ในไม่ช้า แอร์โฮสเตสคนหนึ่งเดินมาด้วยรอยยิ้ม ถามกับบอดี้การ์ดว่า “คุณผู้ชาย มีอะไรที่ต้องการสั่งไหมคะ?”
“คุณหญิงบ้านผมหิวน้ำเล็กน้อยครับ คุณนำน้ำมาให้หน่อยครับ” บอดี้การ์ดพูด
แต่ว่าวินาทีถัดไป บอดี้การ์ดก็นึกอะไรบางอย่างออก มองไปทางข้างหลังของแอร์โฮสเตส “คุณหญิง คุณอยากดื่มอะไรครับ?”
แอร์โฮสเตสหันตัวมองไปทางวารุณี
ในตอนที่เห็นใบหน้าขอวารุณี นัยน์ตาของแอร์โฮสเตสมีความตะลึงผ่านไป แต่ในไม่ช้าก็เลือนหายไป สิ่งที่เข้ามาทดแทน คือนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก
เมื่อกี้ชั้นประหยัดต่างก็กำลังพูดคุยนินทาว่า มีมื้อที่สามคนหนึ่ง พาบอดี้การ์ดสี่คนทำท่าโอ้อวดไปทั่ว เกรงว่าคงจะเป็นท่านนี้แหละนะ
หน้าตาสวยมากจริงๆ เสียใดที่คุณธรรมไม่ผ่าน
สวยขนาดนี้ หาผู้ชายดีๆ คนหนึ่งไม่ดีเหรอ ต้องไปเป็นมื้อที่สามของผู้อื่น ทำร้ายครอบครัวผู้อื่น น่าละอายใจจริงๆ
ตอนแรกวารุณียังคิดอยู่ว่าอยากดื่มอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่านัยน์ตาที่แอร์โฮสเตสมองตัวเองไม่ค่อยปกติ เงยหน้าขึ้นมองเธอ
แอร์โฮสเตสคิดไม่ถึงว่าวารุณีจะมองเธอกะทันหัน ความดูถูกในแววตาเก็บไม่ทัน วารุณีถึงเห็นอยู่ในสายตา
วารุณีเม้มปาก พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “คุณผู้หญิงท่านนี้คะ ฉันเคยสร้างเรื่องบาดหมางกับคุณไหมคะ?”
แอร์โฮสเตสอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ยิ้มอย่างสับสนแล้วตอบกลับ “ไม่เคยค่ะ ผู้โดยสารถามอย่างนี้ทำไมคะ”
วารุณีนั่งไขว่ห้าง “ทำไม? ในเมื่อไม่ได้สร้างเรื่องบาดหมางกับคุณ งั้นทำไมคุณต้องใช้สายตาแบบนั้นมองฉัน เหมือนว่าฉันเป็นขยะเลย”
“ฉัน……” รอยยิ้มบนใบหน้าของแอร์โฮสเตสแข็งทื่อไปชั่วครู่ ทั้งคนของเธอทำตัวไม่ถูกเลย
เห็นได้ชัดเลย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าแววตาของตนเองในเมื่อกี้ จะถูกวารุณีเห็นเข้า และวารุณียังพูดออกมาต่อหน้าผู้คนด้วย
ดังนั้นตอนนี้ ในใจของแอร์โฮสเตสสับสนและกลัวมาก
เพราะว่าวารุณีสามารถไปฟ้องเธอได้เลย
ข้างๆ บอดี้การ์ดสี่คนได้ยินคำพูดของวารุณีแล้ว ต่างก็ลุกขึ้นมาทั้งหมดทันที ดวงตาแปดดวงจ้องไปทางแอร์โฮสเตสอย่างเย็นชา
“พูด ทำไมเมื่อกี้คุณถึงใช้สายตาแบบนั้นมองคุณหญิงบ้านผม หากคุณไม่พูด เครื่องบินยังไม่บิน ตอนนี้ผมจะพาคุณไปที่บริษัทการบินของคุณ หาผู้รับผิดชอบบริษัทการบินคุณ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุม
บอกี้การ์ดท่านนี้ ก็คือคนที่กดกริ่งเมื่อกี้
แน่นอนแอร์โฮสเตสรู้ดวงตาทั้งแปดดวงข้างหลังเธอนั้นเย็นชาดั่งห้องใต้ดินน้ำแข็ง เธอทั้งคนตกใจจนสีหน้าซีดขาวไปหมด ร่างกายก็เริ่มสั่นแล้ว
โดยเฉพาะประโยคนั้นของบอดี้การ์ด ที่บอกว่าจะพาเธอไปหาผู้รับผิดชอบของบริษัท ยิ่งทำให้ดวงตาของเธอแดงไปเลย รีบโค้งคำนับขอโทษกับวารุณี “ขอโทษค่ะขอโทษค่ะ ขอโทษผู้โดยสารท่านนี้จริงๆ ค่ะ ฉันก็ไม่อยากค่ะ เพราะว่าเมื่อกี้คนที่ชั้นประหยัดบอกว่าคุณเป็นมื้อที่สามที่เข้าไปแทรกแซงในชีวิตแต่งงานผู้อื่น ดังนั้นฉํนถึงได้……ขอโทษค่ะขอโทษค่ะ……”
แอร์โฮสเตสโค้งคำนับไปหลายครั้งมาก ทั้งคนของเขาร้องไห้สะอึกสะเอื้อน
วารุณีขมวดคิ้วขึ้นทันที “เธอบอกว่าอะไรนะ? มีคนบอกว่าฉันเป็นมื้อที่สามที่เข้าไปแทรกแซงของผู้อื่น”
“ใช่ค่ะ” แอร์โฮสเตสรีบพยักหน้า
“เชี้ยไรเนี่ย” บอดี้การ์ดคนหนึ่งที่อารมณ์ร้อนและรุนแรง ทันใดนั้นก็ตะโกนดังขึ้นมาทันที “คุณหญิงของเรานั้นเป็นภรรยาที่คุณผู้ชายบ้านผมสู่ขอมาอย่างโจ่งแจ้ง เป็นการแต่งงานครั้งแรก รักแรกด้วย มื้อที่สามอะไรกัน เรื่องไร้สาระทั้งนั้น!”
“ใช่ กล้าดีมาปล่อยข่าวลือแบบนี้ รนหาที่ตายจริงๆ”
บอดี้การ์ดที่เหลืออีกสามคน กำมัดขึ้น เรื่องแบบนี้ในตอนนี้ ทำเอาพวกเขาต่างก็โกรธมาก
และแอร์โฮสเตสที่ได้ยินเรื่องพวกนี้ ตอนนี้โง่ไปทั้งคนเลย
อะไรนะ?
นั่นคือข่าวลือ?
ผู้หญิงที่สวยมากๆ ตรงหน้านี้ กลับเป็นภรรยาหลัก
ใช่สิ ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ จะไปเป็นมื้อที่สามได้ยังไง
ข่าวลือของมื้อที่สาม ต้องเป็นคนที่อิจฉาผู้โดยสารท่านนี้จึงปล่อยออกมาแน่นอน เธอกลับเชื่ออย่างโง่ๆ แบบนี้ ยังแสดงออกถึงความดูถูกต่อหน้าเจ้าของเรื่องอีกด้วย
นี่เป็นการหาเหาใส่ตัวชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ?
วินาทีนี้ แอร์โฮสเตสเสียใจมาก เสียใจที่ตัวเองไม่ควรไปฟังข่าวลือพวกนั้นไปมั่ว
ยิ่งเสียใจที่ตนเองไม่สามารถควบคุมสายตาและสีหน้าให้ดี
สรุปแล้ว เสียใจอย่างไงก็อย่างนั้นแหละ
“ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือค่ะ ฉันรู้แค่ว่า ข่าวลือถูกปล่อยออกมาจากชั้นประหยัดค่ะ” แอร์โฮสเตสก้มหน้าลง พูดตอบส่งๆ ไป
วารุณีหรี่ตา “ชั้นประหยัด……”
“คุณหญิง หรือว่าผมลองไปดูไหมครับว่าใครกล้าขนาดนี้ เอายังไงครับ?” บอดี้การ์ดที่กดกริ่งเมื่อกี้เดินมาหนึ่งก้าวแล้วพูด
บอดี้การ์ดอีกคนก็พยักหน้า “ผมด้วยครับ คุณหญิง พวกเราไปด้วยกัน หาพร้อมกันสองคน เปอร์เซ็นต์ที่จะหาคนคนนั้นเจอเยอะมาก”
“ไปเถอะ” วารุณีโบกมือ
บอดี้การ์ดตอบกลับ แล้วไปที่ชั้นประหยัด
บอดี้การ์ดอีกสองคนไม่ได้ไป อยู่ที่ชั้นเฟิร์สคลาส ไม่ว่ายังไงแล้ววารุณีอยู่ที่นี่ ไม่สามารถไม่มีคนปกป้องได้
“อันนั้น……” แอร์โฮสเตสเงยหน้าขึ้น มองวารุณีอย่างระมัดระวัง “ผู้โดยสารท่านนี้…….ไม่ คุณหญิง คุณสามารถปล่อยฉันไปครั้งนี้ได้ไหมคะ ไม่พาฉันไปที่ท่านประธานได้ไหมคะ หากไปแล้ว ฉันจะต้องถูกไล่ออก ขอร้องคุณเถอะนะคะ”
คนที่สามารถเหมาชั้นเฟิร์สคลาสได้ สามารถพาบอดี้การ์ดติดตัวสี่คนได้
คนแบบนี้ ตัวตนฐานะไม่ธรรมดาแน่นอน บริษัทการบินจะต้องเอียงไปทางคุณหญิงคนนี้แน่นอน แต่ไม่ใช่พนักงานอย่างเธอ
ไม่ว่ายังไงแล้วเธอก็สร้างเรื่องบาดหมางกับคนที่มีฐานะตัวตน ใครก็ไม่รู้ว่าบริษัทการบินจะได้รับความเสียหายอะไรหรือเปล่า
ดังนั้นเธอไม่สามารถฝากความหวังไว้กับบริษัท ได้แต่ฝากความหวังไว้กับผู้หญิงตรงหน้านี้แล้ว
ขอแค่คุณผู้หญิงท่านนี้ไม่เอาเรื่องตัวเอง เธอก็สามารถรอดครั้งนี้ไปได้
วารุณีมองเธออย่างดูถูก “เธออยากให้ฉันปล่อยเธอไปครั้งหนึ่ง?”
“ใช่ค่ะคุณหญิง” การโค้งคำนับของแอร์โฮสเตสก้มต่ำลงกว่าเดิม
วารุณีเบ้มุมปาก “ปล่อยเธอไปก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ฉันอยากรู้ว่า ปกติเธอก็ทำแบบนี้กับผู้โดยสารเหรอ? แค่ได้ยินข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช้สายตาดูถูกแบบนี้มองผู้โดยสาร?”
“เปล่าค่ะเปล่าค่ะ” แอร์โฮสเตสรีบโบกมือ “ฉันแค่เกลียดมื้อที่สามค่ะ ดังนั้นถึงได้อดกลั้นสายตาแบบนั้นไม่ไหว ปกติแล้วฉันดูแลผู้โดยสารดีมากๆ ค่ะ หากคุณหญิงไม่เชื่อ สามารถตรวจสอบการสอบของฉันได้ค่ะ เพราะพี่สาวของฉันถูกทำร้ายจากมื้อที่สาม ดังนั้นฉันก็เลยเกลียดมื้อที่สามเป็นพิเศษ ขอโทษจริงๆ ค่ะคุณหญิง ฉันรู้สึกผิดแล้วค่ะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
พูดจบ แอร์โฮสเตสก็ร้องไห้ขึ้นมา
วารุณีนวดขมับ “ร้องไห้อะไร ฉันไม่ได้รังแกเธอซะหน่อย”
“ฉัน……ฉันไม่ได้อยากร้องไห้ค่ะ ฉันแค่กลัวมาก กลัวจะเสียงานนี้ไปค่ะ” แอร์โฮสเตสพูดด้วยเสียงเบา
วารุณีถอนหายใจ “เฮ้อ เห็นกับที่เธอทำแบบนี้เพราะข่าวลือ ครั้งนี้ฉันก็จะปล่อยเธอไป ฉันหวังว่าหลังจากนี้เธอไม่ต้องทำแบบนี้อีก ฟังแต่ฝ่ายหนึ่งและเชื่อแต่ฝ่ายหนึ่ง จากนั้นก็แสดงออกท่าทางที่ไร้มารยาทกับผู้โดยสาร ไม่เช่นนั้นสักวัน ไม่ช้าก็เร็วเธอจะเป็นโทษผู้อื่น แล้วเสียงานนี้ไป”
ได้ยินคำพูดของวารุณีแล้ว แอร์โฮสเตสดีใจขึ้นมาทันที รีบเงยหน้าขึ้น ร้องไห้อย่างดีใจแล้วพยักหน้าต่อกัน “ฉันทราบแล้วค่ะคุณหญิง ฉันจะจำไว้ จะไม่ทำผิดแบบนี้อีกแน่นอนค่ะ”
“พอแล้ว เธอไปทำงานเถอะ” วารุณีโบกมือ
แอร์โฮสเตสเช็ดน้ำตา หยุดร้องไห้แล้วเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็โค้งคำนับไปทางวารุณี พูดขอบคุณแล้วจากไป
เธอพึ่งเดินจากไป บอดี้การ์ดก็พาคนกลับมาจากชั้นประหยัดแล้ว สีหน้าไม่ค่อยดี “คุณหญิง หาคนที่ปล่อยข่าวลือไปมั่วเจอแล้วครับ”
“อ๋อ?” วารุณีเม้มปาก นัยน์ตามีความเกลียดชังผ่านไป “คือใคร?”
เธอเกลียดคนที่ปล่อยข่าวแบบนี้มากที่สุดแล้ว
ข่าวลือ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่มีด แต่ก็สามารถเป็นอาวุธทำร้ายคนได้ ตั้งแต่โบราณ คนที่ตายเพราะข่าวลือมีไม่น้อย
เพราะข่าวลือจากปากต่อปาก จะตามแก้นั้นมันยากนัก
และคนที่ปล่อยข่าวลือ ก็เอาแต่ตัวเองสนุก ไม่เคยไปคิดวิเคราะห์ถึงผู้อื่น และคนที่ถูกปล่อยข่าวลือ มีชีวิตอยู่ยังไง กำลังเผชิญกับความเจ็บปวดแบบไหน
ดังนั้นครั้งนี้ เธอจะไม่ปล่อยคนที่ปล่อยข่าวลือไปเด็ดขาด
“คนคนนั้น คุณหญิงท่านก็รู้จักครับ” บอดี้การ์ดพูด
วารุณีตะลึงเล็กน้อย “ฉันรู้จัก?”
อ้าวเฮ้ย ที่แท้ก็เป็นคนรู้จักนี่เอง