เมื่อทหารม้ากองนี้เข้ามาใกล้ขบวนชาวบ้านที่ถูกบีบให้อพยพขึ้นเหนือกลุ่มนี้ พวกเขาก็แหวกออก ตีวงล้อมกลุ่มชาวบ้านอพยพอยู่กลายๆ ทหารม้านายหนึ่งตะโกนถามเสียงดัง “เหตุใดพวกเจ้ายังเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ มิทราบหรือว่ากฎกองทัพเคร่งครัด หาพ้นวันพรุ่งนี้ยังมิเข้าไปในเมืองจี้ซื่อ วันตายของพวกเจ้าก็มาถึงแล้ว” เสียงนั้นใสกระจ่างรื่นหู ที่แท้เป็นสตรีนางหนึ่ง
ผู้เฒ่าคนหนึ่งโซเซเดินออกมากล่าวว่า “ท่านทหาร พวกข้าตรงนี้มีแต่ผู้เฒ่าเด็กน้อยกับสตรีไร้เรี่ยวแรงเดินทาง ด้วยเหตุนี้จึงเดินทางล่าช้า ขอท่านทหารโปรดเมตตาด้วย”
สตรีนางนั้นหันไปมองแม่ทัพหญิงผู้เป็นหัวหน้า สตรีนางนั้นกวาดสายตาผ่านบนร่างผู้คนทีละคน สายตาเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก ผู้ที่ถูกนางจับจ้องทุกคนต่างรู้สึกว่าเงาแห่งความตายกำลังคืบคลานโอบล้อม จนสายตาของสตรีนางนั้นจับอยู่บนร่างชาวนาวัยกลางคนที่บาดเจ็บผู้นั้น มุมปากก็เผยรอยยิ้มหยันจางๆ แล้วยกแส้ชี้ “เจ้า ก้าวออกมา”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เดินกะโผลกกะเผลกก้าวออกมาข้างหน้า สายตาของสตรีนางนั้นไม่ละออกจากเขาแม้แต่เวลาเดียว กระทั่งเขาก้าวมาหน้าอาชา สตรีนางนั้นจึงถามเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคือสายลับในสังกัดของเซียวถงสินะ”
ชาวนาผู้นั้นทำหน้าสับสนมึนงงคล้ายมิทราบว่าสตรีนางนั้นกำลังพูดสิ่งใด เขาเพียงแก้ตัวอย่างตื่นตระหนก “ผู้น้อยมิใช่สายลับ เป็นเพียงชาวไร่ชาวนา แต่เพราะหกล้มขาเจ็บจึงถูกสหายร่วมหมู่บ้านทอดทิ้ง ต้องมาอยู่รั้งท้าย”
สตรีนางนั้นหัวเราะหยัน กล่าวว่า “ข้าซูชิงเป็นยอดฝีมือในหมู่จารชน เจ้าจะปิดบังสายตาของข้าได้เช่นไร” กล่าวจบแส้ยาวในมือพลันพุ่งแทงลำคอของชาวนาผู้นั้นประหนึ่งอสรพิษ ดวงตาของชาวนาผู้นั้นทอประกายพริบตาหนึ่ง แต่แล้วก็แสร้งทำท่าตอบสนองไม่ทัน ทำได้เพียงกรีดร้องหลับตาลง และแล้วก็ป็นดังคาด แส้ยาวเส้นนั้นสัมผัสเพียงนิดเดียวก็ตวัดกลับ ชาวนาผู้นั้นเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่าง ตกใจจนแข้งขาอ่อนทรุดลงกับพื้น
สตรีนางนั้นก้มมองจากเบื้องบน มองเขาอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับไปเอ่ยเสียงดัง “ซูชิง หัวหน้าหน่วยสอดแนมทัพหน้าขอพบใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพ” น้ำเสียงเย็นยะเยือกฟังกระจ่างชัด ทุกคนรู้สึกราวกับว่าซูชิงกำลังเอ่ยอยู่ข้างหูของตน แม้ห่างจากกลางแม่น้ำไกลยิ่งนัก แต่บนเรือกลับมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย เห็นชัดว่าได้ยินเสียงของซูชิง
ไม่นานเรือเร็วลำหนึ่งก็แล่นมาเทียบชายฝั่ง สตรีนางนั้นชักม้าไปยังริมฝั่งน้ำ ทหารม้าคนอื่นก็ชักม้าจากไปเช่นกัน แต่พวกเขาเดินทางเลาะริมฝั่งน้ำต่อไปข้างหน้า เห็นชัดว่าไม่คิดจะขึ้นเรือ แต่สตรีที่เอ่ยปากพูดคนแรกสุดนางนั้นกลับรั้งท้ายอยู่ด้านหลัง
ชาวนาวัยกลางคนผู้นั้นถอนหายใจและกำลังจะลุกขึ้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมแหลมคมทว่าเย็นเฉียบชิ้นหนึ่งปักเข้าที่ลำคอของตน เขาดิ้นรนเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสายตาของสตรีที่อยู่รั้งท้ายผู้นั้นจับจ้องตนเองอย่างเย็นชา ดวงตาของชาวนาทอประกายโกรธแค้นรุนแรงพร้อมกับความฉงน
ซูชิงลงจากม้าก้าวไปริมฝั่งน้ำ สายตานิ่งสงบดุจผืนธาราราวกับมิทราบว่าเบื้องหลังเกิดสิ่งใดขึ้น แม้ชาวบ้านอพยพกลุ่มนั้นจะร้องอุทานตกใจอย่างพยายามกดเสียงไว้ก็ตาม จนกระทั่งหญิงสาวนางนั้นชักม้าตามมาถึงข้างกายนาง นางจึงเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “หรูเย่ว์ ยอมสังหารผิดตัว ดีกว่ายอมปล่อยไว้ เจ้าทำได้ดีมาก”
สตรีนางนั้นค้อมกายคำนับบนหลังม้าแล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณคุณหนูที่กล่าวชม” หลังจากนั้นนางจึงรับสายบังเหียนที่ซูชิงโยนส่งให้
ซูชิงทะยานร่างเหินขึ้นไปบนเรือรบ แล้วกล่าวกับราชองครักษ์หู่จีผู้สวมเกราะสีดำสนิทคนนั้นว่า “ขอบคุณยิ่งที่มาต้อนรับ ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพสบายดีหรือไม่”
ราชองครักษ์หู่จีผู้นั้นยิ้มแย้มตอบว่า “ใต้เท้านั่งเรือจนคุ้นชินแล้ว มิมีสิ่งใดปรับตัวมิได้ แม่ทัพซูคงจะนำข่าวทหารมาส่ง ใต้เท้ากำลังรอคอยอยู่แล้ว”
ข้ายืนอยู่บนเรือรบ มองชาวบ้านอพยพบนฝั่งอย่างนิ่งสงบ แม้สายลมวสันต์เย็นเฉียบ แต่กลับมิอาจทะลุผ่านเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ข้าสวมบนร่างมาได้ แม้ห่างเพียงห้าร้อยก้าว แต่โชคชะตากลับแตกต่าง ข้าเป็นขุนนางชั้นสูงของแคว้นศัตรูผู้สวมแพรพรรณงดงาม ในมือกุมอำนาจมากมาย ส่วนพวกเขาเป็นชาวบ้านอพยพผู้ชีวิตไร้ค่าประหนึ่งต้นหญ้า
ข้าเกิดในกลียุค ลาจากเจียงหนานอันทิวทัศน์ตระการเดินทางผ่านหลายแห่งหนจนมาถึงดินแดนทางเหนืออันหนาวเหน็บเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ภาพเช่นนี้ย่อมเห็นมาจนชินตาแล้ว แม้แต่ดินแดนอันรุ่งเรืองเช่นต้ายงยังยากจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ นับประสาอันใดกับเป่ยฮั่นที่ทำศึกสงครามติดต่อกันมานานหลายปี เพียงเห็นชาวบ้านอพยพเหล่านี้ส่วนมากล้วนเป็นผู้เฒ่าเด็กและคนเจ็บคนพิการก็ทราบแล้วว่าสถานการณ์ของเป่ยฮั่นเป็นเช่นไร
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา สายตาเลื่อนไปจับด้านหน้า แผนการที่ข้าลงมือวางด้วยตนเองย่อมมิอาจล้มเลิก หากคนเหล่านี้หนีไปไม่ถึงจี้ซื่อก็มีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ในเมื่อข้าเป็นผู้ผลักพวกเขาไปยังขอบเหวแห่งความตายเอง แล้วไยต้องใช้ความเวทนาราคาถูกมาปกปิดความรู้สึกผิดบาปในใจตนเองเล่า ปล่อยให้ความสงสารในก้นบึ้งหัวใจถูกความอำมหิตกลบทับไปเสียเถิด ขอเพียงต้ายงรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้ ข้าก็จะไม่ต้องเห็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกแล้ว
ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังข้าก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง กระซิบเสียงเบาว่า “คุณชายเชิญกลับห้องพักเถิด”
ข้าหันกลับไปมองเสี่ยวซุ่นจื่อ ข้ามองแววตาของเขาออก เขามิต้องการให้ข้าโศกเศร้าเสียใจเพราะชาวบ้านอพยพเหล่านั้น แม้บนโลกนี้มีคนที่ข้านับถือชื่นชอบ แต่มีเพียงเสี่ยวซุนจื่อที่เป็นสหายรู้ใจของข้า ข้าหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้ารักตัวกลัวตายมาเสมอ เจ้าก็มิใช่ไม่รู้เสียหน่อย จะหวั่นไหวเพราะคนที่ไม่รู้จักเหล่านี้ได้เช่นไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อมิตอบวาจา เขายืนอยู่ด้านหลังข้ามิถอยจากไป ในใจข้ายิ่งรู้สึกอบอุ่น คำพูดที่กล่าวเมื่อครู่มิใช่ถ้อยคำปลอบโยนเสียทั้งหมด ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง ไร้กำลังคำนึงถึงสรรพชีวิตในใต้หล้า นอกจากตัวข้า ครอบครัวแลมิตรสหายข้างกาย สหายที่ร่วมงานกับผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ข้าก็มิมีปัญญาสนใจผู้คนนอกเหนือจากนี้
ยามนี้ฮูเหยียนโซ่วก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง “ใต้เท้า แม่ทัพซู ซูชิงหัวหน้าหน่วยสอดแนมทัพหน้าขอเข้าพบ”
ข้าพยักหน้า กล่าวว่า “เชิญแม่ทัพซูขึ้นเรือ”
ซูชิงเป็นแม่ทัพที่ข้านึกชื่นชมอย่างยิ่งคนหนึ่ง แม้เป็นสตรีแต่กลับเยือกเย็นและชาญฉลาดกว่าบุรุษจำนวนมาก อีกทั้งจิตใจยังโหดเหี้ยมไร้เมตตา ครั้งนี้ข้ากับฉีอ๋องเห็นพ้องต้องกันให้นางรับหน้าที่หัวหน้าหน่วยสอดแนมของทัพหน้า รับผิดชอบสืบข่าวทหาร ดักสังหารทหารสอดแนมและสายลับของกองทัพเป่ยฮั่น
ครั้งนี้นางคงเดินทางผ่านแม่น้ำชิ่นสุ่ยแล้วเห็นเรือรบของข้าเข้า จึงมาคารวะใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพเช่นข้าคนนี้กระมัง นี่เป็นธรรมเนียมที่มิได้จารเป็นอักษรในกองทัพ อีกทั้งกองทัพของพวกเรากับกองทัพเป่ยฮั่นยังมิได้เปิดศึกประจัญหน้ากัน ข้าจึงคาดว่าน่าจะมิมีข่าวทหารสำคัญเร่งด่วนอันใด
ไม่นานซูชิงก็ขึ้นมาบนเรือ เป็นเช่นข้าคาด มิมีข่าวเร่งด่วนอันใด แต่จากถ้อยคำของซูชิง ข้ากลับฟังออกว่าในใจนางมีข้อสงสัย เพื่อกวาดล้างรอบบริเวณ กองทัพหลวงจึงต้องวนเวียนอยู่ที่ชายแดนชิ่นโจวมาสิบกว่าวันแล้ว หากเดินทัพเต็มกำลังใช้เวลาเพียงสองวันก็จะบรรลุถึงจี้ซื่อ แต่เพื่อทำลายป้อมปราการกับค่ายของชาวบ้านให้สิ้น จวบจนวันนี้กองทัพหลวงก็ยังคงวนเวียนอยู่แถบนี้ กล่าวกันว่าออกศึกสำคัญที่ความเร็ว ไม่แปลกที่ในใจนางจะไม่เข้าใจ แต่นางมีนิสัยสุขุม จึงมิได้แสดงความคลางแคลงออกมาอย่างกระจ่างแจ้ง เพียงเผยความไม่พอใจเรื่องความเร็วของการเคลื่อนทัพเท่านั้น
ข้าไม่มีเจตนาจะอธิบายให้นางฟัง จึงถามขึ้นว่า “แม่ทัพซู สายลับของกองทัพเราที่ส่งไปอยู่ในหมู่ชาวบ้านอพยพเข้าไปในจี้ซื่อได้แล้วหรือยัง”
ซูชิงส่ายหน้า “จี้ซื่อป้องกันอย่างระมัดระวังยิ่งนัก พวกเขากันชาวบ้านอพยพทั้งหมดไว้นอกเมือง มิหนำซ้ำยังจัดที่พักให้พวกเขาตามภูมิลำเนาที่จากมา ทั้งยังให้พวกเขาตรวจสอบกันเองอีก แม้สายลับของพวกเราแฝงตัวมานานปีจึงมิถูกกำจัดด้วยเหตุนี้ แต่ก็เคลื่อนไหวยากลำบากนัก ข่าวสารมิอาจส่งออกมาได้ ยามบุกตีจี้ซื่อเกรงว่าคงมิมีประโยชน์
นอกจากนั้นผู้น้อยยังได้ข่าวว่า จี้ซื่อได้รับคำสั่งให้เคลื่อนย้ายชาวบ้านอพยพเหล่านั้นกับชาวบ้านธรรมดาในแถบจี้ซื่อเข้าไปยังชิ่นโจว เหลือแต่ชายหนุ่มบุรุษฉกรรจ์จำนวนหนึ่งไว้ช่วยป้องกันเมือง”
ข้าหัวเราะหยัน “ต้วนอู๋ตี๋เป็นอันดับหนึ่งแห่งการป้องกันของเป่ยฮั่น เขาคงเป็นผู้ออกความคิด พวกเขาตัดสินใจรับศึกด้วยการปิดเมืองเผานา รุกยึดทีละจุดกระมัง นี่ก็เป็นแผนการที่ไม่เลว ก้าวแรกของพวกเราแต่เดิมก็คือการกวาดล้างรอบบริเวณ ให้ระหว่างสองทัพรบกันมิมีชาวบ้านทั่วไปอยู่ พวกเขาทำเช่นนี้กลับช่วยพวกเราอีกแรง แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องทำอย่างไร้ทางเลือกด้วย หากมิทำเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ทัพหลวงของเราบุกตี จี้ซื่อก็คงถูกชาวบ้านอพยพตีเมืองแตกก่อน”
ซูชิงลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถามว่า “ใต้เท้า ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งมิเข้าใจ ชาวบ้านเหล่านี้มิมีภัยต่อแผนการใหญ่ เหตุไฉนใต้เท้าจึงจงใจกวาดล้างบริเวณรอบด้านก่อน หรือว่าต้องการคุกคามชาวบ้านเป็นการข่มขวัญก่อน ต้ายงของพวกเราเป็นแคว้นใหญ่โตยิ่งใหญ่ เหตุใดต้องใช้วิธีการเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้ยามต้ายงปกครองชิ่นโจว เกรงว่าคงมีอุปสรรคมากมาย”