พานไห่สาละวนกับการเช็ดรอยเปื้อนให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยความรู้สึกเห็นใจเกินจะกล่าว
การจะเป็นฮ่องเต้นี่ช่างเย็นลำบากเหลือเกิน…
ฝ่ายเสียนเฟยที่รับความจริงเรื่องแผนการของบุตรชายถูกเปิดเผยยังไม่ได้ หนำซ้ำยังต้องมากลัวผลลัพธ์ของเหตุการณ์เมื่อครู่ ทำให้นางเป็นลมล้มพับไปแล้ว
พานไห่บุ้ยปาก
ดีแล้วที่เป็นลมไป เป็นล้มไปจะได้ไม่ต้องมานั่งรับรู้อะไรทั้งนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่บัดนี้ใบหน้าสะอาดจนหมดจดแล้วชำเลืองมองไปที่นางในที่ช่วยกันพยุงเสียนเฟยพลางเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ไปตามหมอหลวงมาดูอาการเสียนเฟยด้วย”
แม้เขาจะไม่ได้โกรธที่เสียนเฟยเสียมารยาท แต่ก็ไม่คิดจะอยู่ที่ตำหนักอวี้เฉวียนต่อ เขาปรารถนาจะกลับไปชำระล้างร่างกายที่ตำหนักหย่างซินโดยเร็วที่สุด
ส่วนตำหนักอวี้เฉวียน เขาไม่อยากไปเหยียบที่นั่นอีกแล้ว
“ฝ่าบาท พระกระยาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองไปที่พานไห่พลางเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่อยากกิน”
ถูกไอเป็นเลือดใส่หน้าเช่นนั้น ใครจะไปกินลง!
พานไห่เข้าใจดีจึงไม่ได้รบเร้า
จิ่งหมิงฮ่องเต้เฝ้าดูจี๋เสียงเขมือบปลาแห้งทั้งที่ท้องหิว ทำให้อารมณ์ในขณะนี้ย่ำแย่ลงไปอีก
……
ณ ตำหนักอวี้เฉวียน เสียนเฟยฟื้นแล้ว คำถามแรกที่นางถามคือ “แล้วฝ่าบาทล่ะ”
ความเงียบปกคลุมเพียงชั่วอึดใจก่อนที่แม่นมคนสนิทจะเอ่ยตอบ “ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักไปแล้วเพคะ ส่วนหมอหลวงกำลังต้มโอสถให้พระองค์อยู่เพคะ”
เสียนเฟยขบริมฝีปากสัมผัสรสคาวระหว่างซอกฟัน กลิ่นนั้นทำให้ท้องของนางปั่นป่วน นางหันไปด้านข้างและเค้นสิ่งที่อยู่ในคอออกมา
เมื่อนางในในตำหนักอวี้เฉวียนเห็นของเหลวสีแดงปนออกมากับเสมหะ ใบหน้าของพวกนางก็พลันขาวซีด
เหนียงเหนียงอาการหนักทีเดียวเชียว…
แม่นมคนสนิทคุกเข่าลงร่ำไห้ “เหนียงเหนียง ให้บ่าวไปทูลเชิญฝ่าบาทกลับมาเถิดเพคะ”
เสียนเฟยใช้ผ้าซับริมฝีปากพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงโรยริน “ฝ่าบาทเสด็จกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
ไม่มีใครยอมตอบ
“พูดมา!”
แม่นมคนสนิทเอ่ยแอ่วเบา “หลังจากที่เหนียงเหนียงหมดสติไป ฝ่าบาทก็สั่งให้ไปตามหมอหลวงแล้วจึงเสด็จกลับเพคะ”
“ก็หมายความว่า หมอหลวงยังไม่ทันมาถึง ฝ่าบาทก็เสด็จกลับแล้วอย่างนั้นรึ” เสียนเฟยเอ่ยถามหน้าซีด
แม่นมคนสนิทพยักหน้าด้วยความหนักใจพร้อมน้ำตานองหน้า
เสียนเฟยหลับตาพลางเค้นเสียงหัวเราะ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปเชิญฝ่าบาทมาแล้ว”
ขนาดรอให้หมอหลวงมาดูอาการนางก่อน ฝ่าบาทยังทนรอไม่ได้ การจะไปเชิญให้เสด็จมาอีกจะมีประโยชน์อันใด
ในวินาทีนั้นเสียนเฟยตระหนักได้แล้วว่าบัดนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้ชิงชังฉีอ๋องโดยสมบูรณ์ ซึ่งรวมไปถึงนางด้วย
การตระหนักรู้นี้ทำให้นางรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง พลังในร่างของนางหดหายจนนางรู้สึกเหมือนตัวเองแก่ลงไปหลายปีในชั่วพริบตา
ข่าวที่เสียนเฟยไออกมาเป็นเลือดและหมดสติไปถูกลือไปไกลถึงนอกวังในเวลาอันรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานฮองเฮาก็ส่งคนมาเยี่ยม
“เหนียงเหนียง พระตำหนักคุนหนิงส่งคนมาดูพระอาการพระองค์เพคะ”
ใจจริงเสียนเฟยอยากจะปฏิเสธ เพราะหากไม่พบก็ไม่มีเรื่องให้ทุกข์ใจ แต่ต่อให้จะอยากปฏิเสธเพียงใด นางก็เป็นห่วงบุตรชายของนางมากกว่า
ตราบใดที่จังเอ๋อร์ยังไม่เข้าตาจนอย่างถึงที่สุด นางก็จะอดทน
“เชิญเข้ามา”
ไม่นานเกินรอนางในคนหนึ่งก็เดินเข้ามา นางคืออาผิง นางกำนัลข้างกายของฮองเฮา
“บ่าวรับพระบัญชาของฮองเฮาให้มาเยี่ยมไข้เหนียงเหนียงเพคะ เหนียงเหนียงทรงดีขึ้นหรือยังเพคะ” อาผิงกวาดตาพินิจพิเคราะห์อาการของเสียนเฟยพลางเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
เสียนเฟยคลี่ยิ้ม “ข้าไม่เป็นอะไรมาก ฝากเจ้ากลับไปขอบพระทัยฮองเฮาแทนข้าด้วย”
“เหนียงเหนียงทรงไม่เป็นอะไรมาก ฮองเฮาก็วางพระทัยเพคะ เชิญเหนียงเหนียงพักผ่อนอีกหน่อยเถิด บ่าวไม่รบกวนแล้วเพคะ”
อาผิงกลับมาที่ตำหนักคุนหนิงและรายงานสิ่งที่เห็นกับฮองเฮา “จากที่บ่าวเห็น สีพระพักตร์ของเสียนเฟยย่ำแย่ถึงขั้นไม่มีรอยเลือดฝาดบนหน้าสักนิดเลยเพคะ…”
ฮองเฮาฟังแล้วก็นิ่งเงียบเนิ่นนานกว่าจะเอ่ยสั่ง “ไปบอกหัวหน้าเถาทีว่าดูแลความเป็นอยู่ที่ตำหนักอวี้เฉวียนว่าให้ดูอย่าให้ขาดตกบกพร่อง และกำชับคนของตำหนักคุนหนิงด้วยว่า หากปราศจากคำสั่งของข้า ห้ามผู้ใดไปเหยียบที่นั่น เพื่อป้องกันเรื่องยุ่งยากที่จะตามมา”
“เพคะ”
ภายในห้องเงียบสงัด ฮองเฮาชำเลืองมองนาฬิกาทรายที่มุมห้องแล้วยิ้มจาง
เสียนเฟยไอเป็นเลือดครั้งสองครั้งที่ไหนกัน ดูแล้ว นางคงมีชีวิตอยู่อีกได้ไม่นาน
ฮองเฮาถอดถอนหายใจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เสียนเฟยเป็นคนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าละเลย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวของนางจะจบลงง่ายดายเพียงนี้
ตั้งแต่รับเยี่ยนอ๋องมาเป็นบุตรบุญธรรม ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมด
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฮองเฮายิ่งรู้สึกว่านางเลือกโอรสได้ถูกคน
หากตอนนั้นนางเลือกเซียงอ๋องที่สังหารชุยหมิงเย่ว์…ฮองเฮาส่ายหัว ไม่กล้าจะคิดต่อ
หลังจากที่ตำหนักคุนหนิงส่งคนไปเยี่ยมเสียนเฟย ตำหนักอวี้เฉวียนก็ครึกครื้นขึ้นมาทันใด
จ้วงเฟย หนิงเฟยและพระสนมยศสูงต่างส่งคนมาถวายโอสถบำรุงกำลังให้แก่เสียนเฟย ส่วนเหล่าสนมยศต่ำมิได้ส่งคนมา เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ครั้นจะไปเองก็ยังคิดไม่ตกเนื่องจากยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มแจ้ง สุดท้ายพวกนางจึงได้แต่เก็บตัวเงียบ
เสียนเฟยหัวเราะเย็นเยียบ นางรู้สึกว่ายิ่งคนเหล่านี้แสดงความอบอุ่นต่อนางมากเท่าไร พิภพนี้กลับยิ่งเหน็บหนาว
ตอนที่นางได้ดี พวกหญิงชั่วพวกนั้นมาพะเน้าพะนอนางถึงที่โดยไม่สนใจว่าฮองเฮาจะไม่พอพระทัย แต่เมื่อนางล้มป่วยอาเจียนเป็นเลือด คนพวกนี้กลับไม่เคยโผล่หัวมาเยี่ยมเลยสักครั้ง
ส่วนพวกจ้วงเฟยที่ส่งยาบำรุงมาก็มิใช่เพื่อปลอบใจ แต่เพื่อหัวเราะเยาะนางต่างหาก
นางกวาดสายตามองไปรอบๆ ตำหนักอวี้เฉวียนที่แสนอ้างว้างก่อนจะหลับตาพลางหัวเราะขมขื่นเพียงลำพัง
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ นางไม่ยอม นางไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด!
เสียนเฟยลืมตาและจ้องมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง
เล็บนิ้วก้อยข้างขวาหักไปแล้ว ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย
เสียนเฟยใคร่ครวญหาคำตอบว่าเหตุใดแผนการของฉีอ๋องถึงล้มเหลว แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ อาการระคายที่ลำคอกำเริบหนัก
นางพยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้ไอออกมา ใจของนางเย็นลงเรื่อยๆ ร่างกายของนางเริ่มไม่ไหวเต็มที เกรงว่านางอาจอดทนรอให้ถึงว่าที่ฝันของนางเป็นจริงไม่ได้อีกแล้ว
นางจะต้องจากโลกนี้ทั้งที่ยังห่วงจังเอ๋อร์มากเพียงนี้งั้นหรือ
นางคงปล่อยวางไม่ได้!
เสียนเฟยกำม่านคลุมเตียงไว้แน่น กล้ามเนื้อทุกส่วนเครียดเขม็งเกร็งตึง
ในตอนนั้นเอง นางในก็รี่เข้ามารายงาน “เหนียงเหนียง มีคนจากพระตำหนักฉือหนิงมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
เสียนเฟยคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป “พระตำหนักฉือหนิง?”
“ฉังหมัวมัวจากพระตำหนักฉือหนิงเพคะ” นางในรีบตอบ
“รีบให้นางเข้ามา”
ไม่นานฉังหมัวมัวก็เดินเข้ามาก่อนจะหยุดยืนถวายความเคารพเสียนเฟย “บ่าวรับพระบัญชาของไทเฮาให้มาเยี่ยมเยียนเหนียงเหนียงเพคะ”
รอบดวงตาของเสียนเฟยแดงก่ำ นางพึมพำ “ข้าทำให้ไทเฮาต้องกังวลพระทัย ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก…”
“เหนียงเหนียงอย่าทรงคิดเช่นนั้นเลยเพคะ ไทเฮาทรงปรารถนาให้เหนียงเหนียงและบรรดาผู้ติดตามของฮ่องเต้หายดีในเร็ววันเพคะ”
เสียนเฟยพยายามระงับความตื่นตระหนกไว้ และทำทีซาบซึ้งกับถ้อยคำห่วงใยเหล่านั้น
จังเอ๋อร์วางแผนลงมือไทเฮาเป็นเหตุให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย แล้วเหตุใดไทเฮาถึงยังส่งคนมาเยี่ยมนาง หรือว่าไทเฮาจะยังไม่ทราบเรื่องทั้งหมด
ฉังหมัวมัวกล่าวเสริม “ขอเหนียงเหนียงทรงถนอมพระวรกายด้วยเพคะ หากพระองค์หายดีเมื่อไหร่ค่อยเสด็จไปน้อมทักไทเฮาเพคะ”
รอจนฉังหมัวมัวกลับไปแล้ว เสียนเฟยก็ใช้เวลาทบทวนอยู่นานและรู้สึกว่าท่าทีของไทเฮาในคราวนี้มีความหมายแฝงอยู่
หากนางมีเรี่ยวแรงเมื่อไหร่ เห็นทีคงต้องไปที่ตำหนักฉือหนิงสักครั้งแล้วล่ะ
ไม่นานเรื่องที่ตำหนักฉือหนิงส่งคนไปเยี่ยมเสียนเฟยก็ไปถึงหูของจิ่งหมิงฮ่องเต้
วันถัดมาจิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไปที่ตำหนักของไทเฮาเพื่อถามเรื่องนี้
“เสด็จแม่ เมื่อวานพระองค์ส่งคนไปที่ตำหนักอวี้เฉวียนงั้นหรือ”
ไทเฮาพยักหน้ารับ “ข้าได้ยินมาว่าเสียนเฟยป่วยหนัก เลยส่งคนไปดู ถึงอย่างไรเสียนเฟยก็เป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับฝ่าบาทมานาน ถึงแม้หลายปีมานี้นางจะมิได้สร้างคุณูปการใหญ่โต แต่ก็นับว่านางทุ่มเทแรงกายเพื่อราชวงศ์ไปไม่น้อย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ฉีอ๋องทำกับไทเฮา เขานั่งอยู่กับไทเฮาครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวกลับตำหนัก
ไทเฮาหยิบถ้วยชาขึ้นมาเป่าใบชาที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำแผ่วเบา พลางหันไปถามฉังหมัวมัวอย่างไม่รู้สึกรู้สม “เจ้าว่าเสียนเฟยต้องใช้เวลาพักรักษาตัวนานเท่าใดกว่าจะกลับมาเดินเหินได้เป็นปกติ”
ฉังหมัวมัวเอ่ยตอบ “เพราะพระองค์ทรงห่วงใย เสียนเฟยก็คงจะหายดีในเร็ววันเพคะ”
ไทเฮาคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนหลุบตาและจิบชาในมือ