทักสตรีที่ไร้ความสำคัญในวังหลวงเช่นนี้
“ท่านพี่สะใภ้ เหตุใดข้างนอกถึงได้มีข่าวเล่าอ้างเช่นนี้”
เว่ยซื่อกล่าวด้วยความลำบากใจ “หม่อมฉันก็คิดว่าเหนียงเหนียงทรงทราบเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพราะความปากมากของหม่อมฉัน ที่เหนียงเหนียงต้องกังวลพระทัยเป็นความผิดของหม่อมฉันเอง…”
“ท่านพี่สะใภ้ ถึงตอนนี้แล้วพี่ไม่จำเป็นต้องพูดจาเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังข้างั้นหรือ” ท่าทีของเว่ยซื่อทำให้เสียนเฟยรู้สึกหนักใจ
เว่ยซื่อถอดถอนหายใจ “เรื่องก็คือจู่ๆ หลี่ซื่อหลาง ซึ่งเป็นพี่ชายของพระชายาฉีอ๋องถูกจำจองอยู่ในคุกโทษฐานสินบนให้คนเข้าทำงานโดยมิชอบ ส่วนเฉินเส้าชิงจากหงหลูซื่อก็รับโทษด้วยเช่นกัน ทั้งคู่เป็นคนสนิทของฉีอ๋อง…ดังนั้นจึงมีคนพูดว่าฉีอ๋องสิ้นอำนาจแล้ว…”
เสียนเฟยได้ยินดังนั้น โลหิตในร่างกายก็พลุ่งพล่าน สีหน้าของนางในตอนนี้ขาวซีดยิ่งกว่าสีของกระดาษ
“เหนียงเหนียง ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”
“ข้าไม่เป็นไร ท่านพี่สะใภ้ จังเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
“สองวันมานี้ท่านอ๋องเก็บตัวอยู่แต่ในจวน ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด”
“เก็บตัวอยู่แต่ในจวนงั้นรึ”
เว่ยซื่อพยักหน้า “เพคะ ว่ากันว่าเมื่อวันที่หนึ่ง ฉีอ๋องออกมาจากวังหลวงด้วยพระพักตร์เศร้าสร้อย และตั้งแต่นั้นมาท่านอ๋องก็มิได้ออกจากจวนเลยเพคะ หลังจากที่เกิดเรื่องกับเฉินเส้าชิงและหลี่ซื่อหลาง มีคนไปขอเข้าพบฉีอ๋อง แต่กลับถูกคนเฝ้าประตูปฏิเสธเพคะ…”
โดยปกติแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดเผยว่าองค์ชายถูกเรียกเข้ามาที่วังเมื่อใดหรือกลับออกไปตอนช่วงเวลาใด แต่เพราะจู่ๆ ฉีอ๋องก็ถูกปฏิเสธจากฮ่องเต้ ฉะนั้นคนที่คอยจับตาดูอยู่ถึงได้จำรายละเอียดได้แม่นว่าเมื่อวันที่หนึ่งของเดือนที่สี่มีความผิดปกติอย่างไร
ฉีอ๋องตกที่นั่งลำบาก และก่อนที่จะเกิดเรื่องเขาก็ออกมาจากวังหลวงด้วยสีหน้าย่ำแย่ ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่าฉีอ๋องคงทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยด้วยเหตุผลบางประการ
สมองของเสียนเฟยตื้อไปชั่วขณะ
วันที่หนึ่งเดือนสี่…หรือว่าแผนของเจ้าสี่ถูกเปิดโปงอย่างนั้นหรือ
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!
เมื่อเห็นว่าสีหน้าเสียนเฟยย่ำแย่เข้าขั้นคล้ายกับคนที่กำลังจะสิ้นลมอยู่รอมร่อ เว่ยเฟยจึงถามลองเชิง “เหนียงเหนียง หรือว่าท่านอ๋องทำสิ่งใดให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรือเพคะ”
เสียนเฟยพลันได้สติ ฝืนยิ้มจืดเจื่อน “ท่านพี่สะใภ้น่าจะรู้จักจังเอ๋อร์ดีว่าเขาเป็นคนรอบคอบและประพฤติตัวดีมาตลอด แล้วเขาจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยได้อย่างไร ข้าเพียงแต่ตกใจเกินไปหน่อย ไว้คงต้องลองสืบเรื่องของจังเอ๋อร์เพิ่มเติม”
เว่ยซื่อฟังดังนั้นก็หัวเราะแต่เพียงในใจ
รอบคอบและประพฤติตัวดีเลยไม่มีเรื่องใดให้ฝ่าบาทต้องไม่พอพระทัยงั้นซิ
เดิมทีนางเคยคิดว่าฉีอ๋องมีโอกาสมากที่สุด แต่จากที่เห็นตอนนี้ หากฉีอ๋องไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ก็อย่าได้ลากจวนอันกั๋วกงให้จมดินไปด้วยเลย
เมื่อคิดตกเช่นนี้แล้ว เว่ยซื่อนึกเสียใจที่มิได้ทำตามคำเตือนของอันกั๋วกง
นางไม่ควรพูดมากตั้งแต่แรก
เว่ยซื่อไม่มีกะจิตกะใจจะอยู่ต่อ “นี่ก็สายมากแล้ว หม่อมฉันไม่รบกวนเหนียงเหนียงแล้วดีกว่าเพคะ เรื่องที่หม่อมฉันพูด พระองค์แค่รับรู้ไว้ แต่อย่าได้ทรงคิดมากไปเลยเพคะ”
เสียนเฟยฝืนยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ท่านพี่สะใภ้วางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร การที่ขุนนางเอาใจออกหากเป็นเรื่องปกติธรรม คนพวกนั้นก็ได้ทีขี่แพะไล่นั่นแหละ”
ประโยคนี้ตั้งใจพูดเอาใจเว่ยซื่อ
เมื่อเว่ยซื่อกลับไปแล้ว เสียนเฟยยังคงนั่งนิ่งเนิ่นนานก่อนที่จะสั่งให้คนไปเชิญฉีอ๋องมาเข้าเฝ้า
จังเอ๋อร์เก็บตัวไม่ออกไปไหนเป็นเพราะสำนึกผิดเองหรือว่าเป็นคำสั่งของฝ่าบาท
เรื่องนี้เสียนเฟยจำต้องถามเจ้าตัวให้แน่ใจ
รออยู่เพียงไม่นาน คนที่ถูกส่งออกไปก็กลับเข้ามารายงาน “เหนียงเหนียง บ่าวออกไปถึงแค่หน้าประตูวังแต่กลับถูกขวางทางไม่ให้ออกไปเพคะ”
“เพราะอะไร” เสียนเฟยได้ยินเพียงเท่านั้นก็ทราบได้ในทันทีว่าสถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่เข้าขั้น นางกำมือแน่นจนเล็บมือที่ได้รับการดูแลอย่างดีเกือบหัก
คนที่ถูกส่งไปกล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เป็นพระราชโองการว่า หากไม่มีคำสั่งของฝ่าบาท ฉีอ๋องไม่สามารถเข้าวังได้เพคะ…”
มีเสียงเป๊าะเบาๆ เล็บเรียวยาวหักเนื่องจากปลายเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือเนียนนุ่มของเสียนเฟย
แต่เสียนเฟยกลับไม่รับรู้ถึงความเจ็บนั้น ความรู้สึกในใจว้าวุ่นเกินจะกล่าว นางรำพึงรำพัน “หากไม่มีคำสั่งก็เข้าวังไม่ได้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…”
ขันทีก้มศีรษะต่ำไม่กล้าส่งเสียง
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเสียนเฟยจะสงบสติลงได้ นางกัดฟันเอ่ยว่า “ไปเชิญฝ่าบาทมา”
ขันทีรับคำสั่งและตรงไปทูลเชิญจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ตำหนักหย่างซิน
จิ่งหมิงฮ่องเต้เพิ่งกลับมาจากตำหนักของไทเฮา ขณะนี้กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนตั่งนุ่ม
เรื่องร้ายประดังประเดทำให้อารมณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ขุ่นมัวยิ่งนัก เขาไม่มีใจจะจัดการงานบ้านเมือง ปรารถนาแต่จะนั่งพักเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
“ฝ่าบาท พระตำหนักอวี้เฉวียนส่งคนมาเชิญให้พระองค์เสด็จไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่เดินมายืนข้างๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลืมตาและเห็นว่าจี๋เสียงกำลังเล่นกับลูกไหมพรมอยู่ไม่ไกล
ลูกไหมพรมหลากสีร้อยเรียงเป็นเส้นยาวน่าเอ็นดู เป็นของเล่นที่นางในตั้งใจทำให้จี๋เสียง
เมื่อเห็นเจ้าแมวตัวสีขาวกำลังเขี่ยลูกไหมพรมไปมาอย่างสนุกสนาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้แต่ถอนหายใจ
บางทีเขากลับรู้สึกว่าชีวิตของจักรพรรดิยังสบายมิสู้จี๋เสียง
“มีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
พานไห่หยุดนิ่งก่อนจะตอบ “เมื่อครู่ตำหนักอวี้เฉวียนส่งคนไปเชิญฉีอ๋อง แต่ถูกขวางไว้พ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าใจในทันที เขาลุกขึ้นพลางบอก “ไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน”
ความเคลื่อนไหวนี้ดึงดูดความเกียจคร้านของจี๋เสียงได้เพียงชั่วแล่นก่อนที่เจ้าแมวขาวจะหันกลับไปเล่นต่อ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจยาว
เขาบอกผิดไป มิใช่บางทีหรอก แต่เขาไม่เคยสบายเท่าจี๋เสียงเลยต่างหาก
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งเก้าอี้คานหามไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน คนที่รอต้อนรับเป็นสตรีภายใต้ใบหน้าซีดเซียว ไร้กำลัง
เมื่อคิดถึงความงดงามของเสียนเฟยในอดีตตัดสลับกับใบหน้าสตรีที่ป่วยกระปอดกระแปดตรงหน้า จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้แต่ถอนหายใจพลางกล่าวเสียงเรียบ “เข้าไปคุยข้างในเถอะ”
ทั้งสองนั่งลงในห้อง บ่าวรับใช้คนอื่นๆ ถูกสั่งให้ออกจากห้องเหลือเพียงบ่าวรับใช้คนสนิทเท่านั้น
“อ้ายเฟยเรียกให้ข้ามาหามีธุระอันใดงั้นรึ”
เสียนเฟยเม้มปากก่อนจะเอ่ย “หม่อมฉันสุขภาพย่ำแย่ จึงอยากพบหน้าจังเอ๋อร์ เมื่อครู่จึงส่งคนไปตามเขาเข้ามา แต่กลับถูกห้ามเอาไว้…ฝ่าบาท จังเอ๋อร์ทำสิ่งใดให้พระองค์ไม่พอพระทัยหรือเพคะ”
“ใช่” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตอบสั้นกำชับ
เสียนเฟยชะงักนิ่งไปชั่วครู่
ฝ่าบาทตรัสออกมาอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ คงเป็นเพราะทรงทราบแผนการของจังเอ๋อร์แล้วใช่หรือไม่
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยายามปลอบประโลมความทุกข์ใจของเสียนเฟยที่ต้องคาดเดาไปเอง จึงกล่าวออกมาตามตรง “เจ้าสี่กล้าทำกับไทเฮา กล้าทำกับน้องชาย หนำซ้ำยังลากข้าเข้าไปในวังวนนั้นด้วย ความอกตัญญูของเขาทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”
“ฝ่าบาท…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นใบหน้าซีดเซียวของเสียนเฟยแล้วต้องใจอ่อนจึงกล่าวเพียงว่า “อ้ายเฟยคิดถึงบุตรข้าก็เข้าใจ เพียงแต่เจ้าสี่ยังไม่ยอมสำนึกผิด ข้าไม่อาจวางใจปล่อยให้คนเจ้าเล่ห์อย่างเขาเข้ามาที่วัง…”
ทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปากของจิ่งหมิงฮ่องเต้หนักหน่วงประหนึ่งค้อนใหญ่ที่ทุบลงตรงหัวใจของเสียนเฟย
เสียนเฟยตัวสั่นสะท้าน นางสำลักออกมาเป็นเลือด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ถูกเลือดกระเซ็นเข้าหน้านิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
พานไห่พลันได้สติเป็นคนแรก เขารีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา