จิ่งหมิงฮ่องเต้ประหลาดใจจนต้องหันไปหาฮองเฮา
ฮองเฮาอธิบาย “ตอนที่ช่วยสิบสี่ขึ้นมา หม่อมฉันนึกขึ้นได้ว่าจิ่นเอ๋อร์เคยช่วยฉุนเกอเอ๋อร์ที่จมน้ำ ดังนั้นหม่อมฉันเลยเรียกทั้งสองมาที่วังเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าใจในทันที “จริงด้วย เร็ว รีบไปตามเจ้าเจ็ดกับชายาเข้ามา!”
เขานึกออกแล้ว ตอนที่ฉุนเกอเอ๋อร์ตกน้ำที่จิ้งหยวน ว่ากันว่าตอนนั้นเขาไม่หายใจแล้ว แต่เจ้าเจ็ดช่วยให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้สิบสี่ก็เป็นแบบเดียวกัน เจ้าเจ็ดต้องช่วยได้อย่างแน่นอน
ไม่นานเจียงซื่อและอวี้จิ่นก็เดินตามข้าหลวงเข้ามา
เจียงซื่อปราดตาไปเห็นองค์หญิงสิบสี่ที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงเป็นอันดับแรก ใจเต้นแรงจนนางลืมถวายความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮา
กู่ควบคุมความเป็นความตายของนางไม่อาจรับรู้ถึงสัญญาณชีพขององค์หญิงสิบสี่
อวี้จิ่นจูงมือเจียงซื่อเข้าไปทำความเคารพ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชี้นิ้วไปที่ร่างขององค์หญิงสิบสี่พลางกล่าวกับอวี้จิ่น “เจ้าไม่ต้องมากพิธี รีบดูน้องสิบสี่ของเจ้าเร็วเข้า”
อวี้จิ่นเดินเข้าไปที่ข้างเตียง กวาดตาสำรวจร่างที่นอนนิ่งก่อนจะหันไปมองจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยแววตาฉงน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถลึงตา “เจ้าจะมองหน้าข้าทำไม”
อวี้จิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางถามอย่างระมัดระวัง “เสด็จพ่อให้กระหม่อมดูน้องสิบสี่คือทรงต้องการให้…”
“ก็เจ้าเคยช่วยชีวิตฉุนเกอเอ๋อร์ที่จมน้ำมิใช่หรือ สิบสี่ก็จมน้ำเหมือนกัน เจ้าลองดูหน่อยซิว่าเจ้าพอจะช่วยนางได้หรือไม่”
อวี้จิ่นเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ย “เสด็จพ่อ น้องสิบสี่สิ้นลมไปนานแล้ว ลูกจึงช่วยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางสมรภูมิรบตั้งแต่อายุเพียงสิบกว่า เคยเห็นคนตายมากกว่าคนเป็นเสียอีก ฉะนั้นวินาทีที่เขาเห็นสีหน้าขององค์หญิงสิบสี่ก็ทราบได้ในทันทีว่านางสิ้นใจแล้ว ฉะนั้นเขาจะช่วยได้อย่างไร
ความจริงนั้นหนักหนาเกินกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะรับไหว เขาเอ่ยถาม “ตอนนั้นฉุนเกอเอ๋อร์ก็ไม่หายใจแล้ว แต่เพราะเจ้าช่วยให้เขาฟื้นขึ้นมามิใช่หรือ”
อวี้จิ่นอธิบายอย่างจนใจ “ฉุนเกอเอ๋อร์เพียงแค่หยุดหายใจไปชั่วขณะ แต่หัวใจของเขายังเต้นอยู่ โชคดีที่กระหม่อมช่วยได้ทันเวลา เขาจึงรอด แตกต่างจากน้องสิบสี่…”
“ต่างกันตรงไหน” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามต้อน
ตอนที่เขาได้ยินว่าเจ้าเจ็ดช่วยฉุนเกอเอ๋อร์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เขาเชื่อว่าเป็นคาถาวิเศษ แต่เหตุไฉนถึงใช้กับสิบสี่ไม่ได้
อวี้จิ่นมองไปที่องค์หญิงสิบสี่อีกครั้งพลางถอนหายใจแผ่วเบา “ตอนนี้น้องสิบสี่ไม่อยู่แล้ว คนตายไม่อาจฟื้นคืนชีพ ลูกมิได้มีพลังอภินิหารเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”
หากทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้เขาคงเป็นเทพแล้ว ไม่มาแย่งตำแหน่งจักรพรรดิเช่นนี้หรอก
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกริมฝีปากก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ช่างเถอะ”
เขามองไปที่ร่างขององค์หญิงสิบสี่อีกครั้ง และความเจ็บปวดทุกข์ระทมก็ยิ่งถาโถมเข้าใส่
การถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้องค์จักรพรรดิดูแก่ลงเรื่อยๆ
“ฮองเฮา ฝูชิงและสิบสี่ตกน้ำได้อย่างไร”
สีหน้าฮองเฮายังคงเศร้าหมอง นางกลั้นใจกล่าว “ฝ่าบาท พวกนางถูกคนผลักลงไปเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจสุดขีด
ฮองเฮาภายใต้ใบหน้าคล้ำหม่นเล่าเรื่องที่ได้ยินจากองค์หญิงฝูชิงและคำบอกเล่าของเหล่าข้ารับใช้ในวังโดยละเอียด “หม่อมฉันให้คนเฝ้าที่ทะเลสาบปี้ปัวไว้แล้ว ขอฝ่าบาททรงคืนความยุติธรรมให้ฝูชิงและสิบสี่ด้วยเถิดเพคะ”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้มืดหม่นกว่าที่เคย น้ำเสียงที่เปล่งเจือไปด้วยความโกรธแค้น “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน ใครมันช่างกล้าทำเรื่องอุกอาจเพียงนี้ หากเจอตัวเมื่อไหร่ข้าจะหักกระดูกออกเป็นชิ้นๆ เลยคอยดู!”
“ฝ่าบาท ส่งคนไปถามเสด็จแม่หน่อยดีไหมเพคะ” ฮองเฮาเอ่ยถามเสียงเรียบทว่าหัวใจกลับอัดอั้นไปด้วยความแค้น
นางมิควรสนใจความกตัญญูของฝ่าบาทแต่แรก ทั้งที่นางรู้ว่าตำหนักฉือหนิงและไทเฮาไม่น่าไว้วางใจ แต่นางกลับไม่ส่งคนไปตามดูแลเด็กทั้งสอง วันนี้ถึงได้เกิดเรื่องร้าย
แต่ความจริงฮองเฮาทำถูกแล้ว เพราะหากนางส่งคนไปตามดูแลองค์หญิงทั้งสองยามที่ไปน้อมทักไทเฮา และเรื่องไปถึงหูของฝ่าบาทหรือไทเฮา เกรงว่านางจะถูกมองไม่ดี
มีที่ไหนส่งคนไปตามคุ้มกันหลานที่ไปน้อมทักย่าของตัวเอง การทำเช่นนั้นจะทำให้ไทเฮาเสื่อมเสียเกียรติ
แต่บัดนี้ ฮองเฮานึกเสียใจที่ตนไม่ได้ทำเช่นนั้น อีกทั้งยังรู้สึกหวาดกลัว
ดูท่าคนที่คอยจ้องจะทำร้ายฝูชิงจะอุกอาจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ถึงขนาดกล้าลงมือกลางวันแสกๆ บนเส้นทางที่พวกนางเดินผ่านเป็นประจำ
เรื่องนี้อาจฟังดูน่าเหลือเชื่อ
นางต้องหาตัวคนผู้นั้นให้เจอ เพราะมิฉะนั้นนางคงไม่เป็นอันกินอันนอน
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปสั่งพานไห่ “ส่งคนไปถามไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิงว่าได้สั่งให้ขันทีไปตามองค์หญิงฝูชิงกลับไปที่นั่นหรือไม่”
พานไห่รับคำสั่ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินออกไป “ข้าจะไปดูที่ทะเลสาบปี้ปัว”
ฮ่องเต้เดินนำ ฮองเฮาเดินตาม ส่วนอวี้จิ่นและเจียงซื่อเดินตามหลังอีกที
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู เจียงซื่อหันหลังกลับไปมองอย่างอดไม่ได้
ร่างไร้วิญญาณขององค์หญิงสิบสี่นอนแน่นิ่งอยู่บนแท่น ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้ นางยังคงเป็นเด็กสาวสงบเสงี่ยม ไม่ว่าจะมีเรื่องเศร้าใจหรือดีใจ นางก็ไม่เคยส่งเสียงเอะอะเลยสักครั้ง
ในฐานะบุตรสาวของนางสนมที่มีตราบาปติดตัวต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังแทบจะตลอดเวลา ความหวังสูงสุดของนางคือการได้มีชีวิตที่สุขสงบเท่านั้น
แต่เมื่อเกิดในวังหลวง ความคิดนี้จึงเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ
เจียงซื่อเม้มปากและถอนหายใจแต่เพียงในใจ น้องสิบสี่ ข้ากับอาจิ่นจะหาตัวคนที่ทำเจ้า และทำให้เขารับโทษในสิ่งที่ทำให้ได้
เจ้าจงไปสู่สุคติเสียเถิด ชาติหน้าฉันใด ขอให้เจ้าได้เกิดเป็นบุตรสาวของเจ้าของที่เล็กๆ ไม่ขาดข้าวของจำเป็นใด ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเลวร้าย ได้แต่งงานกับบุรุษที่รักและอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า และมีลูกหลานมากมายรายล้อม
……
ที่ริมทะเลสาบปี้ปัวมีข้ารับใช้ในวังหลายคนเฝ้าอยู่ ทันทีที่เห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ ทุกคนก็รีบทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินมาพร้อมใบหน้าขึงขัง และมองไปที่รอยเท้าเละเทะที่ริมฝั่งพลางเอ่ย “เจ้าเจ็ด เจ้าลองดูซิว่าพอจะมีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่”
อวี้จิ่นรับคำและตรวจสอบโดยละเอียดก่อนจะพบรอยเลือดที่หยดอยู่บนพื้น
ชายหนุ่มรีบหันมาถาม “เสด็จแม่ น้องสิบสามมีบาดแผลบนตัวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮารีบส่ายศีรษะ “ไม่มี”
เมื่อเป็นเรื่องของบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน นางรู้ทุกสิ่ง
“แล้วน้องสิบสี่เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีเหมือนกัน”
ถึงอาภรณ์ขององค์หญิงสิบสี่จะถูกเปลี่ยนไปแล้ว แต่ฮองเฮาก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าตามเนื้อตัวของนางไม่มีบาดแผลใดๆ
“เช่นนั้นก็แปลว่าคนร้ายได้รับบาดเจ็บ” อวี้จิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์ “ตามคำบอกเล่าของน้องสิบสาม ขณะนั้นนางไม่มีเรี่ยวแรงจะดิ้นรน ก็แสดงว่าบาดแผลของคนร้ายเป็นฝีมือของน้องสิบสี่ แต่น้องสิบสี่เป็นเพียงเด็กสาวร่างเล็ก การที่จะโจมตีคนร้ายได้จึงต้องอาศัยช่วงที่คนร้ายกำลังมือกับน้องสิบสาม เมื่อเป็นเช่นนั้นนางน่าจะ…”
อวี้จิ่นหลับตาจินตนาการภาพตาม “นางน่าจะโจมตีจากด้านหลัง!”
“อาจิ่น...” เจียงซื่อขานเรียกก่อนจะส่งหินก้อนหนึ่งให้ชายหนุ่ม
อวี้จิ่นรับไป บนหินนั้นมีรอยเลือดเปื้อนอยู่
เจียงซื่อชี้นิ้วไป “ข้าพบมันตรงนั้น”
หินนั้นหล่นจากมือขององค์หญิงสิบสี่และกลิ้งไปในที่ลับตา แต่โชคดีที่ฆานประสาทของเจียงซื่อทำงานได้อย่างแม่นยำ
“น้องสิบสี่คงใช้หินนี้โจมตีคนร้าย คาดว่าบาดแผลขนาดใหญ่นั้นน่าจะปรากฏอยู่ที่บริเวณศีรษะ หรือไม่ก็บริเวณมือที่ไม่มีอาภรณ์ปกปิด”
ทันใดนั้นพานไห่ก็วิ่งมารายงาน “กราบทูลฝ่าบาท พระตำหนักฉือหนิงแจ้งว่ามิได้ส่งคนไปเชิญองค์หญิงฝูชิงพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ใบหน้าเครียดเขม็งพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไปค้นให้ทั่ว! ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาทั่ววังหลวงก็ต้องหาตัวที่มีบาดแผลมาให้ข้าให้ได้!”
อวี้จิ่นส่ายหัว “เสด็จพ่อ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันมามองอวี้จิ่นด้วยความสงสัย
“เรียกเอ้อร์หนิวมาก็สิ้นเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนร้ายทิ้งรอยเลือดไว้เช่นนี้ ตราบใดที่ตัวยังอยู่ในวังหลวง เอ้อร์หนิวจะต้องหาเจอแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบสั่งการ “พานไห่ ไปเชิญแม่ทัพเซี่ยวเทียนมาเดี๋ยวนี้!”