กำจัดเต๋อซิ่งชางรึ?
เหล่าผู้ช่วยที่นั่งอยู่สบตากันทีหนึ่งห
หากเป็นพ่อค้าร้านแลกเงินอื่น สำหรับหวงเฉิงแล้ว การกำจัดเป็นเพียงเรื่องแค่ขยับปาก แต่สถานะของเต๋อเซิ่งชางแห่งนี้พิเศษอยู่บ้าง
เต๋อเซิ่งชางมีราชโองการที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้ วันนี้ก็วางอยู่ในโรงหมอจิ่วหลิง
“ราชโองการเป็นของไร้ชีวิต จะทำให้คนเป็นกลั้นปัสสาวะจนตายได้รึ?” หวงเฉิงยิ้มเอ่ย เคาะผิวโต๊ะ “คนก็ไม่อยู่แล้ว ราชโองการยังมีประโยชน์อันใดอีก?”
คนก็ไม่อยู่แล้ว…
บรรดาผู้ช่วยสบตากันทีหนึ่ง
“ข้านับว่ามองเข้าใจแล้ว บ่อเกิดของทุกสิ่งทุกอย่างนี่ก็คือตัวสาวน้อยแซ่จวินคนนี้ของโรงหมอจิ่วหลิง” หวงเฉิงพรูลมหายใจเอ่ย “ครั้งนี้หากไม่ใช่นาง เรื่องราวก็คงไม่เปลี่ยนกลายเป็นเช่นนี้สักนิด”
พูดถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะอีก
“นี่ก็โทษข้าสะเพร่าไม่ได้ สตรีที่กระทั่งยมราชลู่ยังจัดการไม่ได้คนหนึ่ง ย่อมไม่ใช่พวกธรรมดา”
ใช่แล้ว เชื่อมต่อต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวกระจ่างชัดก็จะรู้ว่าช่วงเวลาสำคัญที่สุดมากมายล้วนมีคุณหนูจวินสตรีคนนี้อยู่
“ดูท่าคุณหนูจวินคนนี้คงไม่ยินดีเป็นหมอคนหนึ่งนะ” หวงเฉิงเอ่ย “ดังนั้นบางครั้งไม่อาจมีชื่อเสียงเร็วเกินไป เด็กน้อยทั้งหลายมีชื่อเสียงเร็วเกินไปย่อมเหิมเกริมได้ง่าย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังมีกองหนุนที่ร่ำรวยเช่นนี้ด้วย”
เหล่าผู้ช่วยพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตัดรากของมันก่อน ให้บทเรียนนางสักครั้ง” ผู้ช่วยคนหนึ่งเอ่ยขึ้น คุกเข่าข้างหนึ่งลุกขึ้น “ใต้เท้า เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ”
น้ำเสียงของเขาสบายๆ การกระทำท่าทางชำนิชำนาญอยู่บ้าง เห็นชัดยิ่งว่าทำเรื่องเช่นนี้บ่อยๆ
หวงเฉิงไม่รีบร้อนไม่ลนลาน
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปลองดูเถอะ” เขาเอ่ยอย่างผ่อนคลายสบายๆ
……………………………………….
……………………………………….
ยามท้องฟ้าสว่าง ในโรงหมอจิ่วหลิงครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว หมอทั้งหลายเช่นท่านหมอเฒ่าเฝิงเป็นต้นล้วนอยู่พร้อม มองคุณหนูจวินพลางเอ่ยถามสับสนวุ่นวาย
“สรุปแล้วก็คือเรื่องราวช่วงนี้เล่าแล้วยาว คำเดียวยากเล่าจบ” คุณหนูจวินเอ่ย “แต่ก็ไม่ต่างจากที่พวกเท่านได้ยินมานัก”
“ถ้าเช่นนั้นพูดเช่นนี้คุณหนูจวินท่านออกจากเมืองหลวงที่จริงก็นัดกับท่านชายไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปแดนเหนือพบบิดามารดาของเขารึ” หมอคนหนึ่งทนไม่ไหวเอ่ยถาม
หมอทั้งหลายรอบด้านพากันถลึงตา
“วางเรื่องสำคัญไว้ไม่ถาม เจ้าอายุปูนนี้แล้วทำไมเป็นห่วงแต่เรื่องนี้เล่า?” ทุกคนเอ่ยขึ้น
พูดพลางก็ล้วนมองไปทางคุณหนูจวินอีก ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็อยู่ในนั้นด้วย
“เป็นเช่นนี้หรือ?” พวกเขาเอ่ยถามเสียงพร้อมเพรียง
เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“พวกท่านคนเหล่านี้ถึงกับชอบถามเรื่องเช่นนี้ด้วย” เขาเอ่ย
“ผู้อื่นชอบถามเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชายหญิงที่เล่าลือในเมือง แต่พวกเราถามถึงการหมั้นหมายระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิต” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย มองคุณหนูจวินอย่างจริงใจยิ่ง “พวกเราหวังว่าชีวิตของคุณหนูจวินจะมีที่พึ่ง”
คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า
“ใช่ ก็เป็นเช่นนี้” นางเอ่ย
แม้คนเหล่านี้เป็นห่วงนางจริงๆ แต่มีบางเรื่องก็ไม่อาจให้พวกเขารู้ได้ ส่วนชีวิตมีที่พึ่ง สำหรับนางแล้วไม่ใช่การแต่งงานมีครอบครัวตั้งนานแล้ว
ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ หมอทั้งหลายก็ปลื้มปิติทั้งยังดีอกดีใจ
“เวลาแต่งงานกำหนดแล้วหรือ?”
“มักง่ายไม่ได้นะ”
พวกเขาพากันพูดถก
เฉินชีก็ฉีกยิ้มตามด้วย หันหน้ามาเห็นฟางจิ่นซิ่วกลอกตาทีหนึ่ง
“ครั้งแรกเป็นการเสแสร้งเพื่อช่วยคน ครั้งที่สองบิดามารดาไม่เห็นด้วย ไม่รู้ว่าครั้งที่สามนี่จะให้เหตุผลอะไรอีก” นางเอ่ยพึมพำ
“ทำสิ่งใดไม่เกินสาม ครั้งนี้ไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องหาเหตุผลแล้วก็ได้” เฉินชีหัวเราะเอ่ยเสียงเบา
ฟางจิ่นซิ่วเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง
“เจ้าไม่ใช่คนของคุณชายหนิงรึ? ทำไมเห็นด้วยกับท่านชายด้วยเล่า?” นางเอ่ยขึ้น
“ใช่ที่ไหนเล่า คุณชายหนิงก็ไม่ได้ให้ค่าจ้างข้าเสียหน่อย ข้าย่อมเป็นคนของคุณหนูจวิน” เฉินชีทำหน้าจริงจังเอ่ย แล้วหัวเราะคิกคักอีกครั้ง “นั่นเป็นตอนคุณหนูจวินไม่อยู่ คุณหนูจวินอยู่แล้ว ข้าย่อมยอมรับเพียงคุณหนูจวิน คุณหนูจวินพูดว่าต้องการอันนั้น ข้าก็ยอมรับอันนั้น”
ฟางจิ่นซิ่วตวัดตามองเขาทีหนึ่ง ในห้องเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ
มีคนเลิกม่านเข้ามา
เห็นเด็กสาวที่เข้ามา เฉินชีพลันตะลึง
นอกโรงหมอจิ่วหลิงเวลานี้มีผู้คุ้มกันของจวนเฉิงกั๋วกงแล้วยังมีพนักงานของโรงหมอจิ่วหลิงเฝ้าอยู่ กีดกั้นไม่ให้ผู้อื่นเข้าใกล้
คนที่เข้ามาได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
เฉินชีเห็นผู้ที่มาชัดก็รีบถองฟางจิ่นซิ่วทันที
“นี่นี่ นางนี่แหละ แม่ทัพหญิงในสังกัดของเฉิงกั๋วกงที่ข้าบอกเจ้า“ เขาเอ่ยเสียงเบา
ที่แท้เป็นลูกน้องของเฉิงกั๋วกง ถ้าเช่นนั้นเข้ามาก็ไม่แปลก ฟางจิ่นซิ่วคิด เพิ่งกำลังจะถามไถ่ สตรีคนนั้นก็เดินมาถึงข้างกายคุณหนูจวินแล้ว
“พี่สาว ท่านชายยืนอยู่ข้างนอกทำอะไร?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยขึ้น
ท่านชายก็มาด้วยรึ?
คนในห้องรีบร้อนลุกขึ้นกันหมด คุณหนูจวินไม่ได้มาเองรึ?
“เขาไม่ได้บอกว่าจะมานี่” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ เห็นชัดว่าก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน
เฉินชีวิ่งมานอกประตูมอง จากนั้นหันหน้ากลับมา
“ยืนอยู่ตรงมุมถนนโน่นแน่ะ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าพิกลอยู่บ้าง รีรอนิดหนึ่ง “อีกด้านหนึ่ง ใต้เท้าลู่แห่งองครักษ์เสื้อแพรก็อยู่ด้วย”
ลู่อวิ๋นฉี?
คนในห้องสีหน้าวิตก เมื่อวานเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเข้าเมืองพวกเขาล้วนรู้ ลู่อวิ๋นฉีหวิดจะจับคุณหนูจวินไปแล้ว
คิดไม่ถึงจากไปนานปานนี้ กลับมาปุบลู่อวิ๋นฉีก็ยังคงเป็นเช่นนี้อีก
ท่านชายคนนั้นจะขวางลู่อวิ๋นฉีรึ?
คุณหนูจวินยิ้มแล้วนั่งลง
“ถามเขาสิว่าจะเข้ามานั่งไหม?” นางเอ่ยกับจ้าวฮั่นชิง
จ้าวฮั่นชิงหมุนตัวก็ออกไปแล้ว พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า มองไปข้างนอกผ่านหน้าต่างเสียเลย มองเห็นจูจั้นยืนอยู่มุมถนนด้านนอกจริงๆ จ้าวฮั่นชิงพูดอะไรบางอย่าง เขาก็โบกมืออย่างรำคาญ จ้าวฮั่นชิงจึงบ่ายหน้ากลับมาแล้ว
“พี่สาว เขาไม่มา ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว” นางแจ้ง
คุณหนูจวินส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลง
“ท่านชายทำตามใจเป็นนิสัยแล้ว ไม่ต้องสนใจ” นางยิ้มบอก
พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงสบตากัน ดูแล้วนี่เหมือนสภาพของสามีเฒ่าภรรยาเฒ่า สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นี้ความสัมพันธ์ไม่เลว พวกเขาล้วนยิ้ม เอ่ยคุยเล่นอีกหลายประโยคก็ขอตัว
“องครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านี้ไม่มีที่ใดไม่อยู่ ยังไงก็ระวังหน่อย รีบกลับไปหน่อย” ท่านหมอเฒ่าเฝิงกล่อมเสียงเบา
คุณหนูจวินเอ่ยขอบคุณ ตามพวกเขาออกไปด้วยตนเอง
“พี่สาว ท่านเรียกข้ามาทำอะไรรึ?” จ้าวฮั่นชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง เห็นนางหันกลับมาก็เอ่ยถาม
คุณหนูจวินเดินเข้าไป ปลดผ้าคลุมบนใบหน้าของนางออก
เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วตอนนี้ถึงมองเห็นแผลบนหน้าของนาง แม้ตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ แต่ก็เก็บอาการได้ทันที หลบสายตาไป
“เจ้าพักอยู่ที่นี่ ข้าเขียนสูตรยาเสร็จแล้ว ให้ฟางจินซิ่วต้มยาให้เจ้า ทุกสองชั่วยามทานหนึ่งครั้ง สามวันไม่หยุด” คุณหนูจวินเอ่ย
จ้าวฮั่นชิงขานรับ มองไปทางฟางจิ่นซิ่ว
ฟางจิ่นซิ่วก็ขานรับ รับสูตรยาที่คุณหนูจวินส่งมา
“อ้อถูกแล้ว ยังไม่ได้แนะนำ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้นพลางชี้จ้าวฮั่นชิง “นี่คือศิษย์น้องของข้า
แล้วชี้ฟางจิ่นซิ่วต่อ
“นี่คือน้องสาวฝั่งมารดาของข้า”
ศิษย์น้อง? ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าพิกล มีศิษย์น้องโผล่มาอีกคนหนึ่ง อาจารย์เล่า?
จ้าวฮั่นชิงกลับไม่สงสัยพยักหน้าให้ฟางจิ่นซิ่ว
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว” คุณหนูจวินมองฟางจิ่นซิ่วพลางเอ่ยบอก “มอบให้เจ้าแล้ว”
“วางใจเถอะ จิ่นซิ่วตอนนี้นอกจากทำบัญชีเก่งกาจ ทำยาก็เก่งกาจยิ่งนักด้วย” เฉินชีหัวเราะคิกคักเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วไม่เอ่ยวาจา มองคุณหนูจวินเดินออกไป หันกลับมาก็เห็นจ้าวฮั่นชิงมองนางอยู่
“เจ้าเป็นน้องสาวฝั่งมารดาของพี่สาวข้าจริงรึ?” นางเอ่ยถาม
แต่ละคำเรียกพี่สาว ช่างเรียกได้… ฟางจิ่นซิ่วมองนางแล้วตอบอืมทีหนึ่ง
“ทำไมเจ้าไม่เรียกนางว่าพี่สาว?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามต่อ สีหน้าไม่พอใจอยู่บ้าง
โอ้ ถึงกับเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางด้วยรึ?
ฟางจิ่นซิ่วมองประเมินจ้าวฮั่นชิงบนล่าง
“แม่นางน้อย เจ้ากับนางรู้จักกันไม่นานสินะ?” นางเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว ไม่นานนัก” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยตอบ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเชื่อหรือไม่ เรียกนางว่าพี่สาวไม่ถูกตีก็ถูกด่า” ฟางจิ่นซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มบอก
จ้าวฮั่นชิงร้องอ้อทีหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นความผิดของพวกเจ้าแน่ ไม่เช่นนั้นพี่สาวจิ่วหลิงไม่มีทางตีเจ้าหรอก” นางพูดขึ้น
ฮะ!
ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าอับอายโกรธเกรี้ยว
นี่หลอกสาวน้อยโง่เง่าคนนี้มาจากไหนกัน!
……………………………………….