“คือใคร?” วารุณีถามด้วยเสียงที่เย็นชา
บอดี้การ์ดตอบกลับ “คือจุ๊บแจงครับ”
“จุ๊บแจง?” วารุณีกะพริบตาอย่างตะลึงงัน
บอดี้การ์ดพยักหน้า “คือเธอครับ เธอก็อยู่บนเครื่องบินลำนี้ เมื่อกี้ตอนที่พวกเราเดินผ่านขึ้นประหยัด ถูกเธอมองเห็น ดังนั้นเธอจึงได้ปล่อยข่าวลือนี้ออกมา ไม่ว่ายังไงแล้วเธอก็ชอบประธาน”
พูดถึง ‘ชอบประธาน’ สามคำนี้ บอดี้การ์ดได้หันไปมองวารุณีอย่างระมัดระวังด้วย กลัวว่าวารุณีจะโกรธ
แต่ว่าวารุณีไม่ได้โกรธ รู้สึกแค่น่าตลก
“ฉันคิดว่าใครซะอีก ที่แท้ก็คือเธอ ในเมื่อเธอเป็นคนปล่อยข่าวลือ งั้นฉันไม่ได้รู้สึกตะลึงงันจริงๆ” มุมปากของวารุณีเผยรอยยิ้มที่ดูถูก
บอดี้การ์ดมองเธอ “ตอนนี้เจ้าสี่ยังอยู่ที่ชั้นเฟิร์สคลาสจับตาดูจุ๊บแจงไว้อยู่ครับ คุณหญิง ตัดสินใจจะจัดการเธอยังไงครับ”
“ตอนนี้เครื่องบินบินแล้ว เรื่องราวไม่สามารถจัดการบนเครื่องบินได้ หากผู้หญิงคนนั้นยุ่งวุ่นวายขึ้นมา ถือเป็นเรื่องอันตรายสำหรับเครื่องบินที่บินอยู่ ดังนั้นรอให้เครื่องบินลงจอดแล้วค่อยว่ากัน นายให้เจ้าสี่กลับมาก่อน แต่ว่าก่อนกลับมา บอกกับลูกเรือด้วยว่า ให้ลูกเรือจับตาดูเขาไว้ดีๆ รอให้เครื่องบินลงจอดแล้ว เหลือเธอไว้ อย่าให้เธอหนีไป” วารุณีหรี่ตาแล้วพูด
สำหรับจุ๊บแจงคนที่ชอบปล่อยข่าวลือไปมั่ว เธอไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน
เพราะว่าหากครั้งนี้ปล่อยไป ใครจะรู้ว่าหลังจากนี้ผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรอีกหรือเปล่า
“ได้ครับคุณหญิง” บอดี้การ์ดพยักหน้า เดินไปที่ชั้นประหยัดอีกครั้ง
ในไม่ช้า เขาก็พาบอดี้การ์ดอีกคนกลับมาแล้ว
บอดี้การ์ดคนนั้นรายงานกับวารุณี “คุณหญิง ผมได้บอกลูกเรือแล้วครับ ทางนั้นตกลงจะช่วยเราจับตาดูจุ๊บแจงครับ”
“งั้นก็ดี” วารุณีพยักหน้า จากนั้นก็ชี้ไปทางข้างหน้า “นั่งเถอะ บนเครื่องบินห้ามเดินนานเกินไป”
“ครับ” บอดี้การ์ดตอบกลับไป แล้วกลับไปนั่งที่เดิม
วารุณีก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หยิบผ้าปิดตาข้างๆ ขึ้นมาใส่ ปิดตาแล้วเตรียมตัวนอนสักพัก
การนอนครั้งนี้ เป็นเวลาสองชั่วโมงกว่า เครื่องบินจอดลงยังสนามบินของจังหวัดจันทร์อย่างคงที่
วารุณีถูกบอดี้การ์ดปลูกตื่น “คุณหญิง เครื่องบินลงจอดแล้วครับ”
วารุณีดึงผ้าปิดตาลง ลืมตาออก
เพราะว่าดวงตาอยู่แต่ในที่มืดมาโดยตลอด ลืมตาขึ้นกะทันหัน ดวงตาจึงรู้สึกไม่ค่อยสบาย
หลังจากผ่านไปสิบวินาที เธอจึงจะลืมตามองวิวตรงหน้าอย่างชัดเจน เห็นบอดี้การ์ดสองคนยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง เธอนวดหว่างคิ้วแล้วพูดว่า “ถึงแล้ว?”
“ใช่ครับคุณหญิง” บอดการ์ดพยักหน้า
บอดี้การ์ดพูดขึ้นว่า “คุณหญิง เราลงเครื่องก่อนดีกว่าครับ จุ๊บแจงถูกลูกเรือและพวกเจ้าสี่พาไปที่ห้องพักผ่อนแล้วครับ”
วารุณีบิดขี้เกียจ “โอเค”
พูดจบ เธอเก็บผ้าปิดตาลงในกระเป๋า แล้วลุกขึ้น ลงเครื่องภายใต้การนำพาของบอดี้การ์ดสองคน
ตรงไปทางห้องพักผ่อน วารุณีหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหานัทธี
นัทธีจัดการเอกสารอยู่ที่ห้องทำงาน ได้ยินโทรศัพท์ดังขึ้น หยิบขึ้นมาดู ยิ้มแล้ว “ที่รัก”
คำว่าที่รัก ทำเอาเลขาที่นำเอกสารเข้ามารู้สึกสวีทแทนเลย
วารุณีอื้มตอบกลับ ถือว่าตอบรับ “ที่รัก ฉันลงเครื่องแล้วนะ”
“ลงแล้ว?” นัทธีอึ้งไปเลย จากนั้นก็มองดูเวลาตรงมุมล่างขวาของหน้าจอคอม เห็นว่าสี่โมงแล้ว เครื่องบินควรจะถึงแล้ว
“ขอโทษ ฉันยุ่งมาโดยตลอดเลย ไม่ทันได้ดูเวลา ฉันรีบมารับเธอเดี๋ยวนี้เลย” นัทธีพูดจบ ก็ยืนขึ้น
วารุณียิ้ม “หากยุ่งมากจริงๆ ไม่ต้องมาก็ได้ เดี๋ยวฉันกลับไปคนเดียวก็ได้แล้ว ไม่ว่ายังไงแล้วก็มีบอดี้การ์ดปกป้องฉัน นายก็ไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของฉันนะ”
“ฉันรู้แล้ว แต่ว่าฉันจะมารับเธอ ฉันไม่ได้เจอเธอสองวันแล้ว” นัทธีพูด
ภายใต้ความหมายก็คือ ฉันคิดถึงเธอแล้ว
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นนายก็มาเถอะ ฉันยังต้องจัดการอีกเรื่องหนึ่งพอดี”
“จัดการอีกเรื่องหนึ่ง?” นัทธีขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ยัยจุ๊บแจงนั่นยังจำได้อยู่หรือเปล่า” วารุณีถาม
นัยน์ตาของนัทธีมีความสงสัยผ่านไป “ใครเหรอ? รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้”
เขาพูดพึมพำ
วารุณีได้ยินประโยคนี้แล้ว รู้ว่าเขาจำไม่ได้จริงๆ อดหัวเราะไม่ได้
หากยัยจุ๊บแจงนั่นรู้ คนที่เธอแอบชอบอยากจะแต่งงานด้วยมาโดยตลอด จำเขาไม่ได้แล้ว
ไม่รู้ว่าเธอจะเสียใจจนร้องไห้หรือเปล่า
“หัวเราะอะไร?” นัทธียักระหว่างคิ้ว
วารุณีหยุดหัวเราะ แต่ว่ารอยยิ้มในสายตา กลับยังไม่ได้หายไป เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร ฉันอยากบอกนายว่า ยัยจุ๊บแจงก็คือคนช่วยนายไว้ที่ข้างแม่น้ำ แล้วตกหลุมรักนาย อยากแต่งงานกับนาย”
ถูกวารุณีเตือนแบบนี้ นัทธีก็นึกขึ้นทันทีว่าจุ๊บแจงคือใครแล้ว ขมวดคิ้ว นัยน์ตามีความรังเกียจผ่านไป “ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง!”
จะบอกว่าชาตินี้ ผู้หญิงที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ ยกเว้น นวิยา ก็คือเธอแล้ว
และไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะลืมผู้หญิงคนนี้ไป ตอนนี้ก็นึกขึ้นมาอีก
“คือเธอ” วารุณีพยักหน้า
นัทธีเม้มปาก “จู่ๆ เธอจะพูดถึงนางทำไม? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เกี่ยวข้องกับนาง?”
“ใช่แล้ว บังเอิญมาก ฉันนั่งเครื่องบินคันเดียวกับนาง นางอยู่ที่ฉันประหยัด ตอนที่ฉันเดินผ่านชั้นประหยัด นางเห็นฉัน จากนั้นนางก็ปล่อยข่าวลือฉัน” วารุณีตอบกลับอย่างเย็นชา
สีหน้าของนัทธีเข้มลง “อะไรนะ? นางปล่อยข่าวลือเธอ?”
“ใช่ บอกว่าฉันเป็นมื้อที่สามของบ้านคนรวย ฉันโมโหจริงๆ เลย” วารุณีพูดอย่างโมโห
นัยน์ตาของนัทธีมีความเยือกเย็นผ่านไป “เธอกล้าพูดแบบนี้เลย? ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ถูกพวกเจ้าสี่พาไปที่ห้องพักผ่อนของสนามบินแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังจะไปคิดบัญชีกับนาง”
“โอเค เธอไปก่อน ฉันจะรีบมา” นัทธีพยักหน้า
คุยโทรศัพท์จบแล้ว วารุณีวางมือถือลง เดินมาถึงนอกประตูห้องพักผ่อนแล้ว
บอดี้การ์ดทั้งสองเปิดประตู ในห้องมีสามคน ทันใดนั้นก็หันมากันทั้งหมด
สองคนในนั้น ก็เป็นบอดี้การ์ดของวารุณี คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างบอดี้การ์ด ก็คือคือจุ๊บแจงที่สีหน้าซีดขาว
จุ๊บแจงก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองแค่ปล่อยข่าวลือบนเครื่องบิน และไม่ได้ตั้งใจไปพูดต่อหน้าวารุณี วารุณีกลับรู้ แล้วพอเครื่องบินลงจอด คนของวารุณีก็พาเธอมาที่นี่เลย
เธอรู้ วารุณีอยากจะจัดการเธอแน่นอน ไม่ว่ายังไงแล้วเธอก็ปล่อยข่าวลือออกมา
หากเปลี่ยนเป็นเธอ มีคนปล่อยข่าวลือตนเอง ตนเองก็ต้องไม่ปล่อยฝ่ายตรงข้ามไปง่ายๆ แน่นอน
แน่นอน จริงๆ แล้วเธอไม่ได้กลัวว่าวารุณีจะทำอะไรเธอ แค่กลัวว่านัทธีจะรู้
นัทธีรู้แล้ว จะทำให้ความรู้จักที่มีต่อเธอ ยิ่งโหดร้ายไปใหญ่
ช่วงนี้เธอได้เดินเตร่อยู่รอบๆ เศรษฐีที่ดูถูกในอดีต หวังว่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคนชั้นสูงเป็นยังไงกัน แล้วทำให้ตัวเองดีขึ้น
หากเป็นแบบนี้ นัทธีก็อาจจะเจอเธอ ความรู้จักที่มีต่อตัวเธอและท่าทีก็จะดีขึ้น
ตอนนี้เธอยังไม่ได้พัฒนาให้ตนเองดีขึ้น จะให้นัทธีรู้ได้อย่างไร ว่าเธอทำอะไรอีก?
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็รู้สึกว่าบนศีรษะของตนเองมีเงาๆ หนึ่งมาครอบคลุม
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปทันที สบตากับนัยน์ตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มบนใบหน้าที่สวยงามและแววตาที่เย็นชาของวารุณี
นั่นเป็นดวงตาอะไรเนี่ย
สวยขนาดนี้ กลับไม่มีอุณหภูมิใดๆ ทำให้คนรู้สึกกลัว อดตัวสั่นไม่ได้เลย
ส่วนจุ๊บแจง ก็สั่นไปหลายทีมาก
“คุณจุ๊บแจง ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” วารุณีนั่งลงตรงข้างหน้าของจุ๊บแจง บอดี้การ์ดสี่คนยืนอยู่ข้างหลังเธอ ทำเอาเธอเหมือนพระราชินีที่สูงส่ง
ทำให้ดวงตาของจุ๊บแจงมีความรู้สึกถึงหนามทันที ความริษยาในหัวใจก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นไป