เมื่อเลยกลางเดือนสี่ไปแล้ว อุณหภูมิก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สตรีในวังหลวงต่างผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดตัวบางสำหรับฤดูร้อน
เสียนเฟยสามารถออกมาเดินเหินนอกตำหนักอวี้เฉวียนได้แล้ว แต่นางยังคงสวมกระโปรงไหมตัวหนา
แต่ถึงกระนั้น เสียนเฟยที่ยืนอยู่ในที่โล่งแจ้งในบริเวณตำหนักกลับยังรู้สึกหนาวเย็น
นางรู้ดีว่าความรู้สึกหนาวเย็นนั้นมิได้เกิดจากสายลมของต้นฤดูร้อน แต่มาจากเบื้องลึกในใจและไขกระดูกของนางเอง
เมื่อความคิดในหัวว่างเปล่า ร่างกายบุบสลายไร้เรี่ยวแรง ย่อมรู้สึกเหน็บหนาวเป็นธรรมดา
“เหนียงเหนียง ทางแยกเช่นนี้ลมพัดแรง อาจจะทำให้ประชวรเอาได้นะเพคะ” นางในเอ่ยเตือน
เสียนเฟยกระชับคอเสื้อพลางเอ่ยแผ่วเบา “ไปที่พระตำหนักฉือหนิง”
นางรู้สึกว่าสิ่งที่ฉังหมัวมัวพูดกับนางมีความหมายซ่อนเร้น
นางรับรู้ได้ว่า สองปีที่ผ่านมานี้ไทเฮาเปลี่ยนไปมาก นางมิได้ผินหลังให้โลกเหมือนเก่าอีกแล้ว
แม้วันแต่ละวันของเสียนเฟยจะผ่านไปอย่างยากลำบาก แต่นางยังจำคำของฉังหมัวมัวได้ขึ้นใจ ทันทีที่ร่างกายของนางดีขึ้น นางจึงตรงไปน้อมทักที่ตำฉือหนิงเป็นอันดับแรก
เดินไปได้เพียงครึ่งทาง การหายใจของเสียนเฟยก็เริ่มติดขัด ใบหน้าเริ่มขาดเลือดไร้สี
นางในเผยสีหน้ากังวลใจ “เหนียงเหนียง พักสักหน่อยเถิดเพคะ”
เสียนเฟยยกมือขึ้นปราม “พักได้อย่างไร ข้าจะไปน้อมทักไทเฮาสายได้อย่างไร”
แม้จะเดินๆ หยุดๆ แต่ท้ายที่สุดก็มาถึงตำหนักฉือหนิงจนได้
ไทเฮากำลังให้องค์หญิงทั้งสองสลับกันมาอ่านนิทานให้นางฟัง ครั้นได้ยินว่าเสียนเฟยมาถึงแล้ว นางก็ลืมตาขึ้นบอก “ให้เสียนเฟยเข้ามา”
ไม่นานนัก เสียนเฟยก็เดินเข้ามาและถวายความเคารพไทเฮา
“นั่งเถิด”
นางในยกเก้าอี้ตัวน้อยวางข้างๆ เสียนเฟย
เสียนเฟยนั่งลง
ไทเฮาส่งยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าคอยสักครู่ อีกเดี๋ยวฝูชิงก็จะอ่านจบแล้ว”
เสียงใสน่ารื่นรมย์ของเด็กสาวดังขึ้นอีกครั้ง เสียนเฟยนั่งฟังเงียบๆ และรู้สึกว่านางไม่เคยได้ยินนิทานเรื่องนี้มาก่อน
“เสด็จย่า หลานอ่านจบแล้วเพคะ” องค์หญิงฝูชิงอ่านหน้าสุดท้ายจบแล้ว แต่ความรู้สึกยังคงตราตรึง
เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงฝูชิงโปรดปรานนิทานเรื่องนี้
องค์หญิงสิบสี่ที่อยู่ข้างๆ ยังคงนิ่งเงียบอย่างเช่นที่ผ่านมา นางทำราวกับว่าตนเองมิได้อยู่ตรงนั้น
ไทเฮาส่งสัญญาณให้นางในนำหนังสือนั้นไปเก็บก่อนจะหันไปกล่าวกับเด็กสาวทั้งสองด้วยใบหน้าอ่อนโยน “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด”
องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ถวายความเคารพไทเฮาและเสียนเฟยแล้วจึงเดินออกไป
ไทเฮาผุดยิ้มแล้วจึงเอ่ยเป็นคนแรก “หนังสือเรื่องนี้ยิ่งอ่านก็ยิ่งน่าติดตาม ว่ากันว่าเป็นหนังสือที่วางขายที่ร้านบุปผาขาวนอกวังหลวง คราวก่อนที่ฉังหมัวมัวออกไปถวายธูปแทนข้า นางซื้อกลับมาให้ข้าอ่านแก้เบื่อ ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่”
เสียนเฟยยิ้มจืดเจื่อน “หม่อมฉันอาศัยอยู่ในวังหลวงมานานจนมิได้ออกไปเปิดหูเปิดตา จึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเพคะ”
ไทเฮาผงกศีรษะเล็กน้อยด้วยความรู้สึกร่วม “จริงด้วย อาศัยอยู่ในวังหลวงนานเสียจนด้านนอกเปลี่ยนไปจนไม่คุ้นตา”
เสียนเฟยไม่รู้ว่าควรตอบรับเช่นไร
ตั้งแต่ไหนแต่ไหน ไทเฮาไม่เคยแสดงท่าทีสนิทสนมต่อนางหรือนางสนมใครใดเลย แต่วันนี้กับสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับนางเสียอย่างนั้น คนฟังจึงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ไทเฮารับถ้วยชาจากนางในแล้วจึงสั่งให้พวกนางออกไป
เสียนเฟยถือชาร้อนในมือด้วยความไม่สบายใจ
“เจ้าเองก็ไม่ค่อยได้กลับไปที่จวนอันกั๋วกงใช่หรือไม่” ไทเฮาจิบชาพลางถามอย่างเบาสบาย
เสียนเฟยรีบตอบ “หม่อมฉันได้กลับไปเยี่ยมบิดามารดาหนหนึ่งเมื่อแปดปีก่อนเพคะ”
ไทเฮาทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ข้าจำได้แล้ว คราวนั้นบิดาของเจ้าล้มป่วย”
รอบดวงตาของเสียนเฟยร้อนผ่าว นางพยักหน้ารับแผ่วเบา
ในปีนั้น นางได้รับข่าวว่าบิดาของนางป่วยหนัก นางจึงขออนุญาตฝ่าบาทกลับไปที่จวนเพื่อพบหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
ในตอนนั้นนางเป็นที่สนใจของวังหลวง ฝ่าบาทเองก็ทรงเห็นแก่หน้าของนาง ถึงได้ตอบรับคำขอแต่โดยดี
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้เห็นหน้าบิดา และเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้กลับไปเหยียบจวนของตัวเอง
เมื่อหวนคิดถึงวันชื่นคืนเก่า เสียนเฟยก็ยิ่งไม่อยากยอมแพ้
ที่นางเฝ้าทนขมขื่นตลอดหลายปีที่ผ่านมาหากมิใช่เพื่อตำแหน่งของสตรีตรงหน้า นางจะทำเพื่ออะไร
“อีกหน่อยต่อให้เจ้าอยากออกไปเยี่ยมครอบครัวก็คงไม่มีโอกาสแล้วสินะ”
เสียนเฟยจดจ้องไปที่ใบหน้าของไทเฮาด้วยความตกตะลึง นางไม่อยากจะเชื่อว่าประโยคนี้จะหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า
เพียงแต่ในห้องมีกันแค่สองคน หากมิใช่ไทเฮาแล้วจะเป็นใครไปได้
นางเริ่มไม่แน่ใจว่า ภาพตรงหน้าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ บางทีอาจเป็นเพราะบริเวณที่ไทเฮาประทับอยู่มืดสลัว เลยยิ่งทำให้นางดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
ท่าทางของไทเฮาทำให้เสียนเฟยรู้สึกตงิดในใจ บรรยากาศอบอุ่นครั้งที่เด็กสาวทั้งสองนั่งล้อมหญิงชราหายไปนานแล้ว
ไทเฮาจ้องตรงไปที่ใบหน้าเสียนเฟย “ทำไมไม่ตอบล่ะ”
เสียนเฟยไม่เข้าใจความคิดของไทเฮาเลยแม้แต่น้อย นางได้แต่ยิ้มเจื่อน “ไทเฮาตรัสถูกแล้วเพคะ หม่อมฉันสุขภาพไม่ใคร่เป็นปกติ คงนั่งรถม้าโคลงเคลงไม่ไหวแล้วเพคะ…”
ไทเฮาหัวเราะ “ต่อให้เจ้าจะนั่งไหว แต่เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่ทรงอนุญาต”
“ไทเฮา…” เสียนเฟยพรั่นพรึง
นี่ไทเฮาหมายความเช่นไร ดูแล้ววันนั้นที่ให้ฉังหมัวมัวส่งสัญญาณให้นางเพราะมีวาระซ่อนเร้น…
“เสียนเฟย เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าบัดนี้ตำแหน่งของเจ้าและฉีอ๋องในพระทัยฝ่าบาทไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หรือจะเรียกว่าเป็นที่ชิงชังก็ไม่ผิดนัก”
เสียนเฟยเริ่มนั่งไม่ติด นางขยับยืนจากเก้าอี้ตัวน้อยพร้อมเอ่ยด้วยใบหน้าซีดเซียว “หม่อมฉันเบาปัญญา ขอไทเฮาโปรดทรงชี้นำด้วยเพคะ”
“ชี้นำ?” ไทเฮาถามย้อน
เสียนเฟยพยักหน้า “ไทเฮาทรงเปี่ยมไปด้วยเมตตาเหลือล้น การที่พระองค์ตรัสกับหม่อมฉันเช่นนี้คงมีความหมายลึกซึ้ง เพียงแต่หม่อมฉันเบาปัญญาเกินกว่าจะเข้าใจ ขอไทเฮาทรงโปรดชี้นำด้วยเถิดเพคะ”
ไทเฮาหัวร่อ “ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยนิดหน่อย”
เสียนเฟยใจสั่นระรัว นางหลุบตาพลางเอ่ย “การได้ช่วยไทเฮาแบ่งเบานับเป็นเกียรติของหม่อมฉันอย่างหาที่สุดไม่ได้เพคะ แต่ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงมีรับสั่งอันใดหรือเพคะ”
ไทเฮาจิบชาอีกสองอึกแล้วจึงวางถ้วยลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ข้าต้องการชีวิตของฝูชิง”
ถ้วยชาในมือเสียนเฟยร่วงพื้นแตกออกเป็นเสี่ยง แต่นั่นมิได้น่าหวาดผวาเท่าสิ่งที่นางได้ยิน
เท้าของนางพลันก้าวถอย แววตาจับจ้องไปที่ไทเฮาด้วยสีหน้าพรั่นพรึงสุดขีดประหนึ่งว่าสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าที่นางไม่รู้จัก
นี่นางฟังผิดไปหรือเปล่า
“ทำไมรึ ตกใจรึ” ไทเฮาชำเลืองไปที่เสียนเฟยพลางกล่าวเสียงเย็น
เสียนเฟยอ้าปากค้าง “หม่อมฉัน…”
ไทเฮาหัวเราะเย้ยหยัน “ข้าก็นึกว่าเจ้าไม่มีอะไรต้องเสียแล้วเสียอีก เพราะเห็นเจ้าไม่กลัวสิ่งใด”
“ไทเฮา หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ…”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ข้าแค่จะถามว่าเจ้าจะทำหรือไม่”
เสียนเฟยภายใต้ใบหน้าซีดเผือดยังคงลังเลไม่ยอมตอบ นางเห็นความเหี้ยมโหดในแววตาไทเฮา
หัวใจของนางสั่นสะท้านด้วยความกลัว แต่ไม่นานสติของนางก็คืนกลับ ในเมื่อไทเฮากล้าเอ่ยกับนางขนาดนี้ หากนางไม่ตอบตกลงก็เกรงว่าเมื่อออกจากตำหนักฉือหนิงไปแล้ว นางก็คงเอาชีวิตไม่รอด
เมื่อคิดได้ดังนี้ เสียนเฟยจึงกลั้นใจตอบ “องค์หญิงฝูชิงเป็นทายาทสายตรงของฝ่าบาท และเป็นแก้วตาดวงใจของฮองเฮา หม่อมฉันเกรงว่าจะหาโอกาสลงมือได้ยากเพคะ… หรือต่อให้มีโอกาสลงมือแล้วก็เกรงว่าชีวิตของหม่อมฉันก็คงต้องจบลงด้วยเช่นกัน…”
ไทเฮาหัวเราะ “ข้าไม่ต้องการให้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำหนักฉือหนิง”
ความหมายของประโยคนั้นคือ ชีวิตของเสียนเฟยหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร ไทเฮามิได้สนใจ
เสียนเฟยตะลึงงัน
ไทเฮาเคาะโต๊ะแผ่วเบาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเวทนา “ร่างกายของเจ้าก็คล้ายไฟใกล้มอดอยู่แล้วมิใช่หรือ”
เสียนเฟยตัวสั่น ตาคู่นั้นยังควจ้องเขม็งไปที่หญิงชรา
นางอุตส่าห์ปิดปากแพทย์หลวงไว้แล้ว แล้วไทเฮาทราบเรื่องสุขภาพของนางได้อย่างไร
หากเป็นเมื่อก่อน แม้จะล้มป่วยเล็กๆ น้อยๆ นางก็ยินดีจะป่าวประกาศให้ทราบโดยทั่วกันเพื่อเรียกร้องความสนใจของฮ่องเต้ แต่เมื่อถึงเวลาจริง เวลาที่นางเฝ้าทนให้ผ่านไปแต่ละวัน นางกลับฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่นๆ
เสียงของหญิงชราดังขึ้นอีกครั้ง แต่น้ำเสียงในคราวนี้กลับฟังดูแปร่งหู “เอาชีวิตที่ใกล้ดับมอดของเจ้าแลกกับการช่วยเหลือฉีอ๋องเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าไม่คิดว่ามันคุ้มที่จะแลกหรือ”