ในตอนที่เดินผ่านห้องเพรสซิเดนเชียล สวีทข้างๆ วารุณีตั้งใจเดินให้ช้าลง มองไปทางห้อง จึงจะกลับมาเดินตามจังหวะเดิม แล้วเข้าไปในลิฟต์
ไม่รู้ว่าปาจรีย์ไปหรือยัง ยังอยู่ที่ห้องรพีหรือเปล่า
ติ๊ง!
กำลังติดอยู่ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกแล้ว
วารุณียกเท้าเดินเข้าไป บอดี้การ์ดสี่คน ก็ถือกระเป๋าของเธอเดินตามเข้าไปด้วย
ในไม่ช้า วารุณีก็ขึ้นรถที่ตรงไปทางสนามบิน เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา โทรเรียกสายของนัทธี
ในไม่ช้านัทธีก็รับแล้ว “กลับมาแล้วเหรอ?”
เขาได้ยินเสียงรถที่ดังผ่านมาจากทางเธอ
“อื้ม” วารุณีพยักหน้า “อยู่ระหว่างทางไปสนามบิน ก็เลยตั้งใจบอกนายไว้ ฉันน่าจะถึงสนามบินจังหวัดจันทร์ประมาณสีโมงเย็น”
จริงๆ แล้วเมืองธาราก็ไม่ได้ถือว่าห่างไกลจากจังหวัดจันทร์ไม่มาก หากนั่งเครื่องบิน ก็ประมาณสองสามชั่วโมง
นัทธีเงยหน้าเล็กน้อย อื้มตอบกลับ “ฉันรู้แล้ว ตอนสี่โมง ฉันรอเธอที่สนามบินจังหวัดจันทรนะ”
“โอเค” วารุณีตอบกลับ
หลังจากนั้น จู่ๆ นัทธีก็ถามขึ้นว่า “จริงด้วย เธอไปเมืองธาราครั้งนี้ เพื่อไปหาปาจรีย์ถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นไม่ใช่เหรอ? ถามได้หรือยัง?”
“ยัง” พูดถึงเรื่องนี้ เธอก็ถอนหายใจยาว “ครั้งนี้ปาจรีย์ท่าทียืนหยัดมาก พูดว่าไม่ยังไงก็จะไม่บอกฉัน ยังพูดอีกว่าหากบอกฉันแล้ว ฉันจะห้ามเธอ ดังนั้นฉันเองก็ไม่มีทางอื่น ได้แต่ปล่อยไป ก็คงจะไปบังคับเธอไม่ได้”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ปล่อยเธอไปเถอะ” นัทธีพูดด้วยเสียงที่เบา
วารุณีพยักหน้า “ใช่แล้ว ฉันก็คิดแบบนี้ ดังนั้นวันนี้ฉันก็เลยตัดสินใจกลับมา ไม่งั้น ฉันต้องอยู่ต่ออีกช่วงหนึ่งแน่นอน ดูว่าสามารถช่วยอะไรเธอได้หรือเปล่า”
“จะช่วย ก็ใช่ว่าต้องอยู่ที่เมืองธาราเท่านั้น” นัทธีพูดพึมพำ
วารุณีฟังออกถึงความไม่พอใจของเขา รู้ว่าเขาไม่ชอบคำพูดที่เขาพูดเมื่อกี้ที่ว่า อยู่ที่เมืองธาราช่วงเวลาหนึ่ง อดหัวเราะไม่ไหว “ฉันก็แค่พูดไปเท่านั้น อีกอย่าง ปาจรีย์ก็ไม่ได้บอกฉันไม่ใช่เหรอ? ดังนั้นเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฉัน”
“ไม่ต้องการความช่วยเหลือก็ดี เรื่องของตัวเอง ก็ควรจะจัดการเอง” นัทธีพูด
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พอแล้วพอแล้ว หึงอะไรขนาดนี้เนี่ย พอแล้วที่รัก ฉันไม่คุยกับนายแล้ว จะถึงสนามบินแล้ว มีอะไรรอฉันกลับมาแล้วค่อยพูด”
“อื้ม” นัทธีพยักหน้า
วางสายลง วารุณีวางโทรศัพท์ลง เก็บเข้าไปในกระเป๋า หลังจากที่รถของโรงแรมจอดอยู่ที่หน้าประตูสนามบิน เธอปิดประตูออก เดินเข้าไปในสนามบินภายใต้บอดี้การ์ดที่คอยปกป้องสี่คน
วารุณีอยู่ที่สนามบินไปประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วเดินเข้าไปเช็กอินในช่องทางVIP
ในตอนที่เดินผ่านชั้นประหยัด วารุณีได้ดึงดูดความสนใจของผู้โดยสารในชั้นประหยัด
ไม่ว่ายังไงแล้ว ก็พาบอดี้การ์ดมาสี่คน ไปถึงไหนก็เป็นที่สนใจทั้งนั้น
บวกกับใบหน้าของวารุณีที่สวมแว่นดำ ก็ปกปิดความงามไม่ได้ ยิ่งน่าดึงดูดไปใหญ่แล้ว
“เห็นหรือยัง เห็นหรือยัง? บอดี้การ์ด สี่คนอีก ใหญ่โตขนาดนี้ ครั้งแรกเลยที่ฉันเห็น ต้องเป็นคุณหนูของตระกูลมหาเศรษฐีแน่นอน”
“ก็ไม่แน่ ใบหน้าของเธอสวยงามขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะสวมแว่นดำไม่เห็นใบหน้าทั้งหมด แต่ว่าเป็นสาวสวยแน่นอน ไม่แน่อาจจะเป็นดาราก็เป็นได้”
“เธอพูดถูก”
“เฮอะ ไม่ใช่ เธอไม่ใช่คุณหนูตระกูลรวยอะไรหรอก ยิ่งไม่ใช่ดารา” ในการสนทนาที่ดีใจของกลุ่มคน จู่ๆ ก็มีเสียงเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
ผู้คนที่สนทนามองไป
“นี่ หมายความว่าอะไร อะไรคือไม่ใช่คุณหนูของคนตระกูลรวบ ยิ่งไม่ใช่ดาดรา หรือว่า เธอรู้จักนางเหรอ?”
มีคนถามผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงเงยหน้าขึ้น เผยใบหน้าที่ไม่ได้งดงามมาก แต่ว่าเป็นใบหน้าที่ใสสะอาดน่าเอ็นดู
จริงๆ หน้าใบนี้ถือว่าสวย แต่ว่าตอนนี้ กลับถูกสิ่งของหนึ่งที่เรียกว่าอิจฉาทำให้เสียโฉมไป ชัดเจนเลยว่าใบหน้าใบนี้ ดูแล้วทั่วไปไม่มีอะไร ถือว่าธรรมดามาก
“ฉันรู้จัก เธอคือเพื่อมหาลัยของฉัน ที่บ้านก็ธรรมดาทั่วไป ตอนนี้ที่แต่งตัวดีขนาดนี้ ยังพาบอดี้การ์ดมาเยอะขนาดนี้ เพราะว่าคบกับผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว เรื่องพวกนี้เพื่อนเก่าของเราต่างก็รู้” ผู้หญิงมองลงล่าง ปิดบังความรู้สึกผิดในตาแล้วพูด
เพราะว่าเธอปกปิดความรู้สึกผิดเร็วเกินไป คนในชั้นประหยัดจึงไม่เห็น แต่ว่าคำพูดนี้ของเธอ กลับมีคลื่นซัดขึ้นมาในชั้นประหยัด
“ให้ตายเถอะ คบกับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว? ที่แท้ก็เป็นมื้อที่สามนี่เอง เฮอะ ฉันยังชมเธอว่าสวย บุคลิกดีอีก มื้อที่สาม จะสวยแค่ไหนบุคลิกดีแค่ไหนก็เป็นคนหน้าด้าน”
“นั่นน่ะสิ พวกเธอว่าเด็กผู้หญิงสมัยนี้เป็นอะไรกันไป แต่ละคนไม่คิดพยายามเอง ก็ไปเป็นมื้อที่สามให้คนอื่นแล้ว เฮ้อ……”
ฟังคำพูดดูหมิ่นวารุณีของผู้คน ผู้หญิง ก็คือจุ๊บแจงเผยรอยยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตามีความสุขผ่านไป
หากขณะนี้วารุณีก็อยู่ในสถานที่ เห็นจุ๊บแจงในตอนนี้ จะต้องตะลึงงันแน่ๆ
เพราะว่าจุ๊บแจงเปลี่ยนไปเยอะมาก ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเล่ห์เหลี่ยมจะมาก เห็นแก่เงิน แต่ยังน้อยก็ปกปิดไว้ดี เพราะว่าภายนอกของจุ๊บแจงดูแล้วใสๆ ซื่อๆ คือหน้าตาของเด็กผู้หญิงข้างบ้านที่เป็นที่รักแรกเลย ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนยากที่จะคิดไปว่าเธอเป็นคนเห็นแก่เงิน
จุ๊บแจงในตอนนี้ ไม่รู้ว่าถูกโจมตีอะไรมาหรือเปล่า สไตล์การแต่งตัวก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนหมดเลย
จุ๊บแจงในเมื่อก่อน แต่งตัวธรรมดาเรียบร้อย จุ๊บแจงในตอนนี้ กลับแต่งตัวดูมีเสน่ห์และทันสมัยขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่สำคัญคือจุ๊บแจงในเมื่อก่อนจะแต่งหน้าอ่อนๆ ตอนนี้ได้เพิ่มลิปสติกแดงและสีเปลือกตา ใบหน้าที่ไม่เหมาะกับการแต่งหน้าเข้มๆ ในตอนแรก ถูกแต่งด้วยเครื่องสำอางที่หนา ดูแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ไม่คุ้นชิน
แล้วก็ตาคู่นั้นของเธอ เมื่อก่อนถือว่าเปล่งประกายมาก ตอนนั้นกลับดูมืดหมองไปหมดแล้ว
สรุปแล้วการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้มากไปกว่าปกติเลย
จุ๊บแจงก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองจะมาร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลกับมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่เมืองธารา แล้วถูกมหาเศรษฐีทิ้ง ในตอนที่ตนเองกลับจังหวัดจันทร์คนเดียว กลับเจอกับภรรยาของนัทธี
ผู้หญิงที่เธอเกลียดแค้นมากๆ
ใช่ เกลียด!
ตามหลักแล้ว เธอไม่ได้มีความขัดแย้งโกรธเคืองใดๆ กับภรรยาของนัทธี คือไม่ทางมีความแค้นจึงจะถูก แต่ว่าเธอกับวารุณี กลับมีความแค้นต่อกัน ความแค้นนี้ ก็คือความแค้นที่แย่งผู้ชาย
เธอคิดมาโดยตลอดว่า หากไม่มีวารุณี หรือหากวารุณีขี้เหร่กว่านี้หน่อย เธอก็จะคบกับนัทธี เธอช่วยนัทธีไว้ นัทธีต้องตกหลุมรักเธอแน่
จากที่เธอดูแล้ว นัทธีไม่ได้รักเธอ นั่นเป็นเพราะเธอสวยไม่เท่าวารุณี
เทวดารู้ว่าเธอยากจะทำลายใบหน้าของวารุณีให้เสียโฉมกี่ครั้งแล้ว หากวารุณีไม่มีใบหน้านี้ นัทธีก็จะย้ายหัวใจที่อยู่บนตัวของวารุณีออกไป
แต่ความเป็นจริงนั้น เธอกลับไม่สามารถแตะต้องตัววารุณีเลย ไม่สามารถเจอวารุณี แล้วจะทำให้วารุณีเสียโฉมยังไงล่ะ
ถึงแม้ว่าจะเจอแล้ว หรือวารุณีอยู่ในเครื่องบินลำเดียวกับเธอ เธอก็ไม่มีวิธีเข้าใกล้วารุณีอยู่ดี
เพราะว่าข้างกายของวารุณีมีบอดี้การ์ดสี่คน ดูก็รู้ว่าไม่สามารถสร้างเรื่องบาดหมางได้
แต่ว่าถึงแม้จะไม่สามารถสร้างการทำร้ายบนตัววารุณีได้ แต่ตั้งแต่ใส่ร้ายวารุณี ทำให้วารุณีกลายเป็นมื้อที่สาม เธอถือว่าสามารถทำได้
คิดถึงจุดนี้ ใบหน้าของจุ๊บแจงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พอใจ
ในชั้นเฟิร์สคลาส
วารุณีไม่รู้ว่าชื่อเสียงของตนเองถูกใส่ร้ายแล้ว เธอปิดนิตายสารแฟชั่นในมือ ถอดแว่นดำออก
บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตรงข้ามเห็นท่าทางของเธอแล้ว รีบไถ่ถาม “คุณหญิง ต้องการอะไรหรือเปล่าครบ”
“ฉันรู้สึกหิวน้ำ” วารุณีวางนิตยสารไว้ข้างๆ แล้วพูด
บอดี้การ์ดหันมา “ผมรับทราบครับ ผมจะเรียกยกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมาเดี๋ยวนี้เลยครับ คุณหญิงรอสักครู่นะครับ”
วารุณีอึ้มไปคำหนึ่ง
บอดี้การ์ดปลอดเข็มขัดบนตัวลง แล้วกดกริ่งเรียก