บทที่ 638 เทพธิดาชี้แนะหลี่ฉางโซ่ว (3)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 638 เทพธิดาชี้แนะหลี่ฉางโซ่ว (3)

อวิ๋นเซียวถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “จะเอ่ยเรื่องนี้ได้อย่างไร? หากเราไม่รักกัน ก็ออกจะเป็นการฝืนใจเกินไปสักหน่อย”

“เจ้าไม่ควรคิดเช่นนั้น”

หลี่ฉางโซ่วหยิบขวดหยกสองขวดออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วเติมสุราเซียนลงไป เขาผลักขวดหนึ่งในนั้นไปอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นเซียว

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า “ไม่ใช่ทุกความสัมพันธ์ที่จะสามารถตอบแทนกันได้ และไม่ใช่ทุกความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยความรักซึ่งกันและกัน บางครั้งความพากเพียรของคนคนหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนแปลงคนอีกคนหนึ่งได้

แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นก็คือ ทั้งสองคนมีบางอย่างที่เหมือนกัน พวกเขาเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีหัวข้อทั่วไปให้พูดคุยร่วมกัน”

เทพธิดาอวิ๋นเซียวใคร่ครวญอย่างรอบคอบ แล้วหยิบขวดหยกขึ้นมา นางสูดดมกลิ่นมันเล็กน้อย และหัวเราะออกมาเบาๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าสอนคำเหล่านั้นให้พี่ใหญ่ใช่หรือไม่?”

“นี่…แหะๆ”

“เจ้าพูดอะไรมากมายเพื่อให้สตรีมีความสุขได้อย่างไร?” อวิ๋นเซียวกล่าวเบาๆ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่นางหาได้ตำหนิเขาไม่

หลี่ฉางโซ่วยิ้ม เขาไม่อาจเอ่ยได้ว่าเขาได้เปรียบเรื่องข้อมูล

ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าคุ้นชินกับการวางแผน ดังนั้นข้าก็อาจจะคิดมากกว่านี้

ความจริงแล้ว เมื่อเป็นเรื่องของความรัก มันก็ไม่ควรมีแผนการมากมายนัก เฉกเช่นในตอนนี้ เมื่อข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้า ข้าก็สามารถใช้เวลาร่วมกับเจ้าเพื่อปลดปล่อยปัญหามากมายทั้งหมดในโลกมนุษย์ได้ และข้าก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากทีเดียว

ใช่แล้ว สุราเป็นอย่างไรบ้าง?”

“รสชาตินุ่มนวล และนุ่มนวลกว่าสุราผลไม้ที่น้องสาวปี้เซียวของข้าบ่มเองมาก” อวิ๋นเซียวเผยความคิดเห็นอย่างจริงจัง

“ทั้งยังมีกลิ่นอายของวิญญาณเซียนเทียนบางอย่างที่เชื่อมโยงกัน ทำให้ปราณวิญญาณของผู้คนมึนเมาเล็กน้อย ช่างเป็นสุรารสเลิศที่หาได้ยากยิ่ง”

“ดีที่เจ้าชอบ”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและหยิบไหหยกออกมาสองใบก่อนจะใช้พลังเซียนของเขาห่อหุ้มพวกมัน แล้วส่งไปวางไว้ข้างๆ อวิ๋นเซียว

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า “นี่คือ สุราชั้นเลิศ สุราห้าธาตุที่ข้ากำลังคิดอยู่เมื่อไม่นานนี้ มันถูกกลั่นขึ้นมาด้วยการรวบรวมพลังวิญญาณห้าธาตุ และควบแน่นด้วยน้ำค้างยามรุ่งอรุณ ส่วนอื่นๆ ได้ถูกผู้เป็นเซียนสุราในสำนักคว้าไปแล้ว หากเจ้าพอใจ ข้าจะกลั่นออกมาให้เจ้าอีกสักสองสามไหในภายหลัง”

ดวงตาของอวิ๋นเซียวฉายแววรื่นรมย์ออกมา นางดื่มสุราในจอกของนางและดวงตาของนางก็ค่อยๆ มึนงงเล็กน้อย…

“การได้อยู่กับเจ้าเช่นนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่หัวใจของข้าสงบสุขที่สุดเช่นกัน”

“หือ?” หลี่ฉางโซ่วตะลึงงัน

เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นนางยกมือขึ้นเพื่อจัดเส้นผมยาวข้างหู นางแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย เมื่อหันศีรษะไปมองทะเลที่เงียบสงบ

ลมทะเลพัดโชยมาและลมปราณวิญญาณบางเบาก็โอบล้อมรอบกายเขา แต่ม้วนภาพนั้นก็ได้ประทับตราตรึงอยู่ในใจของหลี่ฉางโซ่ว…

แต่แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

เขาเพียงนอนลงบนผ้าห่มและวางศีรษะเอาไว้บนมือของเขา เขามองไปที่เมฆบนท้องฟ้าและกดแขนของเขากับกระโปรงของเทพธิดาอวิ๋นเซียว

“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”

อวิ๋นเซียวเอ่ยถามเบาๆ และหันไปหาหลี่ฉางโซ่ว ในขณะนั้น เสี้ยวของอักขระเต๋าลึกลับก็แผ่กระจายออกมารอบๆ ร่างของนางเพื่อครอบคลุมความลับสวรรค์ ปกปิดสถานที่นี้

นางถามอย่างเป็นห่วงว่า “มีปัญหาใดไม่สบายใจหรือไม่? หากเจ้าบอกข้าได้ ข้าก็สามารถตัดสินใจให้เจ้าได้เช่นกัน”

“เรื่องที่ข้ากำลังวุ่นวายอยู่ในตอนนี้คือ การช่วยเหลือศาลสวรรค์ให้เจริญรุ่งเรือง ทุกเรื่องที่ข้ากำลังจัดการนั้น ไม่มีสิ่งใดยากเกินไป

ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้สร้างความก้าวหน้าในขอบเขตของข้า นอกจากนี้ ข้าก็ได้ยินเรื่องบางอย่างจากราชินีจอมปราชญ์หนี่วาที่วังเซิ่งหมู่ของนาง ข้ายังมีปัญหายุ่งยากในใจที่ไม่อาจตอบได้มาตลอด”

อวิ๋นเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและยิ้ม “เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติหรือไม่?”

“ภัยพิบัติหรือ?” หลี่ฉางโซ่วตะลึงงันเล็กน้อย

“ใช่ ข้าหยั่งรู้ได้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ในสำนักบำเพ็ญเต๋า แต่ความลับสวรรค์เกี่ยวกับภัยพิบัตินั้น ได้ถูกปกปิดเอาไว้” อวิ๋นเซียวกล่าวอย่างอ่อนโยน

“นั่นคือ เหตุผลที่ข้ากักขังน้องสาวทั้งสองคนเอาไว้บนเกาะ ข้าไม่ต้องการให้พวกนางออกไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ข้างนอก”

“ข้าเข้าใจแล้ว…”

หลี่ฉางโซ่วคิดว่า อวิ๋นเซียวหยั่งรู้ถึงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพได้ ระดับพลังของนางสูงยิ่ง ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่นางจะมีลางสังหรณ์เช่นนี้

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งที่รบกวนข้าให้วุ่นวายใจคือ เต๋าสวรรค์”

“เต๋าสวรรค์หรือ?”

“ใช่แล้ว เต๋าสวรรค์” หลี่ฉางโซ่วกล่าว

“ตอนนี้ ข้าอยู่ในแวดวงแปลกๆ เฉกเช่นศาลสวรรค์ ข้ามีส่วนร่วมในเรื่องสำคัญของในระหว่างสวรรค์และปฐพี ซึ่งผลลัพธ์ของสิ่งที่ข้าทำนั้น สอดคล้องกับผลลัพธ์ของการหยั่งรู้ถึงความลับสวรรค์

ตัวอย่างเช่น เมื่อศาลสวรรค์ยอมรับเผ่ามังกร ข้าก็กลายเป็นตัวหมากในนั้นที่ช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายได้มาก

ทว่าเมื่อคิดในอีกมุมมองหนึ่ง ข้ากำลังคิดถึงการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์จริงๆ

หากตอนนี้ ข้าต้องการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านสถานการณ์ในวันหนึ่ง ตามกระแสในใจของข้า และลงมือทำสิ่งนั้น ความคิด ‘กลับด้าน’ หรือ ในทางตรงกันข้ามเช่นนี้ มันจะส่งผลให้นำไปสู่การเปิดเผยความลับสวรรค์ออกมาหรือไม่?

สิ่งมีชีวิตมีทางเลือกภายใต้เต๋าสวรรค์หรือไม่?”

อวิ๋นเซียวเอียงศีรษะเล็กน้อยและจมดิ่งลงไปในภวังค์แห่งความคิดเช่นกัน

หลี่ฉางโซ่วหลับตาลงช้าๆ และถอนหายใจพร้อมกับเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องคิดมาก นี่เป็นเพียงความคิดอย่างไร้แบบแผน มันอาจจะเกิดขึ้นมาในสวรรค์และปฐพีและไม่อาจหนีพ้นไปจากการควบคุมของเต๋าสวรรค์ได้”

“เจ้าลืมเรื่องเส้นทางหนีแล้วหรือไม่?” อวิ๋นเซียวถามอย่างอ่อนโยน

หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “แน่นอนว่า ข้าจำได้ แต่ผู้ใดจะรับรองได้ว่า ข้าจะกลายเป็นตัวแปรที่สามารถทะลวงขีดจำกัดของความลับสวรรค์ในทุกๆ เรื่องได้?”

อวิ๋นเซียวยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ครั้งหนึ่ง ข้าได้เคยเห็นการกำเนิดและเปลี่ยนแปลงของเต๋าสวรรค์ มีเต๋าใหญ่นับไม่ถ้วนมาบรรจบรวมกันในระหว่างสวรรค์และปฐพี พวกมันพัวพันกันและถักทอ ก่อตัวขึ้น กลายเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์และปฐพี

ตอนนี้ เจ้ารู้สึกว่า ถูกเต๋าสวรรค์ผูกมัด ความจริงแล้ว บรรพาจารย์เต๋าน่าจะจัดการบางอย่างให้เจ้าและเต๋าสวรรค์เองก็ไม่มีความประสงค์ใดๆ เลย

เมื่อคิดเรื่องนี้จากมุมมองนี้ ทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจขึ้นหรือไม่”

“ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้จากมุมมองนี้มาก่อนเลย…”

ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเปล่งประกาย

อวิ๋นเซียวกล่าวว่า “เจ้ารู้จักหลักคำสอนของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยหรือไม่”

หลี่ฉางโซ่วพึมพำว่า “สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนได้รับโอกาสการอยู่รอดเส้นทางหนึ่ง”

“ใช่” อวิ๋นเซียวยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าชอบที่จะมีความรู้สึกปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา มันมากจนเจ้าไม่อาจไว้ใจผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์ทั้งหมด

ทว่าบางครั้ง โอกาสการอยู่รอดเส้นทางหนึ่งนี้ ก็อาจไม่ใช่ของเจ้า

การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และฝ่าฟัน เอาชนะอุปสรรคและความยากลำบากไปด้วยกัน นี่คือ หลักธรรมที่ท่านอาจารย์ได้พร่ำสอนเราผู้เป็นศิษย์”

หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อยและใคร่ครวญถึงคำพูดเหล่านั้นอย่างรอบคอบ แม้เขาจะไม่รู้สึกถึงการรู้แจ้ง แต่เขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถือเชือกหนึ่งเส้น[1]…

“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

หลี่ฉางโซ่วหัวเราะออกมาดังๆ

“การพูดคุยกับปรมาจารย์อาวุโส ช่างมีประโยชน์ต่อการฝึกบำเพ็ญของข้าจริงๆ!”

“ตอนนี้ เจ้ารู้ว่าข้าเป็นผู้อาวุโสอีกครั้ง” อวิ๋นเซียวแค่นเสียงกล่าวเบาๆ แต่มีรอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้าของนาง

ในยามนี้ ท่ามกลางเมฆขาวและคลื่นเบาๆ ทั้งสองอยู่ด้วยกันเงียบๆ ภายใต้ร่มเงาของป่าริมทะเล

พวกเขาจะพูดคุยถึงเรื่องที่น่าสนใจเป็นครั้งคราว ดีดพิณและเป่าขลุ่ย แล้วปล่อยเวลากลายเป็นดั่งแสงและเงาโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังไม่ได้สังเกตเห็นยามอาทิตย์อัสดงบนฟ้าทางทิศตะวันตกและดวงดาราพร่างพรายที่ประดับประดาอยู่ดารดาษในราตรีกาล

เวลาเดียวกันนั้น…

ในมหาสหัสโลกธาตุที่อยู่ใกล้กับดินแดนเทวะทั้งห้า มีร่างสองสามร่างได้พบปะกันอย่างสำเร็จราบรื่น…

………………………………………………………………..

[1] ความหมายมีนัยทำนองว่าถูกพันธนาการ ถูกผูกมัด