ภาค 4 ตอนที่ 82 สถานที่เก่าคนใหม่สนทนาพาที

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

จวนกั๋วกงเดิมทีเป็นตำหนักอ๋องของรัชสมัยก่อน ถูกพระราชทานให้เฉิงกั๋วกงแล้วบูรณะเพิ่ม แม้หลายปีมานี้แทบไม่มีคนอยู่ก็ยังคงรักษาไว้ได้อย่างดี

ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้า เรือนแม้เก่าไปบ้างแต่สะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นผุ

“สวยไหม?” จูจั้นเอ่ยแล้วมองคุณหนูจวินที่ยังไม่เข้าเรือน สายตามองไปทั่ว “ไม่เคยเห็นเรือนที่ใหญ่ขนาดนี้ล่ะสิ?”

แล้วเขาก็คิดอะไรได้ขยับเข้ามาใกล้นาง

“ขอแค่ทุกคนชุมนุมกันด้วยดีแยกย้ายกันด้วยดี หลังจากนี้ในบ้านนี้ของข้า เจ้ามาเยี่ยมได้ทุกเวลา เป็นอย่างไร?”

ที่ว่าชุมนุมกันด้วยดีแยกย้ายกันด้วยดี ย่อมยังคิดถึงชื่อภรรยาท่านชาย คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

“จูจั้น” นางเอ่ย สีหน้าจริงจังยิ่ง “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ชมข้าหน่อยสิ ให้ข้าอารมณดี”

ชมรึ?

“ชมคนรึ ข้าไม่คุ้นเคยจริงๆ” จูจั้นลูบคลางขมวดคิ้วเอย “อย่างไรคนที่ร้ายกาจเช่นข้าได้ก็แทบไม่มี”

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“แต่เจ้าหัวเราะน่าดูยิ่งนัก” จูจั้นคล้ายค้นพบอะไรบ้างอย่าง เอ่ยขึ้นทันที “แย้มยิ้มสว่างไสวเจิดจ้าดั่งแสงตะวันประหนึ่งร้อยบุปผาแย้มบานทำให้คนเพลินตาเพลินใจ”

คุณหนูจวินยกแขนเสื้อปิดปาก

“แหนะ ตอนนี้เช่นนี้ก็น่าดูยิ่ง อ่อนโยนน่ารัก ลบความหยาบคาย…แคก ภาพลักษณ์ห้าวหาญของเจ้า เผยนิสัยของเจ้าออกมา” จูจั้นเอ่ยต่อ

คุณหนูจวินพยักหน้า ดวงตายิ้มโค้ง

“นอกจากหน้าตา ข้ายังมีความสามารถด้วย” นางเอ่ย

จูจั้นส่ายศีรษะ

“ถ่อมตัวแล้ว” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ย “เจ้าไยแค่มีความสามารถ ยังมีความกล้าหาญ ความเจ้าแผนการ บุรุษเท่าไรล้วนสู้เจ้าไม่ได้”

คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง

เสียงหัวเราะสะท้อนในเรือน ทำให้ฟ้าดินที่เดิมเงียบสงบเปลี่ยนกลายเป็นครึกครื้นมีชีวิตชีวา

พวกบ่าวรับใช้ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ด้านหลังก็เผยรอยยิ้มตามด้วย

“นี่พวกเขากำลังทำอะไรอยู่?” บ่าวรับใช้คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา

เข้าประตูมาแล้วแต่ไม่เข้าบ้าน อยู่ในลานเดินอ้อยอิ่ง เวลานี้ยังยืนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าโถงคุยเล่นอีก

“ท่านชายกำลังเกี้ยวคุณหนูจวินอยู่น่ะ” หญิงรับใช้อายุมากคนหนึ่งเอ่ยด้วยท่าทางใจหาย “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านชายจะเอ่ยวาจาเกี้ยวพาได้จริงๆ จริงอย่างที่ว่าพบคนที่ชอบเข้าแล้ว”

บ่าวรับใช้ทั้งหลายมองสตรีที่ปิดปากหัวเราะเบิกบานอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วมองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่สีหน้าจดจ่อคนนั้น

“ก็นับว่าคนรักกันในที่สุดก็ได้ครองคู่กันแล้ว”

“ตอนแรกที่เล่ากันว่าท่านชายขวางหัวหน้ากองพันลู่ไม่ให้ทำลายป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงข้าก็เดาได้แล้ว”

“เจ้าพูดเหลวไหล ตอนนั้นเจ้าไม่ได้พูดเช่นนั้นชัดๆ”

“ตอนนั้นข้าเพียงไม่ได้พูดความจริงเท่านั้น บางครั้งก็ไม่อาจพูดความจริงได้”

และเวลานี้คุณหนูจวินก็เอ่ยคำถามนี้ด้วย

“จริงหรือโกหกเล่า?” นางมองจูจั้นแล้วเอ่ยถาม “ข้าดีปานนั้นเชียวรึ?”

“แน่นอนเป็นความจริง ข้าบอกว่าเจ้าดีปานนี้ หากโกหก ไยไม่ใช่ข้าบอกว่าตนเองตาบอดแล้วเล่า?” จูจั้นแค่นเสียงเอ่ย “ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ?”

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“ถูกต้อง ท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น” นางเอ่ยพูดจบก็เม้มปากยิ้ม “ดังนั้นข้าดีปานนี้ เป็นภรรยาของท่านชายทำไมท่านไม่ดีใจเช่นนี้เล่า?”

อ้อมรอบใหญ่ปานนี้ หลอกให้เขาพูดชม ที่แท้ก็เพื่อประโยคนี้!

เจ้าคนไม่ปกติคนนี้!

จูจั้นยื่นมือชี้นาง

“จวินจิ่วหลิง หากเจ้าหลอกข้าเช่นนี้ ข้าจะตัดขาดแล้ว” เขาคิ้วตั้งกัดฟันเอ่ย

คุณหนูจวินร้องอ้อ

“ตัดสิ” นางว่าท่าทางสงสัยใคร่รู้ “ตัดสักทีให้ข้าดูซิ”

จูจั้นหางคิ้วกระตุก กำลังจะพูดอะไร ด้านหลังร่างเสียงขานระลอกหนึ่งพลันดังขึ้น

“ท่านกั๋วกงกลับมาแล้ว!”

จูจั้นกับคุณหนูจวินล้วนหันหน้าไปมอง เห็นเฉิงกั๋วกงเดินช้าๆ มา

“คุยอะไรกันหืม สนุกปานนี้?” เขาอมยิ้มเอ่ย “ทำไมไม่เข้าบ้าน?”

จูจั้นก้าวเข้าไปหาทันที

“พ่อ…” เขาร้องเรียก ลากเสียงขึ้นสูงท่าทางน้อยอกน้อยใจอยู่นิดๆ “นาง…”

เฉิงกั๋วกงพยักหน้าให้เขา แล้วมองไปทางคุณหนูจวินต่อ

“ไม่ทราบคุ้นเคยหรือไม่ ที่นี่ไม่ได้อาศัยอยู่มาเนิ่นนานแล้ว” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า

“ดีอยู่เจ้าค่ะ” นางเอ่ย “จวนกั๋วกงโครงสร้างอาคารเดิมก็ดีอยู่แล้ว หลายปีนี้ก็บำรุงรักษาอย่างดี ทำให้คนสบายยิ่งนัก ข้าชื่นชอบอย่างยิ่ง”

พระอัยกาครานั้นใจกว้างกับเฉิงกั๋วกงจริงๆ สถานที่นี้เดิมทีต้องเป็นวังขององค์รัชทายาทเชียวนะ มาตรฐานซึ่งเป็นวังขององค์รัชทายาทได้ คิดดูก็รู้ เทียบเคียงได้กับวังของเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นมาถึงที่นี่คุณหนูจวินจึงรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ความคุ้นเคยนี้ทำให้นางสบายใจแล้วก็เศร้าสร้อยอยู่บ้างนิดๆ

เสียงแคกแคกของจูจั้นดังขึ้น

“พ่อ เรื่องเมื่อครู่ท่านคิดอย่างไร?” เขาเอ่ย “คนกับของที่ข้าจัดการ จังหวะ…”

เฉิงกั๋วกงพยักหน้า มองเขาพลางยิ้ม

“เจ้าทำได้ไม่เลว” เขาเอ่ย นี่เป็นการชมเชย แล้วก็เป็นการพูดขัดด้วย สายตามองไปหาคุณหนูจวินอีกครั้ง “ภรรยาข้ายังอีกหลายวันกว่าจะมาถึง คุณหนูจวินอยู่ที่นี้โปรดทำตัวตามสบาย”

คุณหนูจวินอมยิ้มขานรับแล้ว

“พ่อไม่ต้องเกรงใจหรอก ท่านไม่บอกนางก็ทำตัวตามสบายอยู่แล้ว” จูจั้นเอ่ยหยันด้านข้าง

“จั้นเอ๋อร์ เจ้าไปดูซิที่พักของคุณหนูจวินจัดการเป็นอย่างไรแล้ว” เฉิงกั๋วกงมองเขาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“อาศัยอะไรให้ข้าไปเล่า?” จูจั้นเอ่ยขึ้น

“บ้านเราก็มีเจ้าข้าสองคน หรือเจ้าอยากให้ข้าไปรึ?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ

จูจั้นเลิกโมโหทันที ขานรับย่ำตึงตังเดินไปด้านหลัง แล้วมองเฉิงกั๋วกงยื่นมือทำท่าเชิญคุณหนูจวินอีกครั้ง

“…คุณหนูจวินต้องการรับใครมารึ?” เขาถามไปพลาง

“เป็นพวกอาจารย์หญิงของข้า” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นพลางเดินตามเขาเข้าไปในห้องโถง

“ต้องการความช่วยเหลือใด คุณหนูจวินโปรดบอกเต็มที่” เฉิงกั๋วกงเอ่ยบอก

ได้ยินคำนี้ จูจั้นก็แค่นเสียงอีกครั้ง

สตรีผู้นี้ร้ายกาจปานนี้ ยังต้องการความช่วยเหลือที่ไหนอีก กระทั่งผู้อพยพแดนเหนือหมื่นกว่าคนยังเอามาแบบลึกลับไม่มีใครรู้ได้ เรื่องเช่นนี้ก็แค่เรื่องเล็ก ท่านพ่อนี่จริงๆ เลย เรื่องเล็กเช่นนี้ก็ถามไม่จบไม่สิ้น เมื่อครู่ที่เขาทำถึงเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่หรือ? ถามยังไม่ถามก็ไล่ออกมาแล้ว

“ท่านชาย ที่พักของคุณหนูจวินจัดไว้ที่หอเมาจันทร์ด้านข้างท่านหญิง ท่านเห็นว่า…” บ่าวรับใช้ด้านข้างเอ่ยเตือนขึ้นเสียงเบา

“ทำไมจัดไว้ที่หาเมาจันทร์เล่า? นั่นเป็นที่พักของข้า” จูจั้นถลึงตา ยกเท้ากระทืบหันหลังจากไป

แย่งแม่ข้าแล้ว แย่งพ่อข้าแล้ว ยังจะแย่งที่พักข้าอีก ทนไม่ไหวจริงๆ แล้วนะ

……………………………………….

ราตรีปกคลุมเมืองหลวง วันนี้เกิดเรื่องสนุกมากเหลือเกิน ทำให้คนในเมืองหลวงเหน็ดเหนื่อยทั้งยังตื่นเต้น ตลาดกลางคืนเอะอะยิ่งกว่าที่เคย

แต่ในจวนใหญ่ตระกูลหวง แม้ไฟโคมจุดสว่างทว่ากลับเงียบกริบ ไม่เห็นร่องรอยนางคณิกาบ่าวสาวคนงาม บรรดาบ่าวรับใช้กลั้นลมหายใจเงียบเสียงก้มหน้าก้มตาไปมาอย่างรีบร้อน

หวงเฉิงนอนตะแคงอยู่ในห้องหนังสือ ผู้ช่วยด้านหน้าก้มศีรษะส่งเอกสารฉบับแล้วฉบับเล่ามา

“พูดเช่นนี้ ผู้อพยพเหล่านั้นถูกส่งมาใช้เงินไปไม่น้อยนี่” หวงเฉิงหลับตาเอ่ยขึ้น

“อย่างน้อยก็หลายสิบหมื่นตำลึงเงินขอรับ” ผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ย “นอกจากอาหารการกินระหว่างทาง ได้ยินว่าแต่ละคนยังได้แบ่งค่าเหนื่อยก้อนหนึ่งด้วย”

หวงเฉิงหัวเราะเหอะเหอะแล้ว ลืมตาขึ้นลุกขึ้นนั่ง มือเช็ดถูแก้มเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจ นั่นเป็นจุดที่วันนี้ตอนกลางวันถูกผลไม้เน่าเขวี้ยงถูก

แม้ล้างไปแล้ว แต่เขามักจะอยากเช็ดโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ย้ำเตือนตัวเองถึงความอัปยศที่ได้รับในวันนี้

“พูดให้ถึงที่สุดก็ยังพึ่งเงินสินะ” เขาเอ่ยขึ้น ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “ยังคิดว่าได้ใจคนสักเท่าใดเชียว”

“ก็ไม่แตกต่างกับคนที่ปลุกปั่นพ่อค้าพวกนั้น เพียงแค่พวกเขารวยมากกว่า จ่ายมากกว่าก็เท่านั้น” ผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ยตอบ

หวงเฉิงมองเอกสารที่กองบนโต๊ะ

“โบราณว่าไว้ถูกต้องแล้ว หากคนร่ำรวยย่อมกลายเป็นเลวร้ายได้ง่าย” เขาเปิดเอกสารแผ่นหนึ่งออก มือเคาะบนคำว่าเต๋อเซิ่งชางสามคำ “คนเลวย่อมควรถูกกำจัด ไม่เช่นนั้นโลกย่อมวุ่นวายแล้ว”

……………………………………….