ดวงตาข้าเปล่งประกายเจิดจ้า คิดไม่ถึงว่าซูชิงผู้นี้จะมีความคิดเห็นในด้านนี้ด้วย มิได้เก่งกาจแต่ในการเป็นจารชน ข้าตอบอย่างชื่นชม “แม่ทัพซูมองจุดนี้ออกเรียกได้ว่าสายตากว้างไกล การไล่ต้อนชาวบ้านขึ้นเหนือเป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้ สาเหตุประการสำคัญของเรื่องนี้ข้ามิอาจกล่าวให้ท่านฟังในยามนี้ ข้าให้ฉีอ๋องออกคำสั่งกองทัพอย่างเคร่งครัด พยายามมิสังหารผู้บริสุทธิ์ให้มากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวบ้านเกินครึ่งน่าจะหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย
ยิ่งไปกว่านั้น ชิ่นโจวเป็นแนวหน้าในการทำศึกระหว่างเป่ยฮั่นกับต้ายงมาตลอด ประชาชนในที่แห่งนี้แต่เดิมก็ค่อนข้างมองต้ายงเป็นศัตรู ดังนั้นต่อให้พวกเขาเคียดแค้นกองทัพเรามากกว่าเดิม พวกเราก็คงไปนั่งพะวงเรื่องนั้นมิได้ ก็เหมือนเช่นชาวบ้านเจ๋อโจว พวกเขาไยมิใช่ชิงชังเป่ยฮั่นยิ่งนัก!”
เวลานี้เอง ด้านหน้าก็พลันมีความวุ่นวายเกิดขึ้น ข้ามองไปตามสัญชาตญาณ ก็เห็นห่างออกไปสิบกว่าลี้ตรงโค้งแม่น้ำ พลันปรากฏเรือรบชักธงของกองทัพเป่ยฮั่น ข้าอดตกตะลึงมิได้ เป่ยฮั่นมิเคยสร้างกองทัพเรือมาก่อน กองเรือกองหนึ่งต้องสิ้นเปลืองเงินทองนับไม่ถ้วน สำหรับเป่ยฮั่นแล้ว อาชาศึกหาง่าย ทหารม้าก็ฝึกฝนง่าย แต่กองเรือกลับฝึกฝนยากยิ่งนัก
ดังนั้นที่ผ่านมานอกจากใช้เรือชาวบ้านขนส่งเสบียงกับอาวุธยามศึกสงคราม โดยปกติแล้วเป่ยฮั่นก็มิเคยใช้กองเรือทำศึกมาก่อน ข้าอดมิได้ เหลือบมองซูชิง นางอยู่เป่ยฮั่นมาหลายปี เหตุไฉนจึงมิทราบว่ามีกองทัพเรืออยู่ด้วย
ซูชิงหน้าเขียวเช่นกัน นางรับผิดชอบรวบรวมข่าวสารในเป่ยฮั่นแต่กลับมิทราบว่าในกองทัพเป่ยฮั่นมีกองเรืองกองนี้อยู่ นี่มิใช่เพียงผิดพลาดในหน้าที่อย่างใหญ่หลวง แต่ยังเป็นความน่าอับอายครั้งใหญ่ สายตาเย็นชาของนางมองข้ามผิวน้ำ ตอนนี้เรือรบด้านหน้าของกองทัพต้ายงก็เริ่มตั้งกระบวนทัพเตรียมรับศึกแล้ว แม้กองเรือของทัพต้ายงจะชำนาญการรบสู้กองเรือของหนานฉู่มิได้ แต่เมื่อเทียบกับกองเรือของเป่ยฮั่นที่มิเคยได้ยินข่าวคราวมาก่อนก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าพอสมควร
กองเรือเป่ยฮั่นแล่นลงมาตามลำน้ำ เพียงครู่เดียวก็มองเห็นชัดเจน เมื่อข้าเห็นเรือรบเหล่านั้น ในใจก็ร้องอุทานอย่างห้ามมิได้ นั่นคือเรือเหมิงชง[1]กับเรือโต้วเจี้ยน[2]ที่กองทัพเรือหนานฉู่ใช้เป็นประจำชัดๆ
การจะสร้างเรือรบลำหนึ่งอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเวลาหนึ่งปีครึ่ง เมื่อเพ่งดูก็พบว่าเรือรบเหล่านั้นเป็นของใหม่เอี่ยม ดูท่าตั้งแต่ก่อนศึกใหญ่ที่เจ๋อโจวเมื่อปีกลายก็คงเตรียมกองทัพเรือไว้แล้ว ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของกองทัพเรือ หนานฉู่น่าจะจัดหาช่างฝีมือให้ ยามนี้ขนส่งผ่านทะเลได้ ด่านเขาที่กั้นขวางย่อมมิใช่อุปสรรคอีกต่อไป ไม่แปลกที่เป่ยฮั่นจะสร้างกองเรือขึ้นมาได้เช่นกัน แต่เมื่อคิดถึงกำลังคนและกำลังทรัพยากรที่ต้องเสียไปกับเรื่องนี้ กองทัพเป่ยฮั่นกล้าได้กล้าเสียได้เช่นนี้นับว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว
แม้ยามนี้กองทัพเรามีเรือโหลวฉวน[3]หนึ่งลำ เรือรบอีกร้อยกว่าลำ แต่เมื่อเทียบกับเรือเหมิงชงและเรือโต้วเจี้ยนของกองเรือเป่ยฮั่น ด้านความเร็วกับการป้องกันก็ตกเป็นรอง ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพฝั่งเรายังอยู่ปลายน้ำ และมิได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน กองเรือของเจ๋อโจวกำลังรบมิได้แข็งแกร่งนัก ดูท่ากองทัพฝ่ายเราจะเสียเปรียบแล้ว
แม่น้ำชิ่นสุ่ยลำน้ำมิกว้าง ข้าเห็นเรือเหมิงชงที่หัวเรือติดอาวุธแหลม ตัวลำเรือทาน้ำมันเคลือบของฝั่งนั้นแบ่งออกเป็นสามแถว พุ่งเข้าชนเรือรบของกองทัพต้ายงก็อดถอนหายใจมิได้ นึกย้อนไปถึงภาพกองเรือยามทำศึกที่เคยเห็นเมื่อครั้งวันวานยามอาศัยในหนานฉู่ จากนั้นข้าก็ลังเลว่าสมควรสั่งการแม่ทัพกองเรือของต้ายงหรือไม่
เวลานี้ จวงหรู่ แม่ทัพผู้รับผิดชอบบัญชาการทัพเรือเจ๋อโจวมายืนข้างกายข้านานแล้ว เขามิมีเวลารอคำสั่งของข้า โยกธงออกคำสั่งกองทัพอย่างรวดเร็ว ข้ามองดูอยู่พักหนึ่งก็วางใจ ดูท่าคนผู้นี้จะมีประสบการณ์บัญชาการกองเรือมามาก ต่อให้อยู่ในหนานฉู่ก็สู้ได้ศึกหนึ่ง นับประสาอันใดกับกองเรือเป่ยฮั่นที่เพิ่งออกจากท่าครั้งแรก
เขาออกคำสั่งให้เรือรบต้ายงแหวกออก หลบการโจมตีซึ่งหน้าของกองเรือเป่ยฮั่น จากนั้นโจมตีจากสองฝั่งเต็มกำลัง เหนือแม่น้ำชิ่นสุ่ยพลันมีลูกศรบินว่อนดุจสายฝน การรบบนผืนน้ำศรเป็นอาวุธสำคัญ จากนั้นเรือเหมิงชงขนาดเล็กจำนวนมากก็ถูกปล่อยลงจากเรือรบ ใช้ข้อได้เปรียบด้านความเร็วของเรือเล็ก ทะลวงผ่านแนวป้องกันของทัพเรือเป่ยฮั่น เพียงพริบตาเดียวเหนือแม่น้ำชิ่นสุ่ยก็มีเสียงฆ่าฟันดังสะเทือนฟ้า หอกโล่ตวัดมืดฟ้ามัวดิน
ข้ามองสองกองทัพประจัญศึก แม้รูปแบบเรือจะมีส่วนได้เปรียบเสียเปรียบ ทักษะการรบของแม่ทัพก็มิเท่ากัน แต่ก็ยังมีจุดที่น่าดูชมอยู่บ้าง ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะทุ่มเทให้กองทัพเรือทั้งคู่ มิทราบเหตุใดข้ากลับนึกถึงหนานฉู่ ต้ายงกับเป่ยฮั่นล้วนพัฒนากองเรือ เห็นได้ว่าทั้งสองต่างทะเยอทะยานอยากมุ่งลงใต้ แต่หนานฉู่นอกจากทหารม้ากองหนึ่งที่เต๋อชินอ๋องก่อตั้งขึ้นโดยมิสนใจเสียงคัดค้านก็ยังคงใช้กองเรือกับพลเดินเท้าเป็นหลักเช่นเดิม
จากที่ข้าทราบมา หลังเต๋อชินอ๋องสิ้นใจ กองทหารม้าแห่งเซียงหยางก็ถูกราชสำนักลดทอนกำลังลงไม่น้อย ความเก่งกล้าสู้ก่อนหน้ามิได้อยู่มาก เพียงมองดูความทุ่มเทที่แต่ละแคว้นมีต่อกำลังทหารก็ทราบแล้วว่าหนานฉู่รั้งอยู่ท้ายสุด
ขณะที่ในใจข้าเศร้าหมองอยู่เลือนราง จวงหรู่ก็เข้ามาเอ่ยว่า “ใต้เท้า ผู้น้อยจะหลอกล่อให้กำลังหลักของกองทัพศัตรูตกอยู่กลางวงล้อม จำเป็นต้องใช้เรือโหลวฉวนเป็นตัวล่อ เชิญใต้เท้าหลบเข้าไปในอยู่ท้องเรือ หรือย้ายไปพักผ่อนบนเรือรบลำอื่นก่อนเป็นเช่นไร”
ข้ามองเขาด้วยแววตานิ่งสงบ จวงหรู่ อายุยี่สิบเจ็ดปี ใบหน้าค่อนข้างดำคล้ำ รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย เรือนร่างแข็งแกร่งกำยำ นิสัยสุขุมหนักแน่น เป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านกองเรือที่มีอยู่น้อยนิดในต้ายง จุดอ่อนเดียวก็คือนิสัยเถรตรงเกินไป ทนมองขุนนางบุ๋นผู้รักตัวกลัวตายมิได้เป็นที่สุด
ข้าถึงขั้นมองเห็นแววตาดูแคลนที่แฝงอยู่ในดวงตาของเขา เขายังประสบการณ์น้อย ในความคิดของเขา ข้าอาจเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่งที่ชำนาญการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายและมีโชคมิใช่ชั่วจึงได้รับความโปรดปรานจากเชื้อพระวงศ์ก็เท่านั้น ถึงอย่างไรเรื่องราวของข้าส่วนมากก็ซ่อนอยู่ในม่านหมอก แม่ทัพระดับเขามิอาจล่วงรู้ได้
ข้าจงใจมองข้ามความดูแคลนที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำของเขาแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ในเมื่อจะล่อเรือศัตรูมาสู้ ถ้าเช่นนั้นฮูเหยียนโซ่ว สั่งให้ราชองครักษ์หู่จีตะโกนดังๆ ตะโกนว่าผู้ตรวจการกองทัพแห่งค่ายใหญ่โจ๋อโจว ฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋ออยู่ที่นี่”
ฮูเหยียนโซ่วลังเลครู่หนึ่ง แต่ถูกน้ำเสียงเฉยชาแต่หนักแน่นของข้าข่มขวัญจึงออกคำสั่ง เขานำตะโกนเสียงดังเป็นคนแรก “ผู้ตรวจการกองทัพแห่งค่ายใหญ่เจ๋อโจว ฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋ออยู่ที่นี่ หากแม่ทัพฝ่ายศัตรูมีความกล้า กล้าออกมารบหรือไม่”
บนเรือบัญชาการของกองเรือเป่ยฮั่น แม่ทัพรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งดวงตาทอประกายเร่าร้อน เขาโบกแขนกล่าวว่า “นายทหารทั้งหลาย จับเป็นเจียงเจ๋อ ถล่มกองเรือเจ๋อโจวให้ราบ” พร้อมกับที่เขาออกคำสั่ง กองเรือเป่ยฮั่นก็โหมบุก สองกองทัพต่างประจัญบาญสุดชีวิต เรือรบเคลื่อนตัดกันไปมา บางครั้งก็มีเรือรบล่มจมสู่ผืนน้ำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เรือเหมิงชงสามลำของกองทัพเป่ยฮั่นก็พุ่งมาถึงข้างเรือโหลวฉวน มีทหารฝ่ายศัตรูไต่ขึ้นมาบนเรือโหลวฉวนแล้ว ข้าตะโกนเสียงดัง “ฮูเหยียนโซ่ว พวกท่านจงฟังคำสั่งของแม่ทัพจวง”
ดวงตาของจวงหรู่ฉายแววซาบซึ้งจางๆ จากนั้นออกคำสั่งอย่างต่อเนื่อง บัญชาการให้ทหารเรือบนเรือโหลวฉวนกับราชองครักษ์หู่จีทำศึก แม้ราชองครักษ์หู่จีเหล่านี้มิถนัดต่อสู้เหนือน้ำ แต่พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นนักรบผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังไปมาบนเรือโหลวฉวนได้ดั่งใจ อย่างน้อยระหว่างที่กระแสน้ำของแม่น้ำชิ่นสุ่ยนิ่งสงบก็เป็นเช่นนั้น ดังนั้นฝ่ายทหารเป่ยฮั่นจึงมีเพียงทหารกล้าจำนวนน้อยเท่านั้นที่บุกขึ้นเรือโหลวชวนได้สำเร็จ
จวงหรู่ผละตัวออกมาได้ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ใต้เท้า ที่แห่งนี้อันตรายเกินไป ท่านไปพักผ่อนที่ห้องพักก่อนเถิด” ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาจริงใจอย่างยิ่ง
ข้ายิ้มละไม เอ่ยเสียงดังชัด “แม้ผู้แซ่เจียงอ่อนแอ แต่มีทหารกล้าทั้งหลายของต้ายงเราคอยคุ้มกัน ไยต้องหวาดกลัวเป่ยฮั่นบุกโจมตี วันนี้ผู้แซ่เจียงจะอยู่ที่นี่ มองดูทุกท่านกำชัยเหนือทหารแคว้นศัตรู”
ทหารบนเรือกับราชองครักษ์หู่จีทั้งหลายเหล่านั้นต่างฮึกเหิมเป็นกำลัง ตะโกนโห่ร้องเสียงดัง “ใต้เท้าเชื่อมั่นในตัวพวกเรา พวกเราสู้ตาย”
ชั่วขณะนั้นเหล่าทหารสำแดงพลังอันกล้าแกร่ง บีบทหารเรือของเป่ยฮั่นที่บุกขึ้นมาบนเรือโหลวฉวนเหล่านั้นจนต้องถอยหนี หรือถูกสังหารตายจนสิ้น
ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมสายที่บัญชาการอยู่บนเรือเหมิงชงลำหนึ่งพลันตวาดดุดัน “ระวังศร” เสียงสายศรดีดผึง ลูกศรขนอินทรีสามดอกยิงเข้าใส่ใบหน้าของข้าไวว่องเหนือใดเปรียบ แม้แต่สายตาของข้าก็มองเห็นลูกธนูสามดอกนั้นเร็วประหนึ่งดาวตก
ทหารเรือกับราชองครักษ์หู่จีที่อยู่กั้นกลางระหว่างพวกเราสองคนตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ตั้งใจเข้ามาขวางลูกธนู ทว่ากลับช้าไปเสี้ยวหนึ่ง มีราชองครักษ์หู่จีคนเดียวเท่านั้นที่ตวัดดาบลงมาสะบั้นลูกศรดอกหนึ่งจนหักครึ่งสำเร็จ ถึงกระนั้นลูกศรท่อนหน้าอีกครึ่งท่อนกลับยังพุ่งเข้าใส่ข้าด้วยความเร็วที่ไม่ลดน้อยลง ขณะที่องครักษ์ผู้นั้นกลับง่ามมือสะเทือนอย่างรุนแรงจนดาบแทบหลุดจากมือ ระหว่างทั้งสองฝ่ายห่างกันเพียงยี่สิบกว่าจั้ง มิแปลกที่พวกเขาจะขวางมิสำเร็จ
ตอนที่ลูกศรสองดอกครึ่งนั่นกำลังจะตกต้องร่างนั่นเอง ทันใดนั้นเบื้องหน้าข้าพลันมีฝ่ามือขาวผ่องปานหิมะข้างหนึ่งโผล่มา นิ้วกลางดีดแผ่วเบา เสียงดังกังวานขึ้นสามครั้ง ลูกศรสองดอกครึ่งนั่นถูกกระแทกกลับไป ข้ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าเสี่ยวซุ่นจื่อปกป้องความปลอดภัยของข้าได้ ใบหน้าจึงไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย สายตาจับอยู่บนร่างแม่ทัพหนุ่มแห่งกองทัพเป่ยฮั่นผู้ยิงศรใส่ข้าผู้นั้น
ข้าหัวเราะเสียงดัง “หากผู้ใดนำศีรษะของคนผู้นี้มามอบให้ได้ ตกรางวัลทองคำห้าสิบตำลึง หากจับเป็นคนผู้นี้ได้ ตกรางวัลทองคำหนึ่งร้อยตำลึง”
ทุกคนยิ่งกระตือรือร้น ความกังวลที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเรืออันแข็งแกร่งอย่างกะทันหันมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในเมื่อแม่ทัพต้องการให้พวกเขาจับเป็นแม่ทัพศัตรู ดูท่าฝั่งตนคงครองความเหนือกว่าอย่างแน่นอนแล้ว ราชองครักษ์หู่จีผู้มีเสียงดังกังวานหลายคนตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพศัตรูผู้นั้นยอมแพ้แต่โดยดีเสียเถิด ทองคำร้อยตำลึงต้องเป็นของบิดา”
แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นหน้าเขียว บัญชาการให้พลทหารใต้บัญชาโจมตีเรือโหลวฉวนสุดกำลัง กองทัพทั้งสองโรมรันมิเลิกรา เสียงสังหารสะท้านสะเทือนถึงเมฆา
[1]เรือเหมิงชง เรือเร็วที่มีความสามารถในการป้องกันและโจมตีค่อนข้างดี
[2]เรือโต้วเจี้ยน เรือรบสมัยโบราณที่ค่อนข้างดีชนิดหนึ่ง บนลำเรือสร้างเป็นลักษณะคล้ายกำแพงเมืองมีช่องให้มองลอดขณะหลบหลังกำแพง ส่วนด้านล่างของลำเรือมีช่องสำหรับยื่นพายออกมา
[3] เรือโหลวฉวน เรือรบในสมัยโบราณของจีน ลำเรือสูงหัวเรือกว้าง มองจากภายนอกลักษณะคล้ายอาคารจึงได้ชื่อเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเรือลำใหญ่และมีความสูง โจมตีใกล้ไกลล้วนเหมาะทั้งสิ้น จึงเป็นกำลังหลักของกองเรือสมัยโบราณ