ภาค-5 ตอนที่ 27 ศึกนองเลือดล้างบาง (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ต้วนหลิงเซียวเอ่ยอย่างเรียบเฉย “เจ้ากล่าวมิผิด นับตั้งแต่กองทัพต้ายงรุกเข้าชิ่นโจว ข้าก็เดินทางมาสืบข่าวการศึก ครั้งนี้กองทัพต้ายงรุกรานด้วยกำลังพลมากมายมหาศาล จะรอดหรือตายขึ้นอยู่กับศึกครานี้ ผู้แซ่ต้วนจึงมิอาจไม่ออกโรงเอง หลายวันก่อนเห็นกองเรือของต้ายงและได้ทราบว่าฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋ออยู่ในกองเรือ หลังจากส่งข่าวกลับไป แม่ทัพหลงจึงออกคำสั่งให้กองเรือออกศึก

หากโจมตีทำลายกองเรือในครั้งเดียว ตัดเส้นทางขนส่งเสบียงของกองทัพต้ายงสำเร็จย่อมดีอย่างยิ่ง ต่อให้ทำมิได้ หากฉวยโอกาสสังหารเจียงเจ๋อได้ก็ยังนับว่าเป็นคุณงามความชอบครั้งใหญ่ เพื่อการนี้ข้าจึงยอมสละศักดิ์ศรีอย่างมิเสียดาย ลงมือลอบสังหารแม่ทัพแต่ละกองที่เดินทางมาช่วยเหลือ น่าเสียดายกองเรือของต้ายงกำลังรบแข็งแกร่ง ผลของการรบจึงพอยอมรับได้เท่านั้น

เดิมทีผู้แซ่ต้วนตั้งใจจะจากไปทันที แต่เห็นแม่นางลงจากเรือ เมื่อนึกถึงตัวตนกับฐานะของแม่นางขึ้นมา จึงอยากจะทราบความลับเพิ่มสักสองสามอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงเสี่ยงอันตรายเดินทางมาดักพบ หากแม่นางยอมบอกกล่าวความลับที่เก็บงำในใจออกมาจนสิ้น ผู้แซ่ต้วนมิเอาชีวิตแม่นางก็ย่อมได้ หากมิยอม แม่นางซูจงหวังให้ตัวตายในการต่อสู้เป็นดีที่สุด เพราะหากถูกผู้แซ่ต้วนจับได้อย่างเป็นๆ เกรงว่าทัณฑ์ทรมานทั้งหลายทั้งปวงคงทำให้แม่นางนึกเสียใจที่ยามแรกมิเลือกทางอื่น”

ดวงตาของซูชิงฉายแววเฉยชา กล่าวว่า “ซูชิงมิอนาทรความเป็นความตายมานานแล้ว ท่านข่มขู่ซูชิงเช่นนี้หามีประโยชน์ไม่” กล่าวจบก็ถอยหลังอย่างเย็นชา ทหารม้าที่อารักขานางเหล่านั้นต่างทะยานม้าเข้ามาโอบล้อมด้านหลังนาง ปกป้องนางอยู่ตรงกลางกลายๆ เมื่อพูดกันมาถึงตรงนี้ ต้วนหลิงเซียวกับซูชิงต่างก็ทราบว่าการสนทนาจบลงแล้ว ต่อจากนี้มีเพียงการคุยกันด้วยวรยุทธ์

ต้วนหลิงเซียวถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกล่าวว่า “แม่นางซูเก่งกาจเช่นนี้ กลับไปเป็นขุนนางของต้ายง น่าเสียดายจริงๆ” สิ้นน้ำเสียงเสียดายของเขา บริเวณนั้นพลันปรากฏไอสังหารเย็นยะเยือก ทุกคนต่างทราบว่าเขากำลังจะลงมือแล้วจึงกลั้นลมหายใจเตรียมรับมือ ทว่าต้วนหลิงเซียวกลับไม่ขยับแม้สักนิด

ไอสังหารนับอนันต์ที่ทะลักออกมาจากร่างของเขาบีบให้ทหารม้าเหล่านั้นหลงเหลือเพียงความคิดสองประการ ไม่สู้จนตัวตายก็ทิ้งอาวุธยอมจำนน แต่ทหารม้าเหล่านี้ล้วนเป็นทหารกล้าผู้ผ่านศึกมานับร้อย แม้กว่าครึ่งมิใช่ยอดฝีมือทางพลังภายใน แต่ก็ฝึกฝนทักษะการต้านไอสังหารจากในสนามรบมาแล้ว พวกเขาปลดปล่อยจิตสังหารออกมาเต็มกำลัง ชั่วขณะหนึ่งพลังของทั้งสองฝ่ายจึงแลดูสูสีทัดเทียม

ดวงตาของต้วนหลิงเซียวฉายแววจนปัญญาพริบตาหนึ่ง ต้ายงมีทหารแกล้วกล้าเช่นนี้ มิน่าจึงยิ่งใหญ่ในใต้หล้า เมื่อเทียบกันแล้ว แม้พลทหารกับแม่ทัพของเป่ยฮั่นใจกล้าห้าวหาญ มากกว่าครึ่งหนึ่ง ความสามารถในการรบของแต่ละคนเหนือกว่าทหารกล้าของต้ายง แต่หากรวมกันเป็นกองทัพกลับด้อยกว่าอยู่บ้างอย่างเลี่ยงมิได้ ทว่าเขาเป็นถึงยอดฝีมือผู้บรรลุขอบเขตหวนคืนสู่ธรรมชาติแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ขจัดความคิดอื่นในจิตใจจนสิ้น แม้แต่จิตสังหารก็ถดถอยหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ทหารม้าต้ายงเหล่านั้นเดิมทีพยายามต้านไอสังหารประหนึ่งคลื่นถาโถมนั่นอย่างสุดกำลังอยู่ เมื่อจู่ๆ ไอสังหารหายไปจนหมดสิ้น ทหารม้าเหล่านั้นฉับพลันดั่งสูญเสียคู่ต่อกร หัวใจสะท้านวูบหนึ่ง ทหารม้าหลายนายที่ฝีมือค่อนข้างอ่อนแอสีหน้าซีดเผือดในทันใด มีคนหนึ่งถึงขั้นกระอักเลือดออกมาเปื้อนอานม้า ชั่วพริบตาที่พวกเขาเปลี่ยนจากสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดกลายเป็นอ่อนแอที่สุด ต้วนหลิงเซียวพลันลงมือ

ซูชิงรู้สึกเหมือนตาลายวูบเดียว ฝ่ามือของต้วนหลิงเซียวก็ฟาดมาตรงหน้าของตนแล้ว นางพลิกตัวถอยหลังหลบ ประกายเย็นยะเยือกวาววับ นางชักกระบี่โจมตีสวนกลับ ฝ่ามือกับกระบี่ปะทะกัน ทว่าเสียงกลับคล้ายโลหะกระทบหิน ซูชิงรู้สึกว่าง่ามนิ้วมือชาหนึบ กระบี่ยาวแทบจะหลุดออกจากมือ นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อาศัยแรงส่งทะยานถอยหลัง

ต้วนหลิงเซียวตามติดดั่งเงา ทั้งสองคนต่อสู้โรมรัน ประกายกระบี่กับเงาหิมะรายล้อมเงาร่างสีเทากับสีเขียวสองร่างตรงกลาง ทหารม้าเหล่านั้นไร้หนทางลงมือช่วยเหลือ ทำได้เพียงกระจายตัวล้อมทั้งสองคนเอาไว้ ในมือแต่ละคนล้วนถือหน้าไม้ เตรียมยิงสังหารต้วนหลิงเซียวเมื่อสบโอกาส

ซูชิงใช้ฝีมือทั้งหมดที่มี คลื่นกระบี่ระลอกแล้วระลอกเล่าสาดซัดรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ทว่าต้วนหลิงเซียวกลับประหนึ่งโขดหินใหญ่กลางสมุทร ปล่อยให้ลมพัดฝนกร่อนอย่างไรก็มิก้มหัว ซูชิงพบคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเช่นนี้กลับรู้สึกว่าใช้วิชากระบี่ได้คล่องแคล่วอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน แม้แต่ครั้งก่อนยามประมือกับชิวอวี้เฟยก็ไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ เพราะวรยุทธ์ของชิวอวี้เฟยว่องไวพลิกแพลง วิชาท่าร่างและความเร็วของซูชิงสู้เขามิได้ เพียงรับกระบวนท่าก็แทบจะมิทันแล้ว ไหนเลยจะยังใช้วิชากระบี่ได้อย่างเต็มที่ ตรงกันข้าม วรยุทธ์ของต้วนหลิงเซียวล้ำลึกแข็งกร้าว ทำให้ซูชิงแสดงข้อเด่นออกมาได้อย่างเต็มที่

เงากระบี่กลายเป็นคลื่นยักษ์โถมท่วมฟ้า จิตสังหารนับอนันต์ซ่อนอยู่ท่ามกลางความงดงามตระการตา วรยุทธ์ของต้วนหลิงเซียวเหนือกว่าซูชิงมากนัก แม้ชั่วขณะนี้จะยังเอาชีวิตของนางมิได้ แต่ก็รับมือได้อย่างสบายๆ เมื่อเห็นกระบวนท่าวิชากระบี่ของซูชิง ดวงตาของเขาพลันฉายแววประหลาดใจพริบตาหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเคร้ง ดาบสั้นวาววับเล่มหนึ่งไถลออกมาจากแขนเสื้อของต้วนหลิงเซียว

เสียงอาวุธปะทะกันนับไม่ถ้วนดังสนั่นจนแก้วหูแทบดับ เขารับการโจมตีอันรุนแรงของซูชิงโดยตรง ดาบสั้นของต้วนหลิงเซียวกลายเป็นสายรุ้งไหลเคลื่อน ดาบหนึ่งเร็วกว่าอีกดาบหนึ่ง ทะลวงฝ่าตาข่ายกระบี่ของซูชิงประหนึ่งมังกรทะยานขึ้นจากผืนน้ำ

ซูชิงทุ่มกำลังจนหมดแล้ว ทว่าช่องโหว่เพียงเล็กน้อยระหว่างโหมโจมตีกลับถูกต้วนหลิงเซียวทะลวงฝ่ามาได้ แต่นางมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ชั่วเวลาเส้นยาแดงผ่าแปด กระบี่ยาวในมือขวาฉับพลันหลุดจากมือพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเซียว ขณะที่มีดสั้นเล่มหนึ่งในมือซ้ายขวางคมของดาบสั้นเล่มนั้นไว้ เสียงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง เรือนร่างอรชรของนางปลิวไปด้านหลังดั่งว่าวสายขาด ต้วนหลิงเซียวคำรามลั่น กระโจนไล่ตามมา

เวลานี้เอง ทหารม้าที่คอยท่าอยู่วงนอกเหล่านั้นต่างตะโกนเสียงดังพร้อมกัน หน้าไม้ส่งเสียงอย่างพร้อมเพรียง ลูกศรของหน้าไม้ยี่สิบกว่าดอกที่เร็วแทบไม่เห็นเงาพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเซียวผู้ลอยอยู่กลางอากาศ ต้วนหลิงเซียวสะบัดแขนเสื้อ ลูกศรเหล่านั้นหยุดชะงักประหนึ่งพบกำแพงล่องหนแล้วดีดกลับร่วงหล่น เวลานี้เอง ลูกศรระลอกที่สองกับระลอกที่สามก็ยิงมาถึง ร่างกายของต้วนหลิงเซียวหมุนกลางอากาศดุจกังหันลม ลูกศรเหล่านั้นดีดกลับไปอย่างรุนแรง ทหารม้าสองนายต้องลูกศรที่ดีดกลับมาจนร่วงตกจากหลังม้า ทว่าการเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเซียวก็ถูกถ่วงรั้งไว้ได้ครู่หนึ่ง

ตอนนี้เอง หรูเย่ว์จึงทะยานม้าเข้ามาดึงซูชิงขึ้นหลังอาชา ซูชิงกระอักเลือดออกมาหลายคำก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ไป!”

หรูเย่ว์พาอาชาวิ่งทะยานไปตามทาง ทหารม้าเหล่านั้นควบอาชาตามหลัง ระหว่างนั้นก็ยิงหน้าไม้ขัดขวางต้วนหลิงเซียวมิให้ไล่ตามโจมตี ดวงตาของต้วนหลิงเซียวทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง จากนั้นคว้าสายบังเหียนของอาชาศึกที่ซูชิงทิ้งไว้แล้วควบอาชาไล่กวด อาชาพาหนะของซูชิงเป็นถึงยอดอาชาจากหนึ่งในพัน ต้วนหลิงเซียวเองก็เป็นนักขี่ม้าฝีมือสูงส่ง เพียงครู่เดียวก็ไล่ตามพวกเขาทัน

ต้วนหลิงเซียวยิ้มหยัน ซัดฝ่ามือใส่กลางอากาศ ทหารม้าคนสุดท้ายถูกโจมตีร่วงจากหลังม้า ขณะที่ต้วนหลิงเซียวทะยานม้าผ่านอาชาของเขาก็คว้าแหลนอาชาที่ติดอยู่ข้างอานม้าของเขามาด้วย แหลนอาชากลายเป็นเงาเลือนรางนับร้อยพันสาย จากนั้นทหารม้าอีกสองนายก็ถูกเขาแทงร่วงจากหลังอาชา เวลาเพียงครู่เดียวเขาก็ไล่ตามมาถึงด้านหลังอาชาของหรูเย่ว์ที่ตกมาท้ายขบวนเพราะต้องรับน้ำหนักของสองคน เวลานี้ซูชิงเกาะหัวไหล่ของหรูเย่ว์อยู่ เหมือนจะหมดสติไปแล้ว

ดวงตาของต้วนหลิงเซียวทอประกายเย็นเยียบ แหลนอาชาเสือกเข้าใส่กลางหลังของซูชิง ในตอนนี้เอง ซูชิงพลันเบี่ยงกายเอนนอน หรูเย่ว์ก็เอนร่างก้มลงไป เผยให้เห็นหน้าไม้อันหนึ่งในมือซูชิง เสียงกลไกของหน้าไม้ดังขึ้นแผ่วเบา ลูกศรสามดอกพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเซียวในเวลาเดียวกัน เวลานี้ทั้งสองคนห่างกันเพียงสองจั้ง แหลนอาชาเป็นอาวุธยาว มิอาจขวางลูกศรหน้าไม้ได้ โชคดีต้วนหลิงเซียวเป็นผู้มีฝีมือขี่ม้ายอดเยี่ยม ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็หงายไปด้านหลังราวกับลำตัวหักพับ ลูกศรดอกหนึ่งเฉียดผ่านใบหน้าของเขาไป เสียงอาชากรีดร้องโหยหวนขึ้นครั้งหนึ่ง ต้วนหลิงเซียวพลันรู้สึกว่าใต้ร่างยวบลงไป อาชาศึกวิ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งมาได้อีกสิบกว่าจั้งก็ทรุดล้มอย่างไร้เรี่ยวแรง

ต้วนหลิงเซียวทะยานร่างขึ้นบนฟ้า ขณะที่ร่างกายร่อนลงบนพื้นดิน แหลนอาชาก็พุ่งหลุดออกจากมือ เงาดำพุ่งผ่านอากาศประหนึ่งสายฟ้าฟาด แล่นเข้าใส่ซูชิงผู้ลุกขึ้นนั่งบนหลังม้า เมื่อครู่ซูชิงใช้กำลังที่เหลือทั้งหมดจึงหงายตัวยิงหน้าไม้ออกไปได้สำเร็จ เมื่อลุกขึ้นนั่งก็เป็นเวลาที่มือเท้าอ่อนแรง แม้ใจสู้แต่ไร้กำลัง นางเห็นแหลนอาชากำลังพุ่งมา ทว่านางมิมีพละกำลังหลีกหลบอีกต่อไป ดวงหน้าซีดเผือดดั่งหิมะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ชวนให้คนใจหาย นางนิ่งสงบรอคอยพริบตาที่แหลนอาชาจะปักลงบนหน้าอกของตนเอง