เวลานี้ ฮูเหยียนโซ่วก็เดินเข้ามา เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ใต้เท้า กองหนุนมาถึงแล้ว”
ข้าตวัดปลายพู่กันอย่างว่องไวพลางถามขึ้นว่า “เกิดอันใดขึ้น ข้าจำได้ว่าใกล้ๆ น่าจะมีทหารม้าอยู่อย่างน้อยพันกว่านาย พวกเขามิอาจสู้รบในน้ำ แต่ชิ่นสุ่ยลำน้ำมิกว้าง พวกเขาใช้หน้าไม้ยิงทหารบนกองเรือของเป่ยฮั่นพวกนั้นจากบนฝั่งได้ เหตุใดกลับมาช้าเช่นนี้ หรือว่ามิเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือของพวกเรา”
ฮูเหยียนโซ่วเอ่ยตอบอย่างโกรธแค้น “ผู้น้อยถามแม่ทัพผู้นำทัพมาแล้ว ทหารม้าบริเวณใกล้ๆ มีเพียงทหารม้าขนาดเล็กจำนวนร้อยนายไม่กี่กองเท่านั้น พวกเขาเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือก็ทยอยเดินทางมาช่วย ผู้ใดจะคาดคิดว่ากลับมียอดฝีมือผู้วรยุทธ์ล้ำเลิศดักไล่สังหารแม่ทัพของเหล่าทหารม้าไปมากกว่าครึ่ง ทหารม้าเหล่านี้ถูกบีบให้ต้องไปไล่ล่ามือลอบสังหารจนตอนนี้อลหม่านไปหมด”
ข้ามือสั่น หมึกหยดหนึ่งร่วงลงบนกระดาษขาว ข้ามองกระดาษจดหมายที่ถูกคราบหมึกเปื้อนจนสกปรกแล้วถอนหายใจ โยนจดหมายที่ยังเขียนไม่เสร็จดีฉบับนั้นลงไปในเตาไฟที่มุมห้องพัก จากนั้นวางพู่กันขนแพะลง ข้าลุกขึ้นยืนพร้อมกับถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เป็นฝีมือของคนเพียงผู้เดียวหรือ”
ฮูเหยียนโซ่วตอบอย่างหม่นหมอง “ใช่แล้วขอรับ ดูจากวิธีการลอบสังหารน่าจะเป็นคนเพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพเรากวาดล้างบริเวณโดยรอบมาหลายวัน ไม่มีทางมีมือสังหารกับสายลับเหลืออยู่แถบนี้เป็นจำนวนมากแน่นอน”
ข้าตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด แล้วเงยหน้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อ “เจ้ามีฝีมือพอทำเช่นนี้หรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเย็นชา “วรยุทธ์ของคนผู้นั้นมิอ่อนแอกว่าข้า”
ข้ายิ้มหยัน “เจ้าว่าเป่ยฮั่นมีสักกี่คนที่วรยุทธ์เทียบเคียงเจ้าได้”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบโดยมิต้องคิด “น่าจะเป็นต้วนหลิงเซียวมาเอง จิงอู๋จี๋คงไม่ลงมือ”
ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างลังเล “เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าว่าต้วนหลิงเซียวจะอยู่แถวนี้ต่อหรือไม่ หากเขาต้องการลอบสังหารข้า หรือฉีอ๋อง น่าจะไม่ง่ายทั้งสิ้น แต่หากลอบสังหารแม่ทัพระดับล่างเหล่านั้นย่อมง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเย็นชา “หากต้วนหลิงเซียวเตร่อยู่แถวนี้ เขาก็ได้แต่ปะปนอยู่ในหมู่ชาวบ้านอพยพ หรือซ่อนอยู่ตามป่า คุณชายมิสู้ออกคำสั่งเดี๋ยวนี้ ให้ทหารม้าที่รับผิดชอบกวาดล้างรอบบริเวณแบ่งเป็นกลุ่มละห้าร้อยนาย ลงมือประสานกัน สังหารล้างบางชาวเป่ยฮั่นที่พบเสียให้สิ้น ให้ต้วนหลิงเซียวมิมีหนทางซ่อนตัว
แม้ต้วนหลิงเซียวอยากลอบสังหารอีกก็ยากจะเข้าใกล้กองทัพเราได้ง่ายๆ หากเขายังฝืนทำเรื่องนี้ต่อ ถ้าเช่นนั้นทหารม้าห้าร้อยนายก็เพียงพอรั้งตัวเขาไว้ รอยอดฝีมือของกองทัพเราเร่งเดินทางไปสมทบ ต่อให้ต้วนหลิงเซียววรยุทธ์สูงส่งอีกเท่าใดก็ยากจะหนีเอาชีวิตรอดไปได้”
ข้าครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่งก็ตอบว่า “สถานการณ์เร่งด่วน มิอาจรายงานฉีอ๋องให้ทราบก่อน ฮูเหยียนโซ่ว ถ่ายทอดคำสั่งข้า ให้กองทัพของเราเริ่มล้างบางก่อนเวลานัดหมาย แล้วส่งคนไปแจ้งฉีอ๋องให้ทราบ”
ข้ารีบเขียนคำสั่งสิบกว่าฉบับ ประทับด้วยตราผู้ตรวจการกองทัพของข้า หลังจากนั้นให้คนนำไปมอบหมาย แม้ข้ามีฐานะเป็นผู้ตรวจการกองทัพ แต่มิอาจสั่งการกองทหารได้โดยตรง ทว่าสถานการณ์นี้ค่อนข้างพิเศษ ข้าเพียงต้องการลงมือเร็วขึ้นเท่านั้น ตราประทับผู้ตรวจการกองทัพของข้าน่าจะใช้การได้
ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำนี้ของข้าก็ทำเพื่อแม่ทัพระดับกลางกับระดับล่างเหล่านั้น หากพวกเขาไม่รักชีวิตของตน ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงสนใจพวกเขามิได้แล้วเช่นกัน แน่นอนว่าข้ายังตั้งใจเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปแจ้งฉีอ๋องอีกด้วย เพื่อให้ส่งไปถึงอย่างปลอดภัย ข้าขอให้ซูชิงไปส่งด้วยตนเอง แม้นางจะมิใช่คู่ต่อกรของต้วนหลิงเซียว แต่ข้าย่อมมิอาจให้เสี่ยวซุ่นจื่อไปส่งจดหมายได้กระมัง ถึงอย่างไรชีวิตของข้าก็สำคัญที่สุด
บนเส้นทางสำหรับม้าเร็วส่งข่าวที่ทอดยาวตัดผ่านทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง ทหารม้ากองหนึ่งห้อตะบึงผ่านไป ผู้ที่นำหน้าอยู่ก็คือซูชิง หลังร่างนางมีทหารม้าสวมเกราะสีครามเกือบดำจำนวนหนึ่งตามมา นางได้รับคำสั่งให้ไปแจ้งข่าวการศึกกับฉีอ๋อง ด้วยเหตุนี้จึงควบม้าหวดแส้ มิกล้าหยุดพักแม้เพียงชั่วครู่
ยามนี้กองทหารบริเวณใกล้ๆ ได้รับคำสั่งกวาดล้างล่วงหน้าจากเจียงเจ๋อแล้ว โชคดีชาวบ้านเป่ยฮั่นส่วนมากหนีไปถึงจี้ซื่อแล้ว ดังนั้นตลอดทางที่ผ่านมาจึงไม่เห็นฉากการสังหารล้างบางมากมายนัก ยิ่งไปกว่านั้น ซูชิงใจแข็งดั่งเหล็กกล้า ต่อให้เห็นภาพอันน่าเศร้าสลดเช่นนั้นก็ไม่คิดอันใด
นางเดินทางอย่างเร่งรีบ นอกจากหญิงรับใช้คนสนิทของนางอย่างหรูเย่ว์ ก็พาทหารม้าที่เจียงเจ๋อมอบให้นางมาด้วยเท่านั้น มือสังหารที่ลอบสังหารแม่ทัพแห่งกองทัพต้ายงผู้นั้นน่าจะยังมิถูกสังหาร ดังนั้นซูชิงจึงระมัดระวังมาตลอดทาง มิกล้าประมาทแม้เพียงนิด
ทันใดนั้นสายตาของซูชิงก็เหลือบผ่านด้านในศาลาพักระหว่างทางริมฝั่งถนนด้านหน้า บุรุษอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งยืนมือไพล่หลัง สายตาของซูชิงเฉียบคมปานใด มองปราดเดียวก็เห็นหน้าตาของบุรุษผู้นี้กระจ่างชัด เขาอายุสามสิบกว่าปี ร่างกายเหยียดตรงดั่งต้นสนยืนตระหง่าน หน้าตาซื่อตรงเที่ยงธรรม สองตานิ่งสงบล้ำลึกประหนึ่งท้องนภายามรัตติกาล ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกมิอาจคาดเดาได้
ซูชิงรั้งบังเหียนอาชาให้หยุด อาชาศึกเหล่านี้ล้วนฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เมื่อซูชิงรั้งม้า อาชาศึกด้านหลังเหล่านั้นก็หยุดอย่างทันท่วงที ขบวนอาชาที่ห้อทะยานเต็มกำลังอยู่เมื่อครู่หยุดนิ่ง ทหารม้าเหล่านั้นต่างทราบเรื่องการลอบสังหาร ในใจจึงเกิดจิตสังหารขึ้นมา ไอสังหารของคนยี่สิบกว่าคนรวมเข้าด้วยกันทำให้โลกบริเวณนี้ราวกับหยุดนิ่ง
ดวงตาบุรุษอาภรณ์สีเทาผู้นั้นทอประกายวูบหนึ่ง อดถอนหายใจกับความยอดเยี่ยมของทหารม้ากองนี้เสียมิได้ เขาก้าวมาข้างหน้าอย่างเนิบช้าแล้วกล่าวขึ้นอย่างเฉยชา “แม่นางคือซูชิง หัวหน้าหน่วยสอดแนมของกองทัพต้ายงใช่หรือไม่” แม้ถ้อยคำเป็นประโยคคำถาม แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่าในใจเขาแน่ใจว่าเป็นเช่นนั้นอยู่ก่อนแล้ว การถามคำถามนี้เป็นเพียงการยืนยันก็เท่านั้น
ซูชิงตอบอย่างเย็นชา “ที่แท้ก็ต้วนหลิงเซียว ศิษย์เอกของประมุขพรรคมารเดินทางมาด้วยตนเอง ท่านต้วนมิทราบหรือว่าตั๊กแตนไหนเลยจะขวางรถม้าได้ ทหารม้าต้ายงของพวกเรามีเป็นพันเป็นหมื่น ท่านไยต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้”
ต้วนหลิงเซียวยิ้มละไม ตอบว่า “แม่นางกล่าวมิผิด แม้ผู้แซ่ต้วนวรยุทธ์สูงส่ง แต่กำลังของคนผู้เดียวย่อมเทียบกับทหารนับพันอาชานับหมื่นมิได้ เพียงแต่เรื่องบางอย่างลงมือทำย่อมดีกว่ามิทำ ก่อนหน้านี้ตรงริมฝั่งแม่น้ำชิ่นสุ่ย แม่นางตัดสินใจสังหารได้เด็ดขาดนัก ผู้แซ่ต้วนนับถือยิ่งนัก
เซียวถงศิษย์น้องของผู้แซ่ต้วนเคยเล่าความดีความชอบใหญ่หลวงของแม่นางให้ข้าฟังอย่างละเอียด ผู้แซ่ต้วนจึงอดนึกอยากพบหน้าวีรสตรีในหมู่อิสตรีเช่นเจ้ามิได้ วันนี้ได้พบกันริมทาง โชคดีเป็นยิ่งนัก มิสู้แม่นางลงจากม้าแล้วพวกเรามาสนทนากันสักหน่อยดีหรือไม่”
ดวงตาของซูชิงทอประกายตื่นเต้นวูบหนึ่ง กล่าวว่า “ได้สนทนากับท่าน ซูชิงรู้สึกเป็นเกียรตินัก” กล่าวจบก็พลิกกายลงจากม้า ก้าวเข้าไปยังศาลา
หรูเย่ว์ หญิงรับใช้ของนางกล่าวขึ้นเสียงดัง “คุณหนู เขาต้องตั้งใจสังหารท่านแน่ จะสนทนากับเขาได้เช่นไร”
ซูชิงหัวเราะ “ต้วนหลิงเซียวมีฐานะใด ว่าที่ประมุขพรรคมารไยเอ่ยแล้วกลับคำ ในเมื่อเชื้อเชิญซูชิงสนทนา หากลงมือประหัตประหารโดยมิบอกกล่าว ไฉนมิขายหน้าคนทั้งใต้หล้า”
ดวงตาของต้วนหลิงเซียวฉายประกายชื่นชม เขาย่อมมิสนใจความกังวลของหรูเย่ว์ เพียงมองนางด้วยสายตาเย็นชาครั้งหนึ่ง จากนั้นเอ่ยกับซูชิงว่า “หัวหน้าหน่วยสอดแนมซูเป็นสตรีผู้มิแพ้ให้แก่บุรุษ ไม่แปลกที่ศิษย์น้องเซียวจะมองแม่นางเป็นศัตรูตัวฉกาจ ศิษย์น้องชิวของข้าก็ชื่นชมแม่นางยิ่งนัก วันนี้ได้พานพบจึงทราบว่าได้ยินเพียงคำลือมิสู้พบหน้าจริงๆ แม่นางซู เดิมทีเจ้าเป็นคนเป่ยฮั่น แต่เพราะความแค้นส่วนตัวจึงไปช่วยเหลือต้ายง ช่างน่าเสียดายโดยแท้”
ซูชิงยิ้มอย่างหยิ่งทะนง กล่าวว่า “ท่านตั้งใจว่าวันนี้จะเอาชีวิตซูชิงให้ได้ จึงรู้สึกเสียดายหรือไร เป่ยฮั่นมิมีบุญคุณต่อซูชิง เพื่อล้างแค้น ซูชิงยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายงได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ต้ายงครอบครองดินแดนภาคกลาง เป่ยฮั่นกับหนานฉู่เหลือเพียงลมหายใจรวยริน แม้พรรคมารแห่งเป่ยฮั่นมียอดคนนับไม่ถ้วน ทว่าแนวโน้มสถานการณ์เป็นเช่นนี้ยังจักทำสิ่งใดได้อีก หากท่านยอมกลับตัวกลับใจ มั่นใจได้ว่าตำแหน่งคงอยู่เหนือกว่าซูชิง ไยต้องยึดติดอดีต ให้ตัวตายแคว้นล่มสลายด้วยเล่า”
ดวงตาของต้วนหลิงเซียวทอประกายเย็นยะเยือก ตอบว่า “ช่างเถิด ข้าทราบดีว่าแม่นางซูมิมีทางหันหลังกลับ เพียงแต่ในใจทนมิได้อยู่บ้างก็เท่านั้น แม่นางทราบหรือไม่ว่าครั้งนี้เหตุใดกองทัพต้ายงจึงเหิมเกริมขับไล่และเข่นฆ่าล้างบางชาวบ้าน หากแม่นางยอมบอกกล่าวตามตรง ผู้แซ่ต้วนจะมิสังหารลูกน้องของแม่นาง”
ซูชิงยิ้มละไม แม้ทราบว่าต้วนหลิงเซียวเอ่ยเช่นนี้ย่อมหมายความว่าจักสังหารตนแน่แล้ว แต่กลับมิเก็บมาใส่ใจ แต่ตอบว่า “ซูชิงเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยสอดแนม ความลับของกองทัพเช่นนี้จะล่วงรู้ได้เช่นไร ท่านถามทางกับคนตาบอดแล้ว”
ต้วนหลิงเซียวเอ่ยอย่างเย็นชา “เป็นเช่นนั้นหรือ แม่นางซูทราบหรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ข้าจึงเปิดฉากสังหาร”
ซูชิงคิดครู่หนึ่ง ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ย่อมต้องเป็นเพราะไม่ต้องการให้ทหารม้าเหล่านี้มาช่วยกองเรือ คิดว่าท่านต้วนคงหวังอย่างยิ่งให้กองเรือของพวกเราพ่ายแพ้ย่อยยับ”