บทที่ 637 เทพธิดาชี้แนะหลี่ฉางโซ่ว (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 637 เทพธิดาชี้แนะหลี่ฉางโซ่ว (2)

“คำเตือน” ประเภทนี้เกี่ยวกับความสามารถของจอมปราชญ์ เป็นหัวข้อที่จำเป็นต้องมีในการพบกันทุกครั้งอยู่แล้ว

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน พวกเขาทั้งสองคนก็มาถึงหลุมดินที่หลี่ฉางโซ่วเคยอยู่มาก่อนหน้านี้

เทพธิดาอวิ๋นเซียวโค้งคำนับและเรียกพวกเขาว่า ศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิง และศิษย์น้องหญิงตามลำดับ จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วและมองไปยังฉยงเซียวที่อยู่ข้างๆ…

ในขณะที่นางกำลังจะพูด ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ยกมือขึ้นและดึงแขนเสื้อของเทพธิดาอวิ๋นเซียวเบาๆ และกล่าวว่า “เวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะสั่งสอนฉยงเซียวต่อหน้าผู้อื่น”

อวิ๋นเซียวสลายพลังขับเคลื่อนที่กำลังจะปะทุขึ้นของนางและถอนหายใจออกมา

“หลังจากนี้ จงตามข้ากลับไปฝึกบำเพ็ญที่เกาะ ห้ามออกมาเที่ยววิ่งเล่นข้างนอก ระดับฐานพลังของเจ้าเกือบจะเหนือกว่าปี้เซียวแล้ว”

“เจ้าค่ะ พี่สาว”

ฉยงเซียวกล่าวอย่างเสียใจและแอบประสานมือคารวะเพื่อขอบคุณหลี่ฉางโซ่ว

ในขณะนั้น อวิ๋นเซียวอดจะมองออกไปที่ด้านนอกหลุมไม่ได้…

เมื่อมองไปที่ข้างๆ สระสมบัติ บัดนี้ จ้าวกงหมิงได้เล็มหนวดเคราของเขาและเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อคลุมยาว เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่ดูสูงส่งสง่างามและร่างกำยำที่ทรงพลังเต็มที่จนสุดขีดขั้ว

เมื่อมองไปทางเทพธิดาจินกวง วันนี้ นางมีเส้นผมยาวที่ดูทรงเสน่ห์แบบผู้เจริญวัยเต็มที่แล้ว รูปร่างหน้าตาที่วิจิตรงดงามของนาง ใบหน้างามขนาดเท่าฝ่ามือ และชุดกระโปรงยาวที่เข้ากับส่วนเว้าส่วนโค้งแห่งเรือนร่างของนาง…

แน่นอนว่า รูปแบบการแต่งตัวของนางมาจากถุงผ้าปัก มันเป็นคำแนะนำที่เกี่ยวข้องซึ่งได้รับมาจากเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ซึ่งไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยนามของเขา หลังจากที่เขาได้ศึกษาความชื่นชอบของ จ้าวกงหมิงมาแล้วอย่างถี่ถ้วน

ในขณะนั้น อาจารย์ลุงจ้าว และเทพธิดาจินกวงอยู่ห่างกันเก้าฉื่อ พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนหัวข้อและยังคงสร้างอารมณ์ของพวกเขา

อาจารย์ลุงจ้าวกล่าวบัดเดี๋ยว “เอ๋” และ บัดเดี๋ยว “นี่” ตะกุกตะกักและชะงักงันไปเช่นนี้เป็นเวลานาน ส่วนเทพธิดาจินกวงก็รับรู้และรับคำโดยกล่าวว่า “อืม” และ “ดี” อยู่สักพัก แต่นางไม่อาจเอ่ยอะไรต่อไปได้

ดังนั้น อาจารย์ลุงจ้าวจึงกล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องหญิง ข้าขออภัยที่ล่วงเกินด้วย”

“หือ?”

เทพธิดาจินกวงผงะงันไปชั่วครู่ และทันใดนั้น นางก็รู้สึกถึงแสงสีฟ้าสว่างวาบต่อหน้าต่อตานาง แล้วไข่มุกเทพทะเลหลายเม็ด ก็ปรากฏขึ้นรอบๆ กายนาง ปิดผนึกสัมผัสเซียนรับรู้ของนาง และตรึงร่างของนางเอาไว้ให้อยู่กับที่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้น นางก็หมดสติไป

เหล่าผู้เป็นเซียนในถ้ำล้วนตะลึงงัน

ฉยงเซียวอดจะร้องอุทานดังว้าว และชื่นชมออกมาไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ ท่านเป็นคนตรงถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”

นักพรตเต๋าตั๋วเป่าขมวดคิ้วเล็กน้อย “มันไม่ดูแย่ไปสักหน่อยหรือ? เพราะอย่างไรเสีย นี่มันในยามกลางวันแสกๆ และท้องฟ้าก็สว่างโร่เช่นนี้ ทั้งยังมีศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงเฝ้าดูอยู่เป็นจำนวนมาก…

แม้ว่าศิษย์น้องหญิงจินกวงจะเต็มใจ แต่เรื่องนี้ … ”

“จริงๆ หรือ” เทพธิดากุ่ยหลิงยกมือขึ้นปิดตา แล้วปล่อยให้ดวงตามองเห็นรอบข้างได้เล็กน้อยไว้ในระหว่างนิ้วนาง

จ้าวกงหมิงก้าวออกไปข้างหน้าอีกครั้ง…

อวิ๋นเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยและกำลังจะปรากฏตัวออกไปเพื่อหยุดเขาทันที

ในขณะนั้น บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยมากมาย ล้วนกลั้นหายใจและแอบเอ่ยว่า ‘คาดไม่ถึง คาดไม่ถึงจริงๆ ‘ ‘น่าตื่นเต้นมาก น่าตื่นเต้นจริงๆ’ ด้วยความรู้สึกทึ่งและคาดไม่ถึง

แต่อาจารย์ลุงจ้าว ก็เลื่อนไถลได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว แล้วไปปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของเทพธิดาจินกวง เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหยิบม้วนตำราอีกม้วนออกมา หลังจากเปิดมันแล้ว เขาก็อ่านมันอย่างระมัดระวังและผงกศีรษะซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง และบัดนี้เขาก็มีความมั่นใจมากขึ้นอีกครั้งดุจมีไม้ไผ่อยู่ในอก[1]!

จากนั้น เขาก็หันกลับมาปรากฏกายที่เดิมก่อนจะหยิบไข่มุกเทพทะเลออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแล้วคลี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ศิษย์น้องหญิง เจ้าชื่นชอบบทกวีและภาพวาดตันชิง[2]หรือไม่?”

เทพธิดาจินกวงกะพริบตา แม้นางจะตกตะลึงเล็กน้อย แต่นางก็ยังยิ้มอย่างเขินอายและพยักหน้ารับ

จ้าวกงหมิงพูดไม่ออก

บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยล้วนพูดไม่ออก

ในวิหารใหญ่แห่งหนึ่ง มีร่างหนึ่งกระโดดออกมาจากสามอาณาจักร และไม่ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของห้าธาตุ แล้วซ่อนอยู่ในเต๋าใหญ่ นักพรตเต๋าหนุ่มในชุดเสื้อคลุมเต๋าลายเมฆสีแดง ถือกระบี่ชิงผิงเอาไว้ในมือของเขา กำลังจะรีบออกไปจากวิหารใหญ่

แต่โชคดีที่เขาถูกเหล่าเซียนทั้งเจ็ด[3]เกลี้ยกล่อมและห้ามปรามเอาไว้ได้

“ท่านอาจารย์ โปรดระงับโทสะ โปรดระงับโทสะด้วยขอรับ”

“ศิษย์พี่กงหมิงหาได้หยาบคายไม่ ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวลขอรับ”

“เจ้าศิษย์ทรยศผู้นี้! ข้าโกรธที่เขาไม่หยาบคายหรือ? อาจารย์ ให้ไข่มุกเทพทะเลแก่เขาเพื่อให้เขาทำเช่นนี้หรือ? เฮ่ย! ข้ายังเดือดดาลยิ่ง!”

แน่นอนว่า พวกคนภายนอกจะไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้

……

ครึ่งชั่วยามต่อมา…

เมื่อเหตุการณ์จบลง เหล่าผู้คนบนเกาะเต่าทองต่างก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไป และจากนั้น ร่างทั้งสองก็ได้พบกันอีกครั้งบนชายฝั่งทะเลบูรพา

พวกเขาขี่เมฆผ่าน ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว และพบชายหาดที่เงียบสงบ จากนั้นก็เดินเล่น พูดคุยกัน แล้วในที่สุดพวกเขาก็เข้าไปในสถานที่ร่มรื่น และมีผืนทรายขาวเป็นดั่งผ้าห่มคลุมร่าง

บุรุษประสานมือคารวะในขณะที่สตรีโค้งคำนับให้ ทั้งสองคนนั่งลงและอยู่ห่างกันมากกว่าหกฉื่อ

นั่นคือ คำเชิญของหลี่ฉางโซ่ว และอวิ๋นเซียวก็มาที่นี่เพื่อพบกับ “ร่างหลัก” ของหลี่ฉางโซ่ว

ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สามารถทำสิ่งต่างๆ เช่น สังหารและวางเพลิงได้ และเมื่อเขาฝังวิญญาณเอาไว้ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็สามารถรู้สึกได้เล็กน้อย

แต่มันก็เหมาะสมกว่าที่เขาจะใช้ร่างหลักในการพูดคุยกับเทพธิดาอวิ๋นเซียว ตั้งแต่บทกวีและบทเพลงไปจนถึงสิ่งต่างๆ เช่น สายลม บุปผา เหมันต์ จันทรา[4]

สถานที่แห่งนี้ อยู่ไม่ไกลจากสำนักตู้เซียน หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น เขาก็สามารถซ่อนตัวในยอดเขาหยกน้อยได้ทันเวลา…

แค่กๆ มาพูดอะไรไม่เหมาะสม

หลี่ฉางโซ่วพบว่า ยิ่งเขาอยู่ในโลกบรรพกาลนานเท่าใด เขาก็ยิ่งมีความต้านทานต่อชุดกระโปรงเทพธิดาที่พลิ้วไหวได้น้อยลงเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยามที่อวิ๋นเซียวนั่งลง ชายกระโปรงของนางบานราวกับดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง และทุกรอยพับก็เป็นเหมือนรอยประทับเมื่อกลีบดอกซ้อนทับกัน ซึ่งย่อมไม่มีวันเบื่อที่จะมองมัน

แน่นอนว่า พวกเขาทั้งสองคนยังไม่ถึงขั้นรักกัน และประโยคเด็ดที่ว่า “เจ้างดงามยิ่ง” นั้นก็ไม่อาจบรรลุผลที่ดีที่สุดได้…

ในยามนั้น พวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันถึงเรื่องจ้าวกงหมิงและเทพธิดาจินกวงอยู่พักหนึ่ง อวิ๋นเซียวรู้สึกว่าในเวลานี้ การแต่งงานของอาจารย์ลุงจ้าว ยังเป็นการฝืนบังคับใจกันอยู่เล็กน้อย และหลี่ฉางโซ่วก็พยักหน้าเห็นด้วย

ในขณะนั้น จ้าวกงหมิงและเทพธิดาจินกวงได้พบกันและตกลงที่จะเดินทางไปนอกโลกด้วยกัน พวกเขาทั้งสองคนได้ตกลงปลงใจที่จะคบหาดูใจและใช้เวลาร่วมกันระยะหนึ่ง หากพวกเขารู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องการเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าอีกต่อไปเลย…

………………………………………………………………..

[1] เมื่อจะกระทำการ ก็ได้ตระเตรียมการ หรือมีแผนการ มีข้อมูลเตรียมการเอาไว้อย่างละเอียดรอบคอบแล้ว

[2] ภาพวาดวิจิตรงดงามที่ลงสีพูกันชั้นสูง

[3] หมายถึง เจ็ดผู้เป็นเซียน ซึ่งเป็นศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งนอกเหนือจากกลุ่มศิษย์หลักทั้งสี่ (นักพรตเต๋าตั๋วเป่า เทพธิดาจินหลิง เทพธิดาอู๋ตั้ง และเทพธิดากุ่ยหลิง) ภายใต้ปรมาจารย์ทงเทียน เจ็ดผู้เป็นเซียนเหล่านี้ มีเซียนอู้หยุน เซียนห่วงทองคำหม่าซุ่ย เซียนผีหลู เซียนหลิงหยา เซียนฉิวโฉ่ว เซียนจินกวง และเซียนฉางเอ๋อร์ติงกวง

[4] เปรียบเปรยถึงความรัก และบางที่ ยังเปรียบเปรยถึงบทประพันธ์หรือโคลงที่ประดิดประดอยด้วยสำนวนพรรณนาน้ำท่วมทุ่ง