บทที่ 634 ศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน การช่วยเหลือได้ตลอดเวลา (2)
“ไม่ใช่กรณีเช่นนั้น” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างใจเย็น เขายังคงระมัดระวังเช่นกัน เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า การลงทัณฑ์จากสวรรค์จะลงมาหรือไม่และปรมาจารย์จอมปราชญ์จะหยุดกระบวนความคิดของเขาหรือไม่
แต่เขาก็ยืนยันได้อย่างรวดเร็วว่า เรื่องของข่งเชวี่ยนนั้น เกี่ยวข้องกับการผงาดขึ้นของอาณาจักรซางอย่างแยกไม่ออก
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์กระจุกตัวอยู่ในดินแดนเทวะทักษิณ และในดินแดนเทวะทักษิณ ก็มีอาณาจักรต่างๆ มากมาย และเกิดสงครามขึ้นไปทั่วทุกหนแห่ง
ดังคำกล่าวที่ว่า หากพวกเขารวมกันเป็นเวลานาน พวกเขาจะแบ่งแยก และหากพวกเขาแบ่งแยกกันไปเป็นเวลานาน พวกเขาก็จะมารวมกันเป็นปึกแผ่น
เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่มีจ้าวผู้ปกครองร่วมกันมาช้านานแล้ว พวกเขาก็ควรมีจ้าวผู้ปกครองร่วมกันเพื่อความเจริญรุ่งเรือง
โอกาสสำหรับเผ่าหงส์อยู่ที่นี่แล้ว
หากข้ารู้ว่าอาณัติแห่งสวรรค์[1]จะเป็นของผู้ใด ข้าก็จะไปปกป้องจ้าวผู้ปกครองในอนาคตของข้าล่วงหน้าและให้เขาได้ใช้วิหคศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหงส์เป็นรูปสลักบนเสาสัญลักษณ์ของเขา แล้วเหตุใดเผ่าหงส์จึงกังวลว่าจะไม่อาจตั้งตัวยืนหยัดขึ้นได้อีกเล่า?”
แม้จะเป็นผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่ข่งเชวี่ยนก็เผยท่าทางลิงโลด เขายืนขึ้นและประสานมือคารวะให้หลี่ฉางโซ่วและกล่าว
“หากสหายเต๋าสามารถช่วยเรื่องนี้ได้ เผ่าหงส์จะเป็นหนี้สหายเต๋าอย่างเป็นเหตุเป็นผล และข่งเชวี่ยนก็จะเป็นหนี้บุญคุณของสหายเต๋าด้วยเช่นกัน!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “สหายเต๋า ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น หากศิษย์พี่ของข้าอยู่ที่นี่ เขาจะไม่ช่วยสหายเต๋าได้อย่างไร?
เรื่องของศิษย์พี่ย่อมเป็นเรื่องของข้าด้วยเช่นกัน พวกเราทุกคนทั่วทั้งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยสหายเต๋าในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ทว่า สหายเต๋า ยังมีสองเรื่องที่ข้าอยากให้สหายเต๋าเข้าใจ”
“โปรดพูดมาเถิด”
หลี่ฉางโซ่วมีสีหน้าท่าทีจริงจังและกล่าวฉะฉานอย่างมีหลักการว่า
“เรื่องแรก การที่ราชวงศ์จะเปลี่ยนแปลงในโลกมนุษย์นั้น ถือเป็นเรื่องปกติ หากเผ่าหงส์ได้รับในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว เมื่อราชวงศ์ล่มสลาย ก็ขอได้โปรดอย่าได้เข้าไปแทรกแซงและเคลื่อนไหวจัดการอะไรมากเกินไป”
เขากล่าวข้อความนี้ เพื่อวางแผนต่อต้านสำนักบำเพ็ญประจิมเท่านั้น
ข่งเชวี่ยนได้เข้าสู่สนามต่อสู้โดยทำร้ายหรานเติ้ง และทำให้เซียนสองสามคนของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานได้รับบาดเจ็บ
และในท้ายที่สุด จอมปราชญ์จุ่นถีก็กระโดดออกมาเผชิญหน้าและใช้ต้นไม้สมบัติเจ็ดมหัศจรรย์ต่อสู้กับแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี
แม้การต่อสู้ครั้งนั้นจะทำให้ข่งเชวี่ยนมีชื่อเสียง แต่ผลลัพธ์ในตอนจบของข่งเชวี่ยนนั้นก็อนาถน่าเศร้าสลดใจทีเดียว หลังจากพ่ายแพ้ให้จุ่นถีแล้ว เขาก็ถูกส่งไปและถูกบังคับให้เข้าร่วมสำนักบำเพ็ญประจิม
หลังจากเกิดเหตุการณ์เหล่าจื้อฮวาหู[2]แล้ว ข่งเชวี่ยนก็ถูกจัดให้เป็นภัยพิบัติของพระพุทธเจ้า เขาได้กลืนกินพระพุทธเจ้าเข้าไปในท้อง
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ออกจากหลังของเขาอีกครั้ง แล้วเขาก็กลายเป็นพระพุทธมารดา[3] และสูญเสียร่างเซียนเทียนที่สมบูรณ์แบบไป…
หลี่ฉางโซ่วรู้เพียงว่า เหล่าจื้อฮวาหูเป็นแผนการใหญ่ในตอนท้ายของมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ แต่ในเวลานี้ เขาไม่รู้ถึงความหมายที่ซับซ้อนและผู้ชนะคนสุดท้ายเลย
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับข่งเชวี่ยนนั้นก็ไม่ได้รู้กันมากในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และไม่ได้มีบรรยากาศแห่งความรักใดๆ จากโลกบรรพกาล
บทที่ดีที่สุดควรเป็นว่า…
ข่งเชวี่ยนริเริ่มที่จะสละร่างเซียนเทียนที่สมบูรณ์แบบของเขาไปให้กับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และกลับไปหาหยิน
เขากลายร่างเป็นสตรีและแต่งกายด้วยชุดสีรุ้ง ผัดหน้าแดง และสวมมงกุฎหงส์ให้ตัวเขาเอง
และท่ามกลางไฟที่โหมกระหน่ำ เขาเดินไปที่สวนด้านหลังของวังดุสิตพร้อมกับเชิดศีรษะขึ้นสูงและผายอกผึ่ง เขาชี้ไปที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ที่ซึ่งกำลังหลับอยู่และกล่าวว่า
“เสวียนตู! ข้าอยากแต่งงานกับท่าน!”
ทันใดนั้น ยุงที่เกาะอยู่บนต้นไม้ข้างๆ ก็น้ำตารินไหล เพราะเห็นได้ชัดว่ามันบินไปก่อน…
แค่กๆ มาลงมือทำงานกันเถิด
หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่อว่า “เรื่องที่สอง ข้าไม่กล้าพูดว่า ข้ามั่นใจแน่นอนเต็มที่ในเรื่องนี้ ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ต่อองค์เง็กเซียนหลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว
กล่าวตามตรงว่า ความจริงแล้ว ศาลสวรรค์มีแผนการมากมายที่เกี่ยวข้องกับตะเกียงและการเผาธูปเพื่อใช้บูชาพระพุทธหรือเทพ หรือการเซ่นไหว้ของเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกด้วย
หากมอบโชคของรูปสลักบนเสาสัญลักษณ์ให้กับเผ่าหงส์ มันก็จะไม่ได้เป็นพิษภัยอันตรายต่อศาลสวรรค์ แต่ข้าก็อยากให้สหายเต๋าแสดงจิตเมตตาและความปรารถนาดีต่อศาลสวรรค์ หากท่านพบทหารสวรรค์หรือแม่ทัพสวรรค์ตกอยู่ในอันตรายเมื่อท่านเดินทางออกไปข้างนอกในภายหน้า ก็ขอท่านได้โปรดช่วยพวกเขาสักเล็กน้อยด้วย”
“ได้! แน่นอนว่าย่อมเป็นเช่นนั้น!”
ข่งเชวี่ยนตกลงอย่างเด็ดขาด
“เช่นนั้น ในวันนี้ พวกเรามาหารือถึงเรื่องทิศทางทั่วไป” หลี่ฉางโซ่วกล่าว
“เมื่อสถานการณ์ในดินแดนเทวะทักษิณเปลี่ยนไป ข้าจะเชิญท่านออกมาจากการปิดด่าน”
ข่งเชวี่ยนรีบกล่าวว่า เขาไม่ได้เร่งร้อน แต่หลี่ฉางโซ่วก็ใช้ข้ออ้างกล่าวว่า “หากศิษย์พี่รู้ว่า ข้าละเลยงานนี้ของท่าน เขาจะตำหนิเขาอย่างแน่นอน” จากนั้น เขาก็เปลี่ยนหัวข้อกลับไปสู่หัวข้อหลักทันที
ในขณะนั้น จ้าวกงหมิงและฉยงเซียวต่างมองหน้ากัน
จ้าวกงหมิงส่งข้อความเสียงพลางถอนหายใจและกล่าวว่า “น้องสาม เจ้าคิดว่า ฉางเกิงมีแผนการเช่นนี้มาตลอดอยู่แล้วหรือไม่? เหตุใดมันจึงฟังดูมีเหตุผลยิ่ง? เพียงในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เขาก็จัดเตรียมการอย่างเหมาะสมให้เผ่าหงส์ได้แล้ว”
“มันฟังดูไม่เหมือนเลย”
ฉยงเซียวพึมพำว่า “หากเขามีแผนในใจจริงๆ เขาคงอธิบายทุกอย่างได้เสร็จสิ้นในคราวเดียวแล้ว และจะพูดกันตรงๆ
แต่นี่เขากำลังคิดในขณะที่เขาพูด เขาทิ้งช่องว่างเอาไว้สำหรับคำพูดมากมายเพื่อปรึกษาหารือกันในหลายๆ เรื่องที่เขาพูด และมีน้ำเสียงครุ่นคิดมากมาย
นอกจากนี้เขายังหยุดไปชั่วขณะในระหว่างคำพูดหลายครั้ง นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ทว่าความสามารถในการพิจารณาเรื่องสำนักบำเพ็ญประจิม ศาลสวรรค์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ และแม้แต่การวางกับดักสำหรับจุดจบของเรื่องนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เขาก็น่าประทับใจจริงๆ”
จ้าวกงหมิงถอนหายใจ “เฮ้อ ข้ารู้สึกเหมือนว่า ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่ามานานหลายปีแล้ว…”
“นั่นแตกต่างกัน พี่ใหญ่ ท่านคิดไม่เก่งในเรื่องพลิกผันเหล่านี้ ท่านคือสายลม ชนิดที่ท่านจะไม่หักเลี้ยว เว้นแต่ท่านจะชนกำแพง”
ฉยงเซียวกล่าวอย่างสงบว่า “พี่ใหญ่ จะเป็นอย่างไรหากในอนาคต เขาจะมีระดับฐานพลังเหนือกว่าท่าน ท่านจะเป็นคนที่มีปัญหาน่าเวทนาจริงๆ”
“เจ้ายังพูดถึงข้า เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะไม่ถูกเปรียบเทียบและโดนลบเหลี่ยมไปเหมือนกันหรอกหรือ?”
“จะไปกลัวอะไร? ในฐานะน้องสะใภ้ของเขา ข้าก็ควรจะได้รับการดูแล หึหึ!”
จ้าวกงหมิงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้สึกสบายทั้งกายและใจ
ไม่มีแรงกดดันเมื่อเขาเข้ากันได้ดีกับน้องเขยและน้องสาวของเขา
………………………………………………………………..
[1] ความชอบธรรมที่สวรรค์มอบให้แก่มนุษย์คนหนึ่ง ให้มีอำนาจในการปกครองประชาชน
[2] เป็นการแสดงธรรมโปรดคนร้ายให้กลายเป็นดี ตามตำนานเล่าว่า เหล่าจื้อได้ไปจุติ ภายหลังการกำเนิดก็ได้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา และเริ่มแสดงธรรมโปรดชาวเผ่าหูที่โหดร้ายป่าเถื่อน จึงเรียกว่า “เหล่าจื้อฮวาหู” ถือว่าเป็นอีกปางหนึ่งของพระพุทธเจ้า
[3] ตามตำนานเรียกว่า ข่งเชวี่ยฝัวหมู่หรือข่งเชวี่ยหมิงเฟย คือ ข่งเชวี่ยกลายเป็นพระพุทธมารดา หรือในไทย เรียกว่าเป็นวิทยาราชินีนกยูง หรือองค์มหามยุรี ซึ่งปกติจะปรากฏในท่าทางที่สงบ และทรงนกยูงเป็นพาหนะอยู่เสมอ ทรงเป็นเทพผู้พิทักษ์ศาสนาพุทธ และถือเป็นการสำแดงภาคดุร้ายของพระพุทธเจ้า และสั่งสอนธรรมด้วยความน่าสะพรึงกลัว เพื่อกระตุ้นให้บรรดาผู้ไม่ศรัทธาทั้งหลายกลับใจมาเชื่อถือในพุทธศาสนา
—————————————-