บทที่ 767 อาณาเขตต้องห้ามอันธการ
หานเจวี๋ยใช้เวลาแปดสิบเอ็ดปีถึงสรรค์สร้างพลังวิเศษมหามรรคที่ตรงใจเขาออกมาได้
แม้ว่าจะเป็นอริยะมหามรรคก็สรรค์สร้างพลังวิเศษมหามรรคได้ยากยิ่งนักเช่นกัน พลังวิเศษมหามรรคมิใช่เพียงพลังวิเศษระดับมหามรรคเท่านั้น แต่เป็นการวิวัฒนาการจากมหามรรคดั้งเดิม
“จะเรียกว่าอะไรดี”
“ฝันสังหารหรือ ไม่ได้ ไร้รสนิยมไปหน่อย”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง
ขบคิดอยู่สักพัก เขาก็ตั้งชื่อพลังวิเศษนี้ว่า “อาณาเขตต้องห้ามอันธการ!”
พลังวิเศษนี้มิใช่แค่สร้างความเสียหายให้ศัตรูในความฝันเท่านั้น ถึงอย่างไรก็เป็นความฝัน การทำร้ายเช่นนี้ยากจะส่งผลถึงร่างจริงได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงนึกถึงทักษะอันธการของมหาอริยะสวีหุนขึ้นมา เลียนแบบคุณลักษณะของมัน สร้างเป็นอาณาเขตต้องห้ามอันธการ
อาณาเขตต้องห้ามอันธการ จะวิวัฒนาการความฝันให้กลายเป็นอาณาเขตลึกลับ ดึงร่างของทั้งสองฝ่ายเข้าสู่อาณาเขตลึกลับแห่งนี้ ต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว
อาณาเขตต้องห้ามอันธการไม่อาจสอดส่องได้ ขอเพียงหานเจวี๋ยสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ระหว่างการต่อสู้ ก็ไม่ต้องกลัวจะถูกจับได้!
หานเจวี๋ยอารมณ์ดี ได้วิธีสังหารศัตรูจากระยะไกลเพิ่มอีกอย่างแล้ว จึงเริ่มเทศนาธรรมให้เหล่าศิษย์ในเขตเซียนร้อยคีรี
ด้วยความช่วยเหลือจากร่างแยก หลายปีมานี้หลี่เสวียนเอ้าได้ส่งบุตรแห่งสวรรค์เข้าสู่เขตเซียนร้อยคีรีไม่น้อย จำนวนศิษย์เกินห้าล้านคนแล้ว ในอดีตมีการจำกัดจำนวนไว้เนื่องจากหลี่เสวียนเอ้าห้ามมิให้เหล่าศิษย์สืบทายาทอย่างเข้มงวด ต่อมาหลี่เสวียนเอ้ามักจะอยู่ข้างนอกเป็นส่วนใหญ่ หานเจวี๋ยก็ไม่ปรากฏตัวเท่าไร มีศิษย์ไม่น้อยที่อดใจไม่ได้ให้กำเนิดทายาทออกมา อย่างไรก็ตามมีหน่วยลงทัณฑ์ซ่อนเร้นในการดูแลของโจวหมิงเยวี่ยอยู่ ปรากฏการณ์นี้จึงไม่ขยายตัวเป็นวงกว้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ผ่านการสั่งสมของวันเวลา จำนวนของเหล่าศิษย์จึงยังคงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอยู่ดี
หลังจากเทศนาธรรมเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย
[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์หลานของท่านเนื่องจากเผยแพร่มรรคต่อสิ่งมีชีวิตนับร้อยล้านตน ได้รับแรงกุศลมรรคาสวรรค์]
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[จี้เซียนเสินศิษย์ของท่านพิสูจน์มรรค สำเร็จมรรคผลเบิกฟ้า]
[โจวฝานศิษย์ของท่านข้ามผ่านห้วงกาลเวลา พลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา]
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านฟื้นคืนชีพ]
[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารปีศาจลึกลับ] x50093272
[จิ่งเทียนกงสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์ลัญจกรสรวง พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จิ่งเทียนกงสหายของท่านเนื่องจากผ่านการสาปแช่งมากมาย ทำความเข้าใจมหามรรคต้องสาปได้เสี้ยวหนึ่ง]
[หานอวี้เชื้อสายของท่านตระหนักรู้ถึงสัจธรรมแท้จริงแห่งฟ้าดิน จิตปลงอนิจจัง]
….
หานเจวี๋ยกะพริบตาปริบๆ โจวฝานคืนชีพให้โม่ฟู่โฉวหรือ
ทำได้อย่างไรกัน
หากย้อนอดีตไปคืนชีพให้ เช่นนั้นโม่ฟู่โฉวก็ควรจะมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของหานเจวี๋ยมาตลอด
หานเจวี๋ยเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมา มองเห็นรูปประจำตัวของโม่ฟู่โฉวปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
น่าสนใจอยู่บ้าง
หานเจวี๋ยมองโม่ฟู่โฉว อดจมดิ่งลงสู่ห้วงความทรงจำในอดีตไม่ได้
ยามนั้นทุกคนล้วนเป็นเพียงเด็กหนุ่มทั้งสิ้น
โม่ฟู่โฉวกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา หานเจวี๋ยขี้ระแวงใจฝ่อ ก้าวเดินในสองเส้นทางที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ จิ่งเทียนกงที่ไม่ได้ให้ความสนใจมานานก็เริ่มโลดแล่นอีกครั้ง
ในอดีตเมื่อนานมากแล้วคนผู้นี้ออกจากวังเทพมุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาล ไม่คิดเลยว่าจะยังคงสาปแช่งผู้อื่นอยู่ตลอด สมกับเป็นสาวกผู้ภักดีต่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
เหตุใดปรมาจารย์ลัญจกรสรวงถึงได้ชี้แนะเขาเล่า
หานเจวี๋ยรู้สึกสนใจขึ้นมา แต่ก็แค่สนใจเท่านั้น
ถึงอย่างไรจิ่งเทียนกงก็เป็นคนของเขา ระดับความประทับใจไม่เคยลดลงเลย
เมื่อไล่อ่านลงไปอีก หานเจวี๋ยมองเห็นจดหมายฉบับหนึ่ง
[เทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่านเผชิญกับการสังหารจากนักพรตเต๋าเสินเผาสหายของท่าน ร่างสิ้นวิญญาณสลาย มหามรรคต้องสาปหวนคืนสู่ฟ้าบุพกาล]
เทพมารต้องสาปสิ้นชีพแล้วหรือ
หานเจวี๋ยเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมาตรวจดู พบว่ารูปประจำตัวหายไปแล้วจริงๆ
เขามีสีหน้าแปลกพิกล
ก่อนหน้านี้เขาหลงนึกว่าเทพมารต้องสาปจะกลายเป็นจอมวายร้าย ไม่คิดเลยว่าจะสิ้นท่าเร็วขนาดนี้
ก็ดี เช่นนี้ถึงจะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของข้า
ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ก็มีคนทำลายล้างศัตรูตัวฉกาจให้
การดับสูญของเทพมารต้องสาปมีนัยลึกซึ้งยิ่ง แสดงให้เห็นว่าขอบเขตจำกัดของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการลดลงไปมาก
ต้องกล่าวเลยว่า นักพรตเต๋าเสินเผาเป็นบุคคลทรงความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว!
ก่อนหน้านี้ที่มารุกรานมรรคาสวรรค์ก็เตรียมตัวช่วยสำรองไว้ถึงสองราย ใส่ใจให้ความสำคัญกับคู่ต่อสู้อย่างยิ่ง
คนประเภทนี้ฉากหน้าดูเหมือนคนบุ่มบ่ามมุทะลุ จงใจทำให้ภาพลักษณ์ของตนดูโง่เง่า แต่ลอบจัดเตรียมสารพัดวิธีการไว้ เป็นศัตรูที่น่ารังเกียจยิ่ง แต่พอกลายเป็นสุนัขรับใช้ของตนแล้ว กลับสามารถมอบหมายงานให้เขาจัดการอย่างสบายใจได้เลย
ความประทับใจที่หานเจวี๋ยมีต่อนักพรตเต๋าเสินเผาเพิ่มขึ้นมา
หลังจากอ่านจดหมายทั้งหมดเสร็จสิ้น หานเจวี๋ยก็ถูกกระตุ้นความทรงจำในอดีตขึ้นมา
จู่ๆ ก็อยากจะออกไปเดินเล่น
ภายในมรรคาสวรรค์ เขาไร้พ่ายอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่กลัวว่าจะต้องเผชิญอันตราย
อย่างไรวันเวลาก็ยาวนาน ใช้เวลาหนึ่งร้อยปีเดินเล่นในมรรคาสวรรค์ สัมผัสกับโลกโลกีย์ในปัจจุบัน
หานเจวี๋ยแยกจักขุวิญญาณออกมาสายหนึ่ง แปลงเป็นร่างแยก เหาะมุ่งสู่แดนเซียนด้วยความรวดเร็ว ส่วนร่างจริงก็ฝึกบำเพ็ญต่อไป
รูปลักษณ์ของร่างแยกเหมือนร่างจริงทุกประการ ถึงแม้ยอดสมบัติทั้งร่างจะเป็นภาพมายา แต่คุณสมบัติยังอยู่ครบถ้วน
หานเจวี๋ยไม่คิดจะปลอมตัวแต่อย่างใด
อยู่อย่างหวาดระแวงมานับล้านปีแล้ว อยู่ในดินแดนของตนยังจะต้องแสร้งทำตัวเป็นหมาป่าหางโตอันใดอีกหรือ
อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ออกตรวจราชการลับเสียหน่อย แค่อยากออกไปชมโลกมนุษย์เท่านั้น
จุดหมายแรกคือเขาเทพปู้โจว
เขาได้อ่านสถานการณ์ของหานอวี้จากในจดหมายแล้ว เด็กคนนี้คล้ายเขามากจริงๆ ค่อยๆ สั่งสมตกตะกอนไปตามวันเวลา สงบใจฝึกบำเพ็ญ
….
เขาเทพปู้โจว ณ ยอดเขา
หานอวี้นั่งอยู่ใต้พฤกษาเก่าแก่ มองสตรีชุดเขียวที่ทำความสะอาดอารามเต๋าอยู่ เอ่ยอย่างจนปัญญา “ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาด อีกอย่างข้าก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในอารามด้วย ที่เก็บมันไว้เพียงเพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงอาจารย์ข้าเท่านั้น”
สตรีชุดเขียวสามารถใช้พลังเวทได้ แต่นางรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นดูไม่ใส่ใจเกินไป ดังนั้นถึงได้ลงมือทำด้วยตัวเอง
เมื่อได้ยินหานอวี้เอ่ยถึงอาจารย์ สตรีชุดเขียวจึงเดินออกมาจากอารามเต๋า ก่อนถามด้วยความอยากรู้ “อาจารย์ของท่านคงเก่งมากแน่นอนกระมัง เขาไปไหนหรือเจ้าคะ”
แววตาของหานอวี้แปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย เอ่ยเนิบๆ ว่า “ข้าก็ไม่ทราบชัดเจน แต่เขากำลังแสวงหามรรควิถีของตนอยู่แน่นอน สักวันหนึ่งจะต้องกลับมาเป็นแน่”
“อาจารย์ของท่านเก่งกาจกว่าท่านอีกหรือ”
สตรีชุดเขียวถามด้วยความสงสัย หานอวี้มีบุคลิกสุขุมและมีท่วงท่าสง่างามที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา
หานอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ข้าคิดว่าอาจารย์ของข้าแข็งแกร่งที่สุด”
แข็งแกร่งที่สุดอย่างนั้นหรือ
สตรีชุดเขียวกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้เชื่อในทันที ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ก็กว้างขวางไร้สิ่งใดเปรียบ มีบุตรแห่งสวรรค์ปรากฏต้วขึ้นมากมาย ผู้ใดก็บอกได้ไม่กระจ่างว่ามีผู้ทรงพลังบรรพกาลซุกซ่อนอยู่มากเพียงใด
“โอ้ อาจารย์ของเจ้าแข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นข้านับเป็นอันใดเล่า”
เสียงหนึ่งแว่วลอยมา หานอวี้และสตรีชุดเขียวเงยหน้ามอง
เป็นหานเจวี๋ย
ทั้งสองล้วนต่างตื่นตะลึง
หานเจวี๋ยอยู่ในชุดเสื้อคลุมห้วงกาลวิถี บนศีรษะสวมมงกุฎเทพปฐมภพ ดูทรงอำนาจเผด็จการ ผ้าพันคอมังกรสวรรค์สามพันวิถีพันอยู่รอบเอว มีเงามังกรส่ายไหวอยู่ด้านหลัง ทำให้คนที่เห็นตาพร่าเลือน ห่วงวัชระตัดจลาจลบนข้อมือสองข้างมีสะเก็ดไฟลุกโชน มุกหทัยอวโลกิเตศวรลอยวนอยู่รอบตัวเอง เปลี่ยนแปลงไปสารพัดรูปแบบ ประกอบเข้ากับใบหน้าเลิศล้ำไม่เป็นสองรองใคร แม้กระทั่งหานอวี้ก็ยังมองตาค้าง
หานอวี้ตกใจรีบลุกขึ้นมา ค้อมคำนับก่อนเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ “ย่อมเป็นท่านที่แข็งแกร่งที่สุด…อาจารย์ของข้าหากเทียบกับท่านแล้ว ไม่มีทางเทียบชั้นได้”
สตรีชุดเขียวพลันได้สติกลับมา มองเห็นหานอวี้เสียกริยาเช่นนี้ นางอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้ พลางรู้สึกสงสัยในสายของตัวเอง
นางพินิจดูหานเจวี๋ยอย่างละเอียด จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหานเจวี๋ยและหานอวี้หน้าตาคล้ายกันยิ่งนัก ราวกับพี่น้องแท้ๆ
หานอวี้สังเกตเห็นสายตาของนาง เอ่ยเสียงต่ำ “โอหัง! ไสหัวลงไปบำเพ็ญที่ตีนเขาซะ หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามขึ้นเขา!”
สตรีชุดเขียวตกใจ เป็นครั้งแรกที่หานอวี้แสดงความดุร้ายออกมา นางตกใจรีบค้อมคำนับหานเจวี๋ยทันที จากนั้นจึงเหาะลงเขาไป
หานเจวี๋ยร่อนลงตรงหน้าหานอวี้ เอ่ยด้วยยิ้ม “เหตุใดต้องกลัวขนาดนี้เล่า นางเป็นอันใดกับเจ้า”
หานอวี้ข่มความประหม่าไว้ เอ่ยอย่างประดักประเดิดว่า “นับว่าเป็นกึ่งศิษย์กระมังขอรับ”
………………………………………………………………