ตอนที่ 210-1 หมิงซิวลงมือ
สิ้นเสียงของโจวมามา ในโถงหมิงก็เงียบกริบ
โจวมามาเพิ่งพูดอะไรออกมา
สวินซื่อตั้งครรภ์หรือ
เรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร
จีหว่านลุกพรวดขึ้นมาคนแรก “เจ้าอย่ามาปั้นน้ำเป็นตัว! ผู้ใดตั้งครรภ์ โจวซื่อข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสั่งให้คนโบยเจ้าจนตาย!”
โจวมามาตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวด “กูหน่ายนาย บ่าวพูดความจริงทุกคำ! ฮูหยินนาง…อุ้มท้องเลือดเนื้อของนางท่านอยู่จริงๆ!” นางคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยอีกว่า “ฮูหยินน้อย…ฮูหยินน้อยรู้วิชาแพทย์มิใช่หรือ กูหน่ายนายมิสู้ให้ฮูหยินน้อยจับชีพจรของฮูหยินดู ดูว่าฮูหยินมีข่าวดีหรือไม่”
ทุกคนหันขวับไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อนแล้วเดินมาข้างสวินหลัน
สวินหลันยื่นมือออกมา
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ประเดี๋ยวก่อน ฮูหยินเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ สาวน้อยจากชนบทอย่างข้า อย่าเอาคราบสกปรกไปเปื้อนร่างกายอันสูงส่งของฮูหยิน”
พูดพลาง เฉียวเวยก็ยืมผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาจากหรงมามา วางลงบนข้อมือของสวินหลัน จับชีพจรของสวินหลันผ่านผ้าเช็ดหน้า
“เป็นอย่างไร” จีเหล่าฮูหยินถาม
เฉียวเวยชักมือกลับมา แล้วคืนผ้าเช็ดหน้าให้หรงมามา “ตอบท่านย่า มีชีพจรมงคล”
ใบหน้าของจีเหล่าฮูหยินปรากฏสีหน้าซับซ้อนออกมาเล็กน้อย แต่เดิมจะลงโทษนางแล้ว แต่นางกลับอุ้มท้องเลือดเนื้อของซั่งชิงอยู่ เช่นนี้จะทำอย่างไรดีเล่า
เสือร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง แม้จีซั่งชิงจะโกรธการกระทำของสวินซื่อมาก แต่ในท้องของนางมีลูกของเขาอยู่ เขาจะนิ่งดูดายไม่สนใจได้จริงๆ หรือ
ภายในห้องเงียบสงัดไร้เสียง เฉียวเวยตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าสายลมปลี่ยนทิศแล้ว ตระกูลขุนนางอื่นสนใจหรือไม่สนใจทายาท เฉียวเวยไม่ทราบ แต่ตระกูลจีมองลูกหลานดั่งสมบัติล้ำค่า เรื่องนี้ดูจากท่าทีที่จีเหล่าฮูหยินมีต่อจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็พอมองออก
สวินหลันประกาศว่าตั้งท้องในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ย่อมได้รับป้ายทองละเว้นโทษตายอย่างมิต้องสงสัย
เฉียวเวยเหยียดมุมปากน้อยๆ “ยินดีกับท่านพ่อ ข้ากับพี่หว่านจะมีน้องชายหรือน้องสาวเพิ่มอีกคนแล้ว”
จีซั่งชิงสีหน้าซับซ้อน
แววตาของสวินหลันนิ่งสงบ
บรรยากาศภายในโถงหมิงเกิดบรรยากาศแปลกประหลาดชั่วพริบตาหนึ่ง การมีพี่น้องเพิ่มมาอีกคน แต่เดิมสมควรเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แต่จนปัญญาที่มิใช่พี่น้องร่วมอุทร อีกทั้งมารดาผู้ให้กำเนิดยังเคยทำเรื่องเช่นนั้นมาอีก แม้แต่จีหว่านก็ยังดีใจไม่ออกอยู่บ้าง
จีหว่านคิดจะพูดอะไรอีก แต่ถูกหลินซูเยี่ยนกระตุกแขนเสื้อ ส่งสัญญาณให้เงียบไว้
จีเหล่าฮูหยินทั้งโกรธทั้งจนหนทาง จะบอกว่าไม่โกรธสวินซื่อก็เป็นการโกหก แต่จะบอกว่าไม่สนใจเลือดเนื้อเชื้อไขในท้องของนางเลยยิ่งเป็นการโกหกยิ่งกว่า จีเหล่าฮูหยินสูดลมหายใจลึกเฮือกแล้วเฮือกเล่าก่อนจะเอ่ยกับจีซั่งชิงว่า “รอนางคลอดเด็กออกมา ค่อยลงโทษก็แล้วกัน”
จีซั่งชิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ
จีหว่านเดินออกมาจากเรือนถง รู้สึกไม่สบายใจ นางชะงักเท้าหันกลับมาถลึงตาใส่เรือนถงอันเงียบสงัดดั่งสายน้ำ อยากจะไล่คนผู้นั้นออกมาจากเรือนนัก!
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ อยู่ดีๆ นางตั้งท้องได้อย่างไร นางคงไม่ได้ตั้งท้องหลอกๆ หรอกกระมัง” จีหว่านพึมพำ
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ดูจากชีพจรเป็นชีพจรมงคลจริงๆ”
จีหว่านมุ่นคิ้ว “ตอนเข้าวังหนก่อน นางยังกินขนมไข่ปูอยู่เลย หากตั้งท้องจริง เหตุไฉนจึงกินของเช่นนั้นได้ ไม่แท้งหรือ”
เฉียวเวยตอบว่า “เนื้อปูตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่ยาทำให้แท้งโดยตรงอยู่แล้ว มันเพียงเพิ่มความเสี่ยงที่จะแท้งเท่านั้น ไม่แน่ว่าจะทำให้คนแท้งจริงๆ”
จีหว่านกัดฟัน “ครรภ์หนนี้ของนางมาได้จังหวะจริงนะ!”
นั่นน่ะสิ ได้จังหวะเกินไปแล้ว เร็วไม่มา ช้าไม่มา ดันมาตอนที่นางกำลังจะล้มพอดี
แต่ก็เป็นเพียงแรงเฮือกสุดท้ายเท่านั้น นางทำสิ่งใดลงไป เหล่าฮูหยินรู้ดีอยู่แก่ใจ โจวมามาถูกโบยห้าสิบไม้ไม่ถูกตีตายได้อย่างไร ขับไล่ออกจากจวนไปแล้ว ผู้ใดรักษาแผลให้นาง สวินหลันเกิดเรื่อง โจวมามาเหตุใดจึงปรากฏตัวได้ทันเวลาเช่นนี้ เหล่าฮูหยินถึงขนาดไม่จี้ถามว่าโจวมามาไม่อยู่ในจวน แล้วทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนถงทุกอย่างได้อย่างไร
เพราะทุกสิ่งนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว จีเหล่าฮูหยินไม่สนใจว่าสวินซื่อจะใช้กลอุบายอันใดอีก นางเพียงต้องการเลือดเนื้อก้อนนั้นในท้องของสวินซื่อ เมื่อสวินซื่อให้กำเนิดเด็กออกมาแล้ว นางก็จะขับไล่สวินซื่อออกจากตระกูล
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแผนการตอนนี้ของจีเหล่าฮูหยิน จิตใจคนแปรเปลี่ยนง่าย ผู้ใดจะรับประกันได้ว่าระหว่างสิบเดือนที่ตั้งครรภ์ จีเหล่าฮูหยินจะไม่ถูกความอ่อนหวานดีงามของสวินซื่อทำให้หวั่นไหว
สวินซื่อมาที่ตระกูลจีตั้งแต่หกขวบ จวบจนวันนี้ก็ผ่านมายี่สิบปี แม้จีเหล่าฮูหยินมองสวินซื่อไม่เหมือนลูกที่ตนให้กำเนิดเอง แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เติบโตมาข้างกายนาง สวินซื่อรู้ว่าจะโจมตีกำแพงป้องกันในใจเหล่าฮูหยินกับจีซั่งชิงเช่นไร
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ แม้แต่นางก็มิอาจไม่ยอมรับว่า แม่เลี้ยงสาวเป็นศัตรูที่ตึงมือคนหนึ่ง
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “มาอยู่ที่นี่หนึ่งปีแล้ว เพิ่งจะพบคู่ต่อสู้เช่นนี้เป็นหนแรก น่าสนใจ”
จีหว่านมองเฉียวเวยอย่างประหลาดใจ “อะไรหนึ่งปี เจ้าเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านข้าหนึ่งเดือนเองไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า “ข้าจะบอกว่ารู้จักกับหมิงซิวมาหนึ่งปีแล้ว”
จีหว่านเข้าใจแล้ว นางมองใบหน้าซูบผอมของเฉียวเวย “ลำบากไม่น้อยเลยสินะ ตอนแรกตระกูลเฉียวก็ทำเจ้าตกระกำลำบากไม่น้อย ท่านย่าของข้าไม่ทราบความจริงก็เคยทำให้เจ้าได้รับความอยุติธรรมไม่น้อยเช่นกัน”
จีหว่านปกติมักจะทำหน้าเบ้จมูกเบี้ยวใส่นาง จู่ๆ มาทำตัวอ่อนโยนกลับทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชินยิ่งนัก
ตอนที่เฉียวเวยคิดอยู่ว่าจะเอ่ยตอบอย่างไร จีหว่านก็แค่นเสียงออกมาเบาๆ แล้วบอกว่า “แต่ได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีเลิศในใต้หล้าอย่างน้องชายของข้า ลำบากอีกเท่าใดก็คุ้มค่าแล้ว เจ้าดีใจเสียเถอะ!”
เฉียวเวยกุมแก้ม นี่สิถึงจะเป็นพี่หว่านฉบับที่แท้จริง
เฉียวเวยคุยกับจีหว่านอยู่พักหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็คือปลอบประโลมจีหว่านว่าคนที่ตั้งตรรภ์อยู่อย่ามาว้าวุ่นใจเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อีกเลย
“พี่เขย” หลังจากจีหว่านไปห้องส้วม เฉียวเวยก็เรียกหลินซูเยี่ยนไว้
หลินซูเยี่ยนชอบน้องสะใภ้คนนี้มาก แม้หลีซื่อก็เป็นน้องสะใภ้ของเขาเช่นกัน แต่หลีซื่อมักจะกีดกันหวานหว่าน ส่วนเสี่ยวเวยน่ารัก ดีกับหวานหว่านปานนั้น
“เสี่ยวเวย” หลินซูเยี่ยนยิ้มน้อยๆ
เฉียวเวยมองทางที่จีหว่านเดินออกไปแล้วบอกหลินซูเยี่ยนว่า “เรื่องราวในบ้านของข้า ท่านก็ได้ทราบแล้ว แม้ไม่มีหลักฐานแสดงว่าการแท้งสองหนก่อนของนางเกี่ยวข้องกับสวินซื่อ แต่ระมัดระวังย่อมทำให้เรือแล่นได้หมื่นปี อย่างไรก็ขอให้หลังจากนี้พี่เขยอย่าพาพี่ใหญ่กลับมาเรือนถงอีก”
“ข้าทราบแล้ว” หลินซูเยี่ยนพยักหน้า
เฉียวเวยบอกลาเขาแล้วกลับไปยังบ้านชิงเหลียน
ระหว่างทางปี้เอ๋อร์เจื้อยแจ้วเหมือนนกกระจอก “…เกินไปแล้วจริงๆ นางตั้งใจหรือไม่ เหตุใดตั้งครรภ์แล้วไม่รีบบอก จะต้องมาบอกในเวลานี้ นางคงไม่ได้ตั้งครรภ์ปลอมๆ กระมัง ข้าได้ยินมาว่ามียาชนิดหนึ่ง กินเข้าไปแล้วทำให้คนมีชีพจรมงคลได้!”
“อืม หญ้าไป่กู” เฉียวเวยตอบ
ปี้เอ๋อร์เบิกตาโตในพริบตา “นางกินหญ้าชนิดนี้เข้าไปใช่หรือไม่ ข้าว่าแล้วเชียว! นางไม่ตั้งครรภ์ง่ายเช่นนี้หรอก! ฮูหยินเหตุใดท่านไม่เปิดโปงนาง!”
เฉียวเวยตอบเรียบๆ “เรื่องนี้ข้าบอกชัดไม่ได้ หากมีโอกาสครึ่งหนึ่งที่นางตั้งครรภ์จริงๆ แล้วข้าบอกว่านางหลอกลวง ทำให้นางโมโหจนแท้งอะไรทำนองนั้น ข้ามิกลายเป็นคนบาปแห่งตระกูลจีหรือ”
“จริงด้วย จัดการกับคนชั่วคนหนึ่ง แต่ต้องเสียคนดีไปคนหนึ่งด้วย ออกจะไม่คุ้มค่าจริงๆ” ปี้เอ๋อร์เข้าใจโดยพลัน แล้วไม่นานก็พึมพำอีกหน “แต่ฮูหยิน ท่านก็ไม่นับว่าเป็นคนดีอะไรนี่นา!”
สายตาคมกริบของเฉียวเวยตวัดฉับมา
ปี้เอ๋อร์หัวเราะแหะๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกหน “แต่ฮูหยิน พวกเราจะปล่อยเรือนถงไปเช่นนี้หรือ แผลของชุ่ยผิง อุบัติเหตุของสือหลิว ล้วนเป็นฝีมือของเรือนถงนะเจ้าคะ”
เฉียวเวยขยำใบไม้ใบหนึ่ง “ผู้ใดบอกว่าจะปล่อยนางไป นางคิดว่าอยู่ต่อแล้วดีมากนักหรือ หากข้าเป็นนาง ตอนที่พ่อสามีของข้าให้นางออกจากตระกูลจีก็คงออกไปแต่โดยดีแล้ว มีศัตรูตัวฉกาจอย่างข้าคนนี้อยู่ที่นี่ นางไม่กลัวข้าทำอันตรายครรภ์ของนางหรือ!”
ปี้เอ๋อร์กลับพูดไปอีกเรื่องหนึ่ง “ฮูหยินท่านอย่าไปสนครรภ์ของนางเลย ท่านรีบมีเองสักคนเถิด รอท่านให้กำเนิดเด็กตัวอ้วนออกมาอีกสักคน ก้อนเนื้อในครรภ์ของนางยังจะนับเป็นอะไรได้อีก”
เฉียวเวยลูบท้องของตนเอง หวนนึกถึงยามที่แนบชิดกันทั้งคืน ก็อดหน้าแดงระเรื่อไม่ได้ “คืนเดียวจะตั้งครรภ์ได้หรือ”
ปี้เอ๋อร์ยิ้ม “ตอนนั้นจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็ตั้งครรภ์เช่นนี้มิใช่หรือเจ้าคะ”
สองนายบ่าวคุยเล่นหัวเราะกลับบ้านชิงเหลียน
ด้านหลังภูเขาจำลอง โจวมามากับสวินหลันเดินออกมา
แววตาของสวินหลันนิ่งสงบประหนึ่งผิวทะเลสาบ
สายลมโชยพัดแขนเสื้อของนาง กระโปรงสีขาวลอยพลิ้ว นางงดงามดั่งเทพธิดา
…
หลังอาหารกลางวัน เด็กๆ ไปนอนกลางวันกันแล้ว เฉียวเวยไม่ชินกับการนอนกลางวัน นางจึงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง ระหว่างนั้นมีสาวใช้มาให้ตรวจอยู่หลายคน เฉียวเวยตรวจให้ทีละคนจากนั้นจึงเก็บข้าวของ เตรียมจะไปเดินเล่นในลานบ้าน ทว่าแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งก็มาหาถึงประตูบ้าน
“บ่าวคารวะฮูหยินน้อย!”
โจวมามาถือไม้เท้า ยิ้มแย้มคำนับเฉียวเวย
เฉียวเวยอมยิ้มมองนาง “ลมอะไรหอบโจวมามามาหาเล่า ช่างหายาก หายากจริงๆ”
ปี้เอ๋อร์เปิดม่านเดินเข้ามา กลอกตาใส่ยัยแก่คนนั้น แล้วยกผลไม้ที่หั่นมาใหม่ๆ ลงบนโต๊ะ
โจวมามามองผลไม้บนโต๊ะแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “นี่แตงหวานที่เพิ่งส่งมาจากไร่สินะ ฤดูกาลนี้น้อยนักจะปลูกแตงหวานออกมาได้ จวนตะวันออกกับจวนเหนือยังไม่มีเลย”
เฉียวเวยคร้านจะคุยสัพเพเหระกับนาง กินแตงหวานสดใหม่ชิ้นหนึ่งเสร็จก็ถามว่า “ฮูหยินมีเรื่องอะไรจะหาข้าหรือ”
โจวมามายิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจ “ไม่ใช่ฮูหยิน บ่าวเองเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเลิกคิ้วแล้วก็หัวเราะ “เช่นนั้นก็แปลกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างโจวมามากับข้าไม่ดีนักนะ เหตุใดจึงเป็นฝ่ายมาหาเองถึงบ้าน หรือโจวมามาลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเคยใส่ร้ายข้าไว้อย่างไร”
“เรื่องวันนั้น บ่าวเป็นคนผิดเอง บ่าวถูกความคิดชั่วช้าครอบงำจิตใจ เพื่อให้ตนเองรอดจึงโยนขี้ใส่ฮูหยินน้อย บ่าวสมควรตายหมื่นหน ขอฮูหยินน้อยลงโทษ!” นางกล่าวอย่างจริงใจ แล้วทำท่าจะคุกเข่าให้เฉียวเวย
เฉียวเวยส่งสายตาให้ปี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์ประคองนางลุกขึ้นมา แล้วบอกว่า “พอแล้ว ท่านแก่แล้วก็ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว หากคุกเข่าแล้วพลาดล้มขึ้นมา ฮูหยินน้อยบ้านข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว!”
โจวมามาใช้แขนหนีบไม้เท้า แล้วตบหน้าตัวเอง “ข้าไม่ดีเอง! เหตุไฉนร้อนรนแล้วจึงวิ่งไปใส่ร้ายฮูหยินน้อย! ตอนนั้นข้าก็เพียงคิดว่า เหล่าฮูหยินกับนายท่านรักฮูหยินน้อยปานนั้น แม้แต่กุญแจทองยังมอบให้ฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยแบกความผิดสักหนก็คงไม่เป็นอะไร…”
เฉียวเวยขัดนาง “พอแล้ว เจ้าไม่ต้องนอกเรื่องไปถึงเรื่องสมมุติพวกนั้น พูดมาตามตรงเถอะ มาหาข้ามีธุระอะไร”
“ขอบอกอย่างไม่ปิดบัง บ่าวมาหาฮูหยินน้อยขอให้ช่วยรักษาเจ้าค่ะ”
สายตาของเฉียวเวยกวาดผ่านขาสองข้างที่เดินเหินไม่สะดวกของนาง “หมอหลูก็รักษาเจ้าดีอยู่นะ”
“ดีก็ดีอยู่ แต่รักษาไม่หายสนิท!”
เอ่ยจบ โจวมามาก็ตระหนักว่าตนเองพลั้งปากแล้ว รีบกัดฟันแน่น
เฉียวเวยหัวเราะ “หมอหลูตรวจอาการให้เจ้าจริงสินะ”
โจวมามาอึกอักสองสามหน จากนั้นก็ตอบอย่างกระอักกระอ่วน “สิ่งใดก็ล้วนปิดบังฮูหยินน้อยไม่ได้ ตอนนั้นบ่าวถูกลงโทษ บังเอิญหมอหลูเดินผ่านประตูไปพอดี เขาจำบ่าวได้จึงพาบ่าวกลับโรงหมอไปรักษา”
ผ่านทางเช่นนั้นหรือ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นดาวโชคลาภกลับชาติมาเกิดหรือไร เป็นเช่นนี้ยังบังเอิญพบหมอที่รู้จักมักคุ้นกันได้
เฉียวเวยไม่ต้องการเถียงประเด็นนี้มากนัก นางรู้ผลลัพธ์ก็พอแล้ว กระบวนการจะเป็นอย่างไร ความจริงแล้วไม่สำคัญ
โจวมามาเอ่ยว่า “วิชาแพทย์ของหมอหลูสู้ฮูหยินน้อยไม่ได้ หมอหลูบอกว่าขาของบ่าวหลังจากนี้ต้องพึ่งไม้เท้าตลอดไป บ่าวไม่อยากเป็นเช่นนั้น จึงอยากจะมาขอให้ฮูหยินน้อยดูให้สักหน่อย!”
ปี้เอ๋อร์แค่นเสียงหยัน “เจ้าทำเรื่องเลวร้ายมามากมายปานนั้น ฮูหยินของข้าเหตุใดต้องรักษาเจ้าด้วย”
โจวมามาพูดอย่างเสียใจ “บ่าวสำนึกผิดแล้ว หลังจากนี้บ่าวจะกลับตัวเป็นคนใหม่ ไม่เป็นอริกับฮูหยินน้อยอีกต่อไปแล้ว”
เฉียวเวยชี้เตียงที่อยู่ด้านข้าง “นอนลง”
ปี้เอ๋อร์ถลึงตาใส่โจวมามาอย่างไม่พอใจ ยัยแก้แร้งทึ้ง นับว่าเจ้าโชคดีที่มาพบฮูหยินของข้า! หากเป็นผู้อื่น เจ้าจงร้องไห้ไปเถอะ!
ปี้เอ๋อร์ประคองโจวมามาให้นอนลงบนเตียงเล็กสำหรับตรวจรักษา เฉียวเวยตรวจดูขาของนาง “ไม่สาหัสถึงขั้นนั้น จำไว้ว่าในสามเดือนอย่าเดิน เดี๋ยวก็จะหายดีได้เอง”
“ไม่เดินสาม สามเดือนหรือเจ้าคะ ทำเช่นนั้นมิได้หรอก ข้าเป็นบ่าวรับใช้ ข้าไม่ทำงานแล้วไหนเลยจะมีข้าวกิน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของข้า ข้าจะเขียนเทียบยาให้เจ้า จะใช้หรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า”
โจวมามายิ้ม “มียาอันใดให้ข้าทาหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยมองนางแวบหนึ่ง “ไม่มี”
โจวมามาก้มศีรษะอย่างผิดหวัง กล่าวขึ้นเหมือนมิใคร่จะยินยอม “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณฮูหยินน้อย”
กล่าวจบก็ลุกขึ้นนั่ง ถือไม้เท้าจะเดินจากไป