หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันไปสักพัก ปาจรีย์ก็เตรียมตัวจากไปแล้ว “โอเควารุณี ฉันไปหาพี่รพีที่ห้องข้างๆ แล้ว วันนี้เขาก็จะออกจากเมืองธาราเหมือนกัน”
“เขาก็จะไป?” วารุณีแปลกใจ
ปาจรีย์พยักหน้า “ใช่แล้ว บริษัทของเขาพึ่งเปิดตัวไม่ถึงครึ่งปี อย่างน้อยก็คงต้องยุ่งสักปีครึ่ง สามารถหาเวลามาเยี่ยมบ้านฉันที่เมืองธารา ถือว่าสุดขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นวันนี้ก็ต้องกลับแล้ว ไม่ว่ายังไงบริษัทก็ยังต้องการเขาที่เป็นเจ้านายกลับไปควบคุม”
“ก็พูดถูก” วารุณีพยักหน้า
ปาจรีย์ลุกขึ้น “งั้นฉันไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน” วารุณีเรียกเธอไว้
ปาจรีย์หยุดเท้าเดิน “ทำไมเหรอ?”
“ปาจรีย์ ฉันอยากรู้ว่า เธอมีความเห็นยังไงกับรพี” วารุณีก็ลุกขึ้น
สีหน้าของปาจรีย์เต็มไปด้วยความสงสัย “ความเห็น? วารุณี เธอถามอันนี้ทำไม?”
“แน่นอนว่าสำคัญอยู่แล้ว ฉันอยากรู้ว่า เธอตัดสินใจจะคบกับรพีหรือเปล่า” วารุณีมองเธอ
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าปาจรีย์ตกใจในคำพูดนี้ของเธอ เบิกตาโตกว้าง “ห๊ะ? คบกับพี่รพี? วารุณี เธอกำลังพูดอะไรเนี่ย ฉันจะคบกับพี่รพีได้ยังไง”
ปาจรีย์โบกมือแล้วยิ้ม เห็นได้ชัดเลยว่ารู้สึกเหมือนวารุณีจะเข้าใจผิด
อย่างไรก็ตามวารุณีมองเธอด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ปาจรีย์ เธอไม่รู้เหรอ?”
“รู้อะไร?” ปาจรีย์กะพริบตา
วารุณีถอนหายใจ “รพีชอบเธอไง”
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ปาจรีย์ไม่ได้รู้ความรู้สึกของรพีเลย
เหมือนที่คิดไว้เลย ปาจรีย์ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ก็ตกใจมาก “เธอบอกว่าอะไรนะ? พี่รพีเขา……เขาชอบฉัน?”
เธอตกใจจนพูดติดอ่างแล้ว พูดไม่ชัดแล้ว
วารุณีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เธอนี่เชื่องช้าจริงๆ ชัดเจนขนาดนี้แล้ว เธอยังไม่รู้อีก”
ปาจรีย์กลับไปนั่งบนโซฟา ทั้งคนซื่อๆ บื้อๆ “ฉันจะรู้ได้ยังไง ฉันกับพี่รพีจากกันยี่สิบปี ฉันลืมเขาไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาปรากฏตัวกะทันหัน ทั้งชีวิตนี้ฉันคงคิดไม่ออก ว่ายังมีคนคนนี้ ดังนั้นฉันจะไปคิดได้ยังไง ว่าพี่รพีชอบฉัน”
เอาเถอะ วันนั้นตอนที่ไปดูหนัง จริงๆ แล้วเธอก็มีความรู้สึกนี้ รู้สึกว่ารพีอาจจะชอบเธอ
แต่ว่าสุดท้ายตัวก็ปฏิเสธไป รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะว่าจากกันยี่สิบปี รพีจะชอบเธอได้ไง
อีกอย่างตอนที่จากกัน พวกเขาต่างก็ยังเป็นเด็กอยู่เลย เด็กจะไปเข้าใจเรื่องความรู้สึกอะไร
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ เธอจึงจะรู้ถึง ความรู้สึกที่รพีมีต่อเธออย่างถ่องแท้
“คือแบบนี้จริงๆ ตอนแรกฉันก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะชอบเธอ แต่ฉันมองออก เขาจริงจัง เขาชอบเธอจริงๆ ดังนั้นปาจรีย์ เธอคิดยังไง?” วารุณีก็นั่งลง
ปาจรีย์อ้าปาก “ฉัน……ฉันคิดยังไง?”
“อื้ม เธอตัดสินใจจะยอมรับรพี หรือว่า……”
“ไม่ ฉันไม่สามารถยอมรับเขาได้” จู่ๆ ปาจรีย์ก็ตอบกลับอย่างตื้นตัน “ฉันไม่รักเขา ฉันเห็นเขาเป็นเพียงแค่พี่ชาย ดังนั้นฉันไม่มีทางยอมรับเขาแน่นอน”
“ปาจรีย์ ฉันรู้ว่าเธอไม่รักเขา คนที่เธอรักคือพงศกรมาโยตลอด แต่ว่าพงศกรเป็นยังไงเธอรู้ดี เธอกับพงศกรไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน ฉันที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ พูดตามจริงนะ ฉันไม่อยากเห็นเธอจมอยู่ในความรู้สึกที่เจ็บปวดตลอด ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุข ดังนั้นฉันรู้สึกว่าเธอควรจะละเลยสายตาที่จดจ่อบนตัวพงศกร หันไปยังผู้ชายคนอื่น ในเวลานั้น เธอจะพบว่า จริงๆ แล้วยังมีผู้ชายอื่น ที่คู่ควรกับรักของเธอ”
วารุณีนั่งขยับไป วางมือไว้บนไหล่เธอ ตบลงไปเบาๆ “ปาจรีย์ เธอต้องเข้าใจ เธอกับพงศกรผิดอยู่แล้วตั้งแต่แรก เธอไม่มีทางรอเขาได้ และไม่สามารถหลอมละลายเขาได้ ในสายตาของเธอ ไม่ควรจะมีเพียงแค่คนเดียว ลองนึกถึงคุณอาและคุณน้า พวกเขาก็ไม่หวังว่าเธอจะเจ็บปวดเพราะพงศกร พวกเขาหวังให้เธอเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ ตกหลุมรักผู้ชายอื่นมากกว่า ฉันรู้ เธอไม่รักรพี แต่เธอสามารถลองไปรักเขา ไปยอมรับเขาดูได้”
“ลองรักเขา? ยอมรับเขา?” ปาจรีย์มองลงล่าง
วารุณีพยักหน้า “ใช่ ไม่แน่สุดท้ายเธออาจจะรู้สึกว่า เขาคือคนที่เหมาะสมกับเธอ บอกกันว่า ยอมที่จะอยู่กับคนที่รักตัวเอง ก็อย่าไปอยู่กับคนที่ไม่รักตัวเองไม่ใช่เหรอ? ดังนั้นปาจรีย์ เดินข้ามก้าวนี้ ลองดูเถอะ ลองเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่ดู”
ปาจรีย์ส่ายหัวด้วยนัยน์ตาที่หม่นหมอง “เป็นไปไม่ได้แล้ว ฉันไม่สามารถไปลองรักคนหนึ่งและเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่”
“ทำไม?” วารุณีขมวดคิ้ว “ปาจรีย์ ทำไมเธอถึงดื้อรั้นขนาดนี้ เธอรู้อยู่แท้ๆ แล้วว่าพงศกร……”
“ไม่ใช่วารุณี” ปาจรีย์ยิ้มโค้งอย่างข่มขื่นแล้วมองเธอ “ฉันไม่สามารถเริ่มรักคนหนึ่งใหม่ได้ ไม่ใช่เพราะพงศกร เพราะว่าฉันไม่มีเวลา และไม่มีพลังแล้ว”
“หมายความว่าอะไร?” หัวใจของวารุณีกระตุกขึ้นทันที ไม่รู้ว่าเพราะอะไร รู้สึกรางไม่ค่อยดี
ปาจรีย์ยิ้มแล้วลุกขึ้น “ไม่มีอะไร หลังจากนี้เธอก็จะรู้แล้ว โอเควารุณี ฉันต้องไปแล้วจริงๆ”
พูดจบ เธอเดิมอ้อมโซฟา แล้วเดินตรงไปทางประตู
แต่ว่าพึ่งเดินผ่านไปสองก้าว ก็เริ่มรู้สึกเวียนหัว
เธอหยุดเดิน ร่างกายเซไปเซมา วินาทีถัดไป ก็ล้มลงพื้น
วารุณีเห็นแล้วตกใจมาก “ปาจรีย์”
เธอรีบลุกขึ้น วิ่งไปรับคนไว้
เพราะว่ามาได้ทัน ปาจรีย์ไม่ได้ล้มลงพื้น แต่ล้มลงในอ้อมกอดของวารุณี
ปาจรีย์ลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าที่รนและเป็นห่วงของวารุณี ยิ้มอ่อน “วารุณี ขอบคุณเธอนะ”
เธอยืมมือของวารุณี กลับมายืนใหม่อีกครั้ง
วารุณีเม้มปากมองเธอ “ปาจรีย์ เมื่อกี้เธอเป็นอะไร? จู่ๆ ก็สลบไป ฉันตกใจหมดเลย”
“ไม่เป็นไร ก็แค่ความดันโลหิตต่ำ สองวันนี้ ฉันจะเป็นแบบนี้บางครั้ง บางครั้งถึงขั้นรู้สึกว่า ในกระเพราะไม่ค่อยสบาย” ปาจรีย์จับท้องแล้วพูด
วารุณีหรี่ตา “โลหิตต่ำ ไม่สบายท้อง? เธอเป็นโรคอะไรหรือเปล่า?”
นึกถึงคำพูดของปาจรีย์เมื่อกี้ที่ว่าไม่มีเวลา ไม่มีพลัง
ยากที่วารุณีจะไม่ไปคิด เธอเป็นโรคอะไรหรือเปล่า
อย่างไรก็ตามปาจรีย์ส่ายหัว “ไม่นิ”
“ไม่ได้ เธอต้องไปตรวจดูที่โรงพยาบาล” พูดจบ วารุณีก็ดึงมือของเธอ จะพาเธอไปโรงพยาบาล
ปาจรีย์ดึงมือออกมา “ไม่ต้องแล้ววารุณี เดี๋ยวหลังจากนี้ฉันไปเอง เธอไม่ต้องไปกับฉันแล้ว เธอต้องขึ้นเครื่องอีกไม่ใช่เหรอ? รีบไปเถอะ เดี๋ยวรถติดจริงๆ แล้วนะ”
“เธอไปเอง?” วารุณีมองเธอ ไม่ว่ายังไงก็ไม่เชื่อว่าเธอจะไปตรวจที่โรงพยาบาล
แน่นอนปาจรีย์รู้ว่าวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้ม “วางใจเถอะวารุณี ฉันจะไปจริงๆ ไปเย็นนี้เลย หากเธอไม่เชื่อ ตอนเย็นเธอหาฉัน ฉันส่งผลรายงานให้เธอเลย?”
ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ วารุณีอื้มตอบกลับ “ก็ได้ ตอนเย็นฉันจะหาเธอจริงๆ นะ”
“อื้ม” ปาจรีย์พยักหน้า
วารุณีจึงจะปล่อยเธอไป
เธอโบกมือ แล้วไปเปิดประตู
วินาทีที่ปิดประตู ปาจรีย์พิงอยู่ตรงผนังข้างประตู จู่ๆ ก็ปิดปากแล้วอาเจียนแบบแห้ง สีหน้าซีดขาวไปหมด
เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ว่าช่วงนี้ เธอมักจะเวียนหัว และมีอาการแบบนี้เป็นบางครั้ง รู้สึกไม่สบายในกระเพาะ หรือคลื่นไส้
ดังนั้นตัวเธอเองก็กำลังสงสัย ตัวเองอาจจะเป็นโรคบางอย่าง
แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้เวลาที่เหลือของตนเองก็ไม่มากพอแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มีความหมายจะไปตรวจที่โรงพยาบาล
เพราะว่า ไม่มีประโยชน์
สูดหายใจลึก ปาจรีย์กดทับความไม่สบายลงไป เดินไปยังห้องเพรสซิเดนเชียล สวีทข้างๆ จากนั้นเคาะประตูแล้วเข้าไป
ช่วงเช้าสิบเอ็ดโมง วารุณีเดินออกจากห้องเพรสซิเดนเชียล สวีท ตรงไปทางลิฟต์ เตรียมกลับจังหวัดจันทร์แล้ว