บทที่ 768 อริยะในอนาคต

บนยอดเขาเทพปู้โจว หานเจวี๋ยและหานอวี้นั่งอยู่ใต้พฤกษาเก่าแก่ หานเจวี๋ยให้หานอวี้เล่าประสบการณ์ในช่วงหลายปีมานี้ หานอวี้ย่อมไม่กล้าปิดบัง

จะว่าไป แม้ความจริงทั้งสองจะพบหน้ากันหลายครั้งแล้ว แต่ส่วนใหญ่ล้วนอยู่เพียงในแดนความฝัน

ยามนี้หานอวี้ทราบถึงตัวตนของปฐมบรรพชนท่านนี้แล้ว จึงให้ความเคารพยำเกรงยิ่ง

สายสัมพันธ์ระหว่างบรรพชนและเชื้อสายรุ่นหลังแม้จะบอกว่าเกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ก็ยังห่างกันเกินไป และทั้งสองก็ไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเลย การจะให้หานอวี้สนิทสนมคุ้นเคยกับหานเจวี๋ยจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง

หานเจวี๋ยฟังหานอวี้เล่าถึงประสบการณ์ด้วยความอดทน ฟังอย่างมีอรรถรส

ต้องกล่าวเลยว่า ถึงแม้หานอวี้จะพากเพียรบำเพ็ญเป็นประจำ แต่ประสบการณ์ที่มุ่งสู่ฟ้าบุพกาลก่อนหน้านี้มากมายกว่าทั้งชีวิตของหานเจวี๋ยเสียด้วยซ้ำ

ใช้เวลาอยู่หลายวันเต็ม หานอวี้ถึงได้เล่าจบ

“หมดแล้วจริงๆ ขอรับ ข้าเล่าทั้งหมดไปแล้ว” หานอวี้กล่าวด้วยท่าทางลำบากใจอยู่บ้าง

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลย มีสีสันนัก ข้าฟังแล้วเพลิดเพลินยิ่ง”

หานอวี้หมดคำพูดแล้ว ปฐมบรรพชนท่านนี้มาเพื่อฟังเรื่องเล่าโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ

ท่านนับนิ้วทำนายเอาเอง ทุกเรื่องราวในโลกนี้ก็ไม่พ้นสายตาของท่านแล้วมิใช่หรือ

หานอวี้เพียงบ่นอุบอิบอยู่ในใจไม่กล้าเอ่ยออกมา

ความจริงแล้วเขายังคงรู้สึกยินดียิ่ง

หานเจวี๋ยมาหาเขา แปลว่าใส่ใจเขา เขาที่ได้รับความเอ็นดูจึงรู้สึกตกใจอยู่บ้าง

ท่านปฐมบรรพชนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้คือตัวตนเหนือชั้นที่ต่อให้เป็นอริยะก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เข้าพบ

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “รักษามาตรฐานการบำเพ็ญเช่นนี้เอาไว้ วันหน้าข้าจะช่วยชี้แนะเจ้า การสำเร็จเป็นอริยะมิใช่ความฝันที่ไกลเกินเอื้อมของเจ้า ยิ่งมิใช่จุดสิ้นสุดของเจ้าด้วย”

เมื่อหานอวี้ได้ฟังก็ซาบซึ้งตื้นตันขึ้นมาทันที รีบขอบคุณหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหน้าตาคล้ายข้าจริงๆ แต่น่าเสียดายที่สายเลือดห่างชั้นเกินไป ไม่ได้รับสืบทอดคุณสมบัติทั้งหมดมา แต่ขอเพียงเจ้ามีใจมานะไม่ย่อท้อ ไม่ช้าก็เร็วต้องรุ่งโรจน์อยู่เหนือสรรพสิ่งแน่ นึกถึงในอดีตกาล ข้าก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเช่นกัน”

หานอวี้พยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้น แต่ก่อนเขาสับสนอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าเส้นทางที่ตนเลือกถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้พอได้รับคำชมเชยจากหานเจวี๋ย เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมแล้ว

หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน ก่อนนำกำไลเบิกสวรรค์ออกมา สิ่งนี้เป็นสมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์และเป็นสมบัติวิเศษสายป้องกัน

“นี่คือกำไลเบิกสวรรค์ เป็นสมบัติวิญญาณมรรคาสวรรค์ ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้า”

หานอวี้รับกำไลเบิกสวรรค์ไป ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

จิตใต้สำนึกของเขาต้องการปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงว่าหานเจวี๋ยเป็นผู้อาวุโส หากเขาปฏิเสธ มิเท่ากับหักหน้าหานเจวี๋ยหรือ

อย่ามองเพียงว่าหานเจวี๋ยใจดีมีเมตตาต่อเขา เขาเคยได้ยินตำนานน่าหวาดผวาเหล่านั้นของหานเจวี๋ยมาแล้ว

ในหมู่อริยะชน หานเจวี๋ยคือคนที่เหี้ยมโหดที่สุดอย่างแน่นอน

“จริงสิ ปีนั้นที่หานทั่วไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้า มิใช่เพราะเขาใจดำ แต่ตอนนั้นเขาถูกคุมขังอยู่ในยมโลก ทนรับความทุกข์ทรมานอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึงเลย ตัวเขาอันที่จริงก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้า ออกท่องโลกเพียงลำพัง เขาแยกจากข้าไปตั้งแต่ยังไม่ยี่สิบดี ไม่เคยทราบฐานะที่แท้จริงของข้าเลย จนกระทั่งไปติดตามจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย ถึงได้รู้ฐานะตัวตนของข้า” หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างมีความนัยลุ่มลึก

สีหน้าของหานอวี้ซับซ้อนขึ้นมาทันที

หานเจวี๋ยไม่ได้พูดมากอีก หันหลังเตรียมจากไป

“ปฐมบรรพชน ท่านจะไปไหนหรือขอรับ”

“ท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในแดนเซียนและปวงสวรรค์”

“ข้า…”

“ฝึกบำเพ็ญให้ดีเถอะ ข้ายังต้องให้เจ้าช่วยคุ้มกันอีกหรือ”

เสียงหัวเราะของหานเจวี๋ยค่อยๆ ลอยห่างออกไป ในใจของหานอวี้เต็มไปด้วยความรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

มรรคเป็นไฉน เช่นนี้อย่างไรเล่า

ทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนา ท่องไปทั่วฟ้าดิน

แววตาของหานอวี้ฉายแววมุ่งมั่น เขาก็อยากเป็นเช่นเดียวกับหานเจวี๋ย

อีกด้านหนึ่ง

หานเจวี๋ยเดินลงจากเขาเทพปู้โจว เขาอยากชื่นชมความยิ่งใหญ่ของเขาเทพปู้โจวสักหน่อย เพราะหากว่ากันไปแล้ว เป็นเขาที่มอบภูเขาลูกนี้ให้หลี่เต้าคง

ระหว่างทางเขาบังเอิญพบสตรีชุดเขียว นางกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่บนเนินเขา

กลิ่นอายของหานเจวี๋ยเลื่อนลอยว่างเปล่า สตรีชุดเขียวไม่อาจสัมผัสถึงได้

เมื่อเห็นนาง หานเจวี๋ยคิดเล็กน้อย ก่อนโบกมือขวาเบาๆ แสงสว่างสายหนึ่งแทรกซึมเข้าสู่ศีรษะของสตรีชุดเขียวอย่างรวดเร็ว

นั่นคือความเข้าใจมหามรรคของหานเจวี๋ย ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่ก็เพียงพอจะยกระดับความเข้าใจของสิ่งมีชีวิตธรรมดาแล้ว

นับตั้งแต่ฉินหลิงจากไป หานอวี้ก็ตัวคนเดียว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีกึ่งศิษย์สักคน หานเจวี๋ยคิดว่าตนควรช่วยดูแลสักหน่อย

ก็เพียงเท่านี้

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานแค่ไหน สตรีชุดเขียวค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ประสาทสัมผัสของนางเฉียบไวขึ้น

นางสัมผัสถึงปราณฟ้าประทาน พลังวิญญาณและแก่นตะวันจันทราได้เฉียบไวขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น”

สตรีชุดเขียวขมวดคิ้ว พึมพำกับตัวเอง

ส่วนหานเจวี๋ยนั้นจากไปนานแล้ว

ในเวลานี้เอง เสียงของหานอวี้พลันแว่วลงมา “ขึ้นมาเถอะ”

ดวงตาของสตรีชุดเขียวเปล่งประกาย นางขึ้นเขามาทันที ถึงอย่างรวดเร็วยิ่งและคารวะอยู่เบื้องหน้าหานอวี้

หานอวี้ย่อมมองเห็นฉากที่หานเจวี๋ยโบกมือใส่สตรีชุดเขียว หลังจากนั้น สตรีชุดเขียวเข้าสู่สภาวะตระหนักรู้ ชัดเจนยิ่งนัก สาวน้อยนางนี้ได้รับโชควาสนาอันยิ่งใหญ่

แววตาของหานอวี้ซับซ้อน เอ่ยถามเรียบๆ “รู้สึกอย่างไรบ้าง”

อันที่จริงสำหรับสตรีชุดเขียว เขาไม่ได้ชมชอบอะไรเป็นพิเศษเลย เขาเพียงหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น แต่ถ้าสตรีชุดเขียวนางนี้แข็งแกร่งขึ้น ต้องออกไปล้างแค้นแน่นอน

ท่านปฐมบรรพชนหนอท่านปฐมบรรพชน

ท่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับนางผิดไปหรือไม่

สตรีชุดเขียวเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ท่านมองออกหรือเจ้าคะ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าทุกอย่างต่างไปจากเดิม”

หานอวี้พยักหน้ารับ เอ่ยว่า “อาจจะเป็นการตระหนักรู้ในฟ้าดิน โอกาสเช่นนี้พานพบได้แต่ไม่อาจร้องขอ ในอนาคตยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นอีก”

สตรีชุดเขียวพยักหน้ารับอย่างคล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

นางถามด้วยความอยากรู้ “ผู้อาวุโสท่านนั้นล่ะเจ้าคะ จากไปแล้วหรือ เขาคือผู้ใดเจ้าคะ พี่ชายของท่านหรือ”

หานอวี้ถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง เอ่ยตำหนิ “ห้ามพูดเหลวไหล เขาคือท่านปฐมบรรพชนของข้า ต่อไปให้ทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเสีย อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับผู้ใด”

ปฐมบรรพชนหรือ

สตรีชุดเขียวอุทานดังจุ๊ๆ ถึงแม้โลกนี้จะมีศาสตร์ที่คงรูปโฉมอยู่ แต่ในความรู้สึกของนาง หานเจวี๋ยไม่ได้มีความแก่ชราอาวุโสเลย

มิน่าเล่าพอเจอเขาผู้อาวุโสถึงได้ตื่นตะลึงปานนั้น

“ผู้อาวุโส เขาแข็งแกร่งมากหรือเจ้าคะ แข็งแกร่งกว่าอาจารย์ของท่านด้วยหรือ” สตรีชุดเขียวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

แววตาหานอวี้ซับซ้อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยากจะเข้าใจได้ “เจ้าได้พบสวรรค์ที่แท้จริงแล้ว นี่เป็นโลกทัศน์ที่ไม่ว่าเจ้าจะฝึกบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่มีทางอาจเอื้อมถึง”

สตรีชุดเขียวขมวดคิ้วมุ่น ใคร่ครวญคำพูดของหานอวี้อย่างละเอียด

….

หลังออกจากเขาเทพปู้โจว หานเจวี๋ยก็เดินทางท่องโลก เดินไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดเท้า

บรรพตธารายิ่งใหญ่งดงาม ทะเลสาบขุนเขากว้างใหญ่ ทิวทัศน์วิจิตรงดงามสารพัดเคลื่อนผ่านครรลองสายตาของหานเจวี๋ย ระหว่างทางเขาพบเจอผู้บำเพ็ญมากมาย แต่พวกเขาเห็นว่าบุคลิกของเขาไม่ธรรมดา จึงล้วนไม่กล้าเข้ามาใกล้

หานเจวี๋ยท่องเที่ยวไปพลาง ย้อนนึกถึงความหลังไปพลาง

เมื่อนานแสนนานมาแล้ว โลกใบนี้เคยเป็นสิ่งที่เขาหวาดกลัว ถึงขั้นที่ไม่กล้าเหยียบย่างออกไปด้วยซ้ำ

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ในวันนี้ หานเจวี๋ยมาถึงเส้นทางภูเขาขรุขระสายหนึ่ง เส้นทางภูเขาเลี้ยวลดวนโค้งสู่ด้านบน บนเนินเขามีกระท่อมไม้กลุ่มหนึ่งกระจุกตัวอยู่ ดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้าน

หานเจวี๋ยได้ยินเสียงละเล่นของเด็กน้อย

มองเห็นเด็กน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งขี่หมาป่าขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง กระโจนข้ามไปยังป่าเขาเบื้องหน้าที่อยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง

หานเจวี๋ยหรี่ตามอง

หืม

เขามองเห็นปราณสีม่วงสายหนึ่งบนร่างของเด็กน้อย

ปราณม่วงสายนี้อ่อนจางยิ่ง ทว่าก็ดูลึกลับเช่นกัน

มิใช่ปราณม่วงอนธการ และมิใช่ปราณม่วงมหามรรค แค่คล้ายดวงชะตาชนิดหนึ่ง

หานเจวี๋ยคำนวณชะตาของเด็กน้อย พลันกระจ่างแจ้งในทันใด

อนาคตอริยะ!

หลายปีมานี้ หานเจวี๋ยพบเห็นผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่คนที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้มีเพียงเด็กน้อยคนนั้น

ปัจจุบันนี้ดวงชะตาอริยะไม่สามารถค้นพบจากการตรวจสอบดวงชะตาแต่กำเนิดได้ อย่างไรหานเจวี๋ยก็เป็นอริยะมหามรรค สามารถสอดส่องดวงชะตาของสิ่งมีชีวิตสามัญได้

………………………………………………………………