บทที่ 633 ศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน การช่วยเหลือได้ตลอดเวลา (1)
เมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับ ‘เผ่าพันธุ์’ ในโลกบรรพกาล มันจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กน้อยสามอย่างคือ ‘โชคชะตา’ ‘กรรมร้าย’ และ ‘บุญ’ อย่างแน่นอน
สงครามโบราณระหว่างเผ่าหงส์และเผ่ามังกร ควรถือเป็นภัยพิบัติครั้งแรกหลังจากการเบิกฟ้า
ในขณะนั้น โลกเพิ่งถูกสร้างขึ้น และสิ่งมีชีวิตเซียนเทียนได้ยึดครองกระแสหลัก โดยมีสองเผ่าพันธุ์ทั้งมังกรและหงส์ เป็นจ้าวผู้ปกครอง โดยพื้นฐานแล้วไม่มีผู้ใดมีแนวคิดเรื่องอายุขัยยืนยาว สิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ไม่มีศักยภาพใดๆ จะ อาศัยและมีชีวิตอยู่ และค่อยๆ ร่วงโรย ชราลงช้าๆ
มีเซียนต้าหลัวจินตัวจริง เดินไปทั่วทุกที่และมีเซียนจินมากมายพอๆ กับสุนัข
แต่เก้าในสิบส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเหล่านั้น ได้สิ้นชีพไปในการต่อสู้ระหว่างมังกรและหงส์ และโลกบรรพกาลก็ถูกทำลายแตกสลายไปเช่นกัน
จากนั้นโครงสร้างของดินแดนเทวะทั้งห้าและตรีสหัสโลกธาตุก็ได้ก่อตัวขึ้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หากบรรพาจารย์เต๋าไม่พลิกกระแสน้ำ[1]และสังหารบรรพชนปีศาจ ผู้ก่อปัญหาอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้น และสวรรค์และปฐพีไม่ได้เร่งความสมบูรณ์แบบของเต๋าสวรรค์เพื่อระงับช่วงวิกฤติสูงสุดสุดท้ายของมหาภัยพิบัติได้ทันเวลา สวรรค์และปฐพีก็จะกลับคืนสู่ความโกลาหล …
สงครามนั้นไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้ระหว่างเผ่ามังกร เผ่าหงส์ และเผ่ากิเลนเท่านั้น เผ่ามังกรเป็นที่รู้จักกันในนามราชาหลินเจี่ย[2] เผ่าหงส์ เป็นที่รู้จักกันในนามราชาเฟยอวี่[3] และเผ่ากิเลนเป็นที่รู้จักกันในนามราชาโจ่วโซ่ว[4] มหาภัยพิบัติในครั้งนั้น ได้เริ่มขึ้นจากมังกรและหงส์ จากนั้นมันก็แผ่ขยาย กลืนกินไปเกือบทั่วทั้งโลกบรรพกาล
และกรรมร้ายที่เผ่ามังกรและหงส์แบกรับเอาไว้ก็แทบจะไร้ที่สิ้นสุด
ผลสุดท้ายของสงครามระหว่างเผ่ามังกรและหงส์นั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เผ่ามังกรเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ เผ่าหงส์และเผ่ากิเลนซึ่งไม่สมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาภัยพิบัติก็เกือบจะล่มสลายไปแล้ว
เผ่ามังกรปกป้องทั้งสี่คาบสมุทรและดวงตาแห่งท้องทะเล พวกเขาถูกกรรมร้ายพัวพันและอ่อนแอมาตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนถึงทุกวันนี้
แม้พวกเขาจะได้รับคำสั่งและการควบคุมดูแลจากศาลสวรรค์ แต่ก็ยังมีโศกนาฏกรรมแห่งดวงตาทะเลบูรพาที่ถูกทำลายไป
เผ่าที่ใหญ่เป็นอันดับสามในสมัยโบราณ คือ เผ่ากิเลน กิเลนได้กลายเป็นสัตว์มงคลที่หายากในโลกบรรพกาล พวกมันเกือบจะสูญพันธุ์ไปเมื่อสิ้นสุดยุคโบราณ…
เผ่าหงส์อยู่ในสภาพที่เลวร้ายลง เดิมทีพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าราชาเฟยอวี่ ซึ่งตอนนี้มีเพียงหนึ่งหรือสองกลุ่มที่ยังเคลื่อนไหว และมีเพียงข่งเชวี่ยน และจินเผิงเหนี่ยวที่ทำงานได้อย่างกระตือรือร้นเท่านั้น
สัตว์บินอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่รู้กันว่ามีสายโลหิตของเผ่าหงส์นั้น เป็นเพียง “ลูกน้อง” ที่ติดตามหลังเผ่าหงส์ในยามอดีตนั้น
สายโลหิตที่แท้จริงของเผ่าหงส์จะมีพลังเวทนิพพาน ซึ่งไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยหลังจากสมัยโบราณ
ในขณะที่เผ่ามังกรนั้นแตกต่างออกไป เผ่ามังกรทำงานหนักมากในเรื่องการสืบพันธุ์ ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนกระทั่งในยามนี้ พวกเขามี “ญาติสนิททางสายโลหิต” เป็นจำนวนมากมายในโลก…
ปัญหาที่เผ่าหงส์กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คือ โชคและสายโลหิตของพวกเขา
กรรมร้ายของเผ่าหงส์นั้น เกิดจากหงส์บรรพกาล หงส์บรรพกาลอาศัยพลังเวทนิพพานในการปราบปรามภูเขาไฟอมตะด้วยพลังทั้งหมดของเขาเพื่อหวังให้เผ่าหงส์จะสามารถอยู่รอดและสืบสายโลหิตต่อไปได้ แล้วจากนั้นจึงวางความรับผิดชอบสำคัญที่หนักอึ้งในการดำเนินการสืบสานเผ่าพันธุ์หงส์ต่อไปที่…
ข่งเซวี่ยน
เมื่อหลี่ฉางโซ่วได้ยินเช่นนั้น เขาก็อดจะอยากร่ำร้องออกมาเล็กน้อยไม่ได้
เขารู้สึกว่า วิหคที่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งหงส์บรรพกาลได้มอบหมายความไว้วางใจให้นั้น เป็นวิหคที่ผิดไปเล็กน้อย…
เพราะจนถึงตอนนี้ ข่งเซวี่ยนก็ยังไม่ได้ตัดสินใจในหยินหยาง[5]ของเขาด้วยซ้ำ!
ปัญหาเกี่ยวกับเผ่าหงส์นั้นชัดเจนมากว่า จะทำอย่างไรให้เผ่าหงส์ได้รับสายโลหิตที่ต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูโชคขะตาเล็กน้อย และกลับมาตั้งหลักในโลกบรรพกาลได้อีกครั้ง
ข่งเซวี่ยนกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์ของเราได้แบกรับภาระจากโลกบรรพกาล และได้รับกรรมร้ายอย่างหนัก ตอนนี้เราหวังเพียงให้สายโลหิตของเราคงอยู่ต่อไปได้
เราไม่ได้ขอโอกาสอีกครั้งเพื่อความเจริญรุ่งเรือง แค่ชนเผ่าหลายสิบคนก็เพียงพอแล้ว
ข้าไม่ได้ต้องการให้คนในเผ่าของข้าทั้งหมดมีชีวิตคงอยู่ตลอดไป
ข้าเพียงแค่ต้องการให้สายโลหิตของข้ายังคงสืบสายอยู่ต่อไปได้เพื่อให้เผ่าหงส์ดำรงอยู่ในโลกนี้ เพียงแค่นี้ ก็เพียงพอที่จะปลอบโยนมารดาของข้าให้สบายใจได้แล้ว”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ส่วนจ้าวกงหมิงที่อยู่ด้านข้างก็กอดอกและพยายามช่วยคิดอย่างหนักเต็มที่
แต่ในทางกลับกัน ฉยงเซียวชี้ไปที่เด็กสาวจากเผ่าหงส์ที่กำลังให้บริการชาและน้ำ นางถามด้วยความงุนงงว่า “แล้วนางมาที่นี่ได้อย่างไร?”
ข่งเซวี่ยนกล่าวว่า “ครั้งหนึ่ง ท่านแม่เคยให้แก่นโลหิตสามหยดแก่ข้า ซึ่งสามารถมอบให้กับวิหคที่มีสายโลหิตคล้ายคลึงกันและเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นเผ่าหงส์ได้”
“โอ้ ~” ทันใดนั้น ฉยงเซียวก็ตระหนักได้ในทันที
จ้าวกงหมิงซึ่งอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “คำว่า ‘โชค’ นั้นเป็นเรื่องลี้ลับและไร้ตัวตน พูดง่ายๆ คือ หากทำความดีและหมั่นสะสมบุญเอาไว้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็จะเสริมสร้าง ‘โชค’ ขึ้นได้ตลอดเวลา… จริงหรือไม่?”
“หากมันง่ายเช่นนั้น ข้าคงไม่เดือดเนื้อร้อนใจถึงเพียงนี้หรอก” ข่งเชวี่ยนขมวดคิ้วและส่ายศีรษะ
“บุญและโชคชะตานั้นไม่พันผูกกัน”
“ข้ามีวิธี” หลี่ฉางโซ่วกล่าวช้าๆ และหยิบชาข้างตัวขึ้นมาแล้วยกขึ้นจิบ
ในเมื่อปรมาจารย์จอมปราชญ์ประสงค์ให้เขาลงมือ เขาจึงไม่อาจยืนดูนิ่งเฉยและไม่ทำอะไรเลยได้
แม้เขาจะไม่รู้ว่า ปรมาจารย์ไท่ชิงต้องการให้ข่งเชวี่ยนเข้าใกล้สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินมากขึ้น หรือว่า เขามีแผนใหญ่กว่านั้น…
ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วได้คิดถึงบางสิ่งที่มีโอกาสเป็นจริงกว่าเก้าในสิบส่วนแล้ว
เสวียนเหนี่ยวให้กำเนิดซาง[6]
ตามความรู้ของหลี่ฉางโซ่วแล้ว รูปสลักบนเสาสัญลักษณ์ของอาณาจักรซาง คือ เสวียนเหนี่ยว
ในสมัยโบราณ ครั้งหนึ่ง เผ่าพันธุ์มังกรเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เพราะพวกเขาได้ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์
จากนั้นพวกเขาก็พลิกกลับโชคชะตาของพวกเขาและสานต่อชะตากรรมเพื่อดำเนินชีวิตของพวกเขาต่อไปเอง
ในเวลานี้ หากสิ่งที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น เป็นเรื่องราวการถือกำเนิดขึ้นของราชวงศ์ซาง เรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของจอมปราชญ์ได้จริงๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดข่งเชวี่ยนถึงได้ปกป้องอาณาจักรซางในช่วงระหว่างมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ
ไม่มีอันใดอื่น มันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เท่านั้น
หลี่ฉางโซ่ววางชาในมือลง บัดนี้ เขามีความคิดอยู่ในใจแล้ว เขายิ้มและกล่าวว่า “ในสมัยโบราณ เผ่ามังกรได้ใช้วิธีนั้น แล้วไฉนเผ่าหงส์ถึงไม่ใช้มันเล่า?”
ข่งเชวี่ยนเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน ในเมื่อหลี่ฉางโซ่วกล่าวออกมาเช่นนั้น เขาก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอันใดขึ้น
ข่งเชวี่ยนถอนหายใจและกล่าวว่า “ตอนนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญรุ่งเรืองขึ้น เราไม่มีโอกาสปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกต่อไป ข้าเพียงแค่พูดคุยเรื่องนี้เท่านั้น”
………………………………………………………………..
[1] พลิกสถานการณ์
[2] ชุดเกราะเกล็ด เกล็ดในที่นี้คือ ราชาเกราะเกล็ดมังกร
[3] ราชาขนนกบิน
[4] ราชาสัตว์ร้าย
[5] ตัดสินใจเลือกเพศ
[6] เสวียนเหนี่ยวให้กำเนิดซาง เป็นตำนานว่ากันว่า เสวียนเหนี่ยว แปลตรงตัวคือ นกลึกลับ มันเป็นนกใหญ่สีดำลึกลับในตำนานคล้ายคุนเผิง ตามตำนานเล่าว่า เสวียนเหนี่ยวบินมาตามริมชายฝั่งฮวงโหหรือแม่น้ำเหลืองโบราณ แล้วไข่ทิ้งไว้ จนนางเจี่ยนตี๋ นางสนมคนโปรดขององค์ตี้คู่ (หนึ่งในห้าจักรพรรดิ) ซึ่งมีบุตรยาก และได้ไปที่วิหารเทพีหนี่วาเพื่อขอประทานบุตร ได้มากินไข่เข้าไป แล้วให้กำเนิดบุตรขึ้นมา ซึ่งบุตรที่ถือกำเนิดมาผู้นั้น ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ ซึ่งซางในที่นี้ก็คือราชวงศ์ซาง