บทที่ 636 เทพธิดาชี้แนะหลี่ฉางโซ่ว (1)
เฮ้อ มิตรแท้ในยามยากนั้นคืออะไร?
ในขณะนั้น เหล่าผู้เป็นเซียนหลายร้อยคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยซึ่งกำลังเฝ้าดูความตื่นเต้นครึกครื้นบนเกาะเต่าทอง พวกเขาต่างแสดงความรู้สึกขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจผ่านสัมผัสเซียนรับรู้ของพวกเขาให้แก่ผู้เป็นเซียนชราที่มีผมสีขาวและหนวดเคราสีขาวซึ่งเริ่มต้อนรับอยู่ที่ปลายอีกด้านของถ้ำ
แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่ารูปลักษณ์ของเทพแห่งอำนาจธรรมดาของศาลสวรรค์ แต่รูปร่างของเขาก็ปลอม เสียงของเขา และเคราของเขาก็ปลอม…
ทว่าความกล้าหาญและความไม่เกรงกลัวในการก้าวออกไปข้างหน้าในช่วงเวลาแห่งอันตรายนี้ก็เป็นเรื่องจริง!
เทพวารีแห่งศาลสวรรค์ หลี่ฉางเกิง เป็นพี่ชายที่ดีของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยจริงๆ!
เมื่อครู่ก่อน… เทพธิดาอวิ๋นเซียวได้ปรากฏตัวขึ้นที่ปลายอีกด้านของถ้ำ นางสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ มีชุดด้านในสีเขียวอมฟ้าและมีเรือนร่างเพรียวบางงดงามยิ่งนักจนไม่อาจลดน้อยลงไปได้เลย
เส้นไหมสีดำสามพันเส้น[1]ของนางอ่อนนุ่มราวกับโอบไว้ด้วยความอ่อนโยนดุจสายน้ำ และดวงตาของคู่สวยนางก็ดูอ่อนโยน แต่พวกมันล้วนแฝงไปด้วยความหมายที่แท้จริงแห่งเต๋าใหญ่ นอกจากนี้ยังมีความสูงส่งสง่างามบางเบาที่ทำให้ผู้คนกล้ามองนางจากระยะไกลเท่านั้น แต่ไม่กล้าเข้าใกล้นาง…
โลกมีความอิสระ ไม่มีความคล้ายคลึงกัน ความเป็นนิรันดรนั้นยาวนานและโดดเดี่ยวอ้างว้าง
เดิมทีเขาไม่ได้สนใจไถ่ถามเรื่องของโลกมนุษย์ แต่กลับไม่อาจควบคุมจิตใจและอารมณ์ของเขาเองได้
หากไม่ใช่เป็นเพราะอวิ๋นเซียว แล้วผู้ใดเล่าจะทรงเสน่ห์ได้เพียงนี้ ถึงขนาดที่สามารถทำให้หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งหัวใจเต๋าของเขาได้ถูก “ภาพจักรพรรดินีชราไป่เหมย” ปิดผนึกเอาไว้ กลับมีอารมณ์ผันผวนปรวนแปรไปอย่างเห็นได้ชัด?
หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นเซียว แล้วจะมีสักกี่คนที่สามารถทำเช่นนั้นได้? เพียงทันทีที่ปรากฏตัว ก็สามารถทำให้หลุมดินที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังเวทของนักพรตเต๋าตั๋วเป่า เงียบกริบ สามารถได้ยินแม้แต่เสียงเข็มเล่มหนึ่งร่วงหล่น?
บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยที่มาเพื่อกินแตง[2]และเฝ้าดูการซุบซิบอยู่ที่นี่ ก็กำลังคิดถึงปัญหาในเวลาเดียวกัน…
ครั้งสุดท้ายที่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ด้วยกันเยี่ยงนี้ พวกเขาก็มากินแตงและเฝ้าดูการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอวิ๋นเซียว และเทพวารี ฉางเกิง!
บัดนี้ ตัวละครเอกมาอยู่ที่นี่แล้ว
จากนั้น… นักพรตเต๋าตั๋วเป่าก็ถอยกลับไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเทพธิดาจินหลิง
เทพธิดาจินหลิงเบือนสายตาของนางออกไปอย่างสงบและเริ่มศึกษารูปแบบลึกลับของ “อนุภาคดิน” ภายในถ้ำ
เทพธิดากุ่ยหลิงเม้มปากของนาง นางได้เตรียมกลอุบายที่นางมักจะใช้เพื่อจัดการกับคำตำหนิของอาจารย์ของนางเอาไว้พร้อมแล้ว…
ฉยงเซียวก็มาถึงแล้วเช่นกัน นางกำลังจะจัดการตัวเองให้ครบจบในขั้นตอนเดียวด้วยการร้องไห้และบีบหูอยู่แล้ว และนางก็มองอย่างสมเพชไปยังตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วที่กำลังเตรียมฆ่าตัวตายด้วยการเผาตัวเอง
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจ หากเขาไม่ยืนขึ้นและก้าวออกไปข้างหน้า แล้วจะมีผู้ใดทำได้อีกเล่า?
“เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน” มีเสียงหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งทำลายความเงียบในถ้ำ
หลี่ฉางโซ่วถือแส้หางม้าและเดินออกไปข้างหน้า เขาใช้ฝีเท้าพลังตัวเบาบางอย่างและร่างของเขาปลิวไปต่อหน้าเทพธิดาอวิ๋นเซียว ราวกับสายลมโชยเอื่อย
การก้าวของเขาทั้งหมดได้เสร็จสิ้นในคราวเดียว มันราบรื่นและเป็นธรรมชาติราวกับเมฆลอย สายน้าไหล เพียงแค่มองดู ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ
หลี่ฉางโซ่วโบกแส้หางม้าและกล่าวว่า “ในเมื่อมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ เช่นนั้นก็อย่านับว่านี่เป็นการพบกันที่ควรเกิดขึ้นทุกๆ ห้าร้อยปี”
ใบหน้าที่ไม่พึงพอใจมาแต่เดิมของอวิ๋นเซียว บัดนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่
“เหตุใดพวกเจ้าถึงมาแอบดูแอบฟังที่นี่?”
อวิ๋นเซียวกล่าวเบาๆ ว่า “นั่นไม่หยาบคายไร้มารยาทเกินไปสำหรับพวกเขาสองคนหรอกหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “สหายเต๋า เจ้ากังวลเรื่องนี้มากเกินไป นี่เป็นเรื่องธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตเช่นกัน
ในทางกลับกัน บรรยากาศที่ผ่อนคลาย มีชีวิตชีวา และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งระดับบนและระดับล่างของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยนั้น ช่างหาได้ยากอย่างยิ่งในสายตาของข้า ในฐานะของศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
ใช่แล้ว ให้ข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ของข้าเองก่อน”
ขณะกล่าว หลี่ฉางโซ่วก็หยิบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกมาจากแขนเสื้อของเขาและเปลี่ยนมันให้มีใบหน้าเป็นนักพรตเต๋าหนุ่ม จากนั้นเขาก็เก็บตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในรูปเซียนชราไป
ในขณะนั้น มุมปากของอวิ๋นเซียวหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม แล้วนางก็กล่าวต่อว่า “มันไม่ดูดีเท่ารูปลักษณ์เดิมของเจ้า”
หลี่ฉางโซ่วดูรู้สึกผิดเล็กน้อยและกล่าวเบาๆ ว่า “นั่นเป็นความลับของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่ไม่อาจเปิดเผยได้ง่ายๆ”
จากนั้นเขาจึงผายมือทำท่าเชื้อเชิญ แล้วอวิ๋นเซียวก็เดินกลับไปยังถ้ำดินที่นางเคยอยู่
ระหว่างทาง เส้นทางสายนี้สั้นนัก มันเป็นเพียงระยะทางสองสามร้อยฉื่อเท่านั้น ทุกครั้งที่อวิ๋นเซียวเดินผ่าน “ถ้ำสังเกตการณ์” นั้น นางก็จะกวาดสายตามองไปรอบๆ
เหล่าผู้เป็นเซียนที่อยู่ข้างในนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง หรือมีอาวุโสเพียงใด พวกเขาก็ล้วนไม่กล้ามองสบตานาง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ยังรู้สึก… ผิด ไม่มากก็น้อย
บรรดาเซียนหลายคนต่างแสร้งทำเป็นพูดคุยกันและเปลี่ยนหัวข้อ พวกเขาจะพูดถึงเครื่องมือเวทและการฝึกบำเพ็ญอีกด้วย
“ศิษย์หลานอวี๋หยวน ดูเหมือนว่า มีดเทพแปลี่ยนโลหิตที่เจ้าเพิ่งหลอมขึ้นมา จะทรงพลังมากทีเดียว ไว้พวกเรามาหารือกันสักวันดีหรือไม่?”
“ได้ขอรับ เเน่นอนขอรับ”
“ศิษย์พี่หลัวเซวียน ท่านจัดการศพดีแล้วหรือไม่? ท่านไม่ได้เข้าปิดด่านมาหลายหมื่นปีแล้ว และยังไม่เข้าใจส่วนสำคัญใช่หรือไม่?”
“มันยากเหลือเกิน ลำบากยุ่งยากจริงๆ…”
นอกจากนี้ ยังมีเซียนที่กล่าวถึงข่าวล่าสุด
“ปีศาจพวกนี้โชคร้ายจริงๆ พวกมันยังกล่าวว่า พวกมันต้องการเปิดสงครามกับศาลสวรรค์ ข้ายังสงสัยว่าพวกมันไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด?”
“เฮ้อ ย้อนกลับไปในตอนนั้น ลูกพี่ลูกน้องของข้าจากเคหาสน์ถ้ำที่อยู่ข้างๆ มีมิตรภาพสนิทแน่นแฟ้นกับราชาปีศาจใหญ่แห่งดินแดนเทวะอุดร ตอนนี้ ข้าไม่รู้ว่า กรรมนี้จะส่งผลถึงเราหรือไม่?”
“สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอยู่เบื้องหลังศาลสวรรค์ ไม่ว่าเผ่าปีศาจจะทำอะไรก็ไร้ประโยชน์ พูดกันตามตรงย่อมจะดีกว่า…”
เมื่ออวิ๋นเซียวได้ยินเช่นนั้น นางก็มองไปที่หลี่ฉางโซ่วอย่างกังวลและถามอย่างอ่อนโยนว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าหยั่งรู้ได้ว่า เจ้าถูกเรียกตัวไปที่วังเซิ่งหมู่ของเทพีหนี่วาเพราะพวกเผ่าปีศาจ มีปัญหาอันใดหรือไม่?”
หลังจากได้ยินคำพูดของนาง หลี่ฉางโซ่วก็มีสีหน้าซับซ้อนขึ้นมาทันที
วังเซิ่งหมู่ของเทพีหนี่วา… นั่นก็เป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน…
อวิ๋นเซียวรีบถามว่า “เกิดอันใดขึ้น? เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“ไม่หรอก ข้าเพียงถูกราชินีจอมปราชญ์หนี่วาตำหนิเท่านั้น”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่นและกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าคิดถึงมันแล้ว เมื่อข้าถอดเสื้อคลุมเต๋านี้ออกแล้ว ข้าก็รู้สึกเต็มไปด้วยความกล้าหาญมากจริงๆ ข้ายังกล้าวางแผนต่อต้านต่อหน้าจอมปราชญ์ ทว่าในที่สุด ราชินีจอมปราชญ์ก็มองทะลุผ่านเห็นข้าได้อย่างรวดเร็ว
ข้ามั่นใจอยู่แล้วว่า ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร ข้าไม่คาดคิดว่า ข้าจะยังคงทำอะไรแบบร้อยแน่นหนาหนึ่งเบาบาง[3]
เฮ้อ…” เขากล่าวพลางถอนหายใจ
อวิ๋นเซียวเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางไม่อาจเสแสร้งปลอมแปลงความวิตกกังวลและความห่วงใยเล็กน้อยที่เผยออกมาในตอนนี้ได้เลย
นางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่า จอมปราชญ์และผู้ที่เรียกกันว่ากึ่งจอมปราชญ์ จะมีเส้นบางๆ แบ่งแยกออกจากกัน แต่แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาอยู่ห่างกันคนละโลก”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าเห็นด้วยทันที
………………………………………………………………..
[1] เปรียบถึงเส้นผมสตรีที่งดงาม
[2] เป็นแสลง หมายถึง สอดรู้สอดเห็น หรือเผือกนั่นเอง
[3] ทำสะเพร่า ไม่ระวังอย่างไม่ตั้งใจ โดยมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อยู่ ทั้งที่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว