บทที่ 643 ตามล่าเทพวารี (2)

แต่บัดนี้…

ปรมาจารย์ไท่ชิงที่ได้รับการพิจารณาว่าดีที่สุดในบรรดาจอมปราชญ์ทั้งหก ได้ริเริ่มส่งทุบเจดีย์เสวียนหวงเทียนตี้มาอยู่เหนือศีรษะและตีศีรษะของเขา!

หลี่ฉางโซ่วกลับรู้สึกเป็นกังวลทันที

บางที เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

เวลานี้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดใช้งานระบบป้องกันระดับสูงสุด!

……

ในเวลาเดียวกันนั้น ทางตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนเทวะประจิม

มีธารแสงสองสามสายพุ่งจากทางทิศใต้และพาดผ่านไปทางทิศเหนือ พวกมันหยุดอยู่ที่หน้าหน้าผาสูงชัน แล้วกลายเป็นร่างสามร่าง ซึ่งเป็นสตรีสองคนและบุรุษหนึ่งคน

ขณะที่พวกเขาทั้งสามกำลังจะ “ชน” เข้ากับกำแพงภูเขาข้างหน้า ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงยุง

สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย และถอยหลังไปสองก้าว พวกเขาก้มศีรษะลง แล้วประสานมือทำการโค้งคารวะเล็กน้อย

ด้วยแสงที่สาดประกายระยิบระยับ แล้วผู้บำเพ็ญเหวินจิ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีโลหิตก็ปรากฏกายออกมา เผยให้เห็นเรือนร่างเย้ายวนของนาง

ผู้บำเพ็ญเหวินจิ่งพยักหน้าเบาๆ ให้กับคนทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆ นาง พลางก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว และกำแพงหินด้านหน้าของนางกระเพื่อมเล็กน้อยและกลืนร่างผู้บำเพ็ญเหวินจิ่ง

สัตว์ร้ายบรรพกาลทั้งสามที่อยู่ข้างหลังนางต่างมองหน้ากันและก้มศีรษะลงตามไป

มีห้องโถงขนาดใหญ่อยู่ภายในเวทลวงตานั้น มีแสงสีทองสาดประกายอยู่ภายใน และบรรยากาศแห่งความสงบก็ไหลเวียนไปรอบๆ ทั่วทุกทิศทาง มีธงสมบัติถูกแขวนไว้กลางห้องโถง ครอบคลุมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่…

เหวินจิ่งมาถึงทีหลัง นางมองไปรอบๆ และเห็นว่าทั่วทั้งสถานที่นี้ ล้วนเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายบรรพกาลที่มีขนาดไล่เลี่ยกับนาง

นางกระตุกมุมปากเบาๆ ในขณะที่เดินไปยังเบาะนั่งสมาธิที่ว่างเปล่าในแถวหน้า

ท่านกำลังทดสอบเราอีกครั้ง หรือกำลังพยายามทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่?

นางใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเมื่อนึกถึงคำเตือนที่นางได้รับจากเทพวารีเมื่อยี่สิบปีก่อน นางก็ระมัดระวังตัวเต็มที่ทันที

สัตว์ร้ายบรรพกาลส่วนใหญ่อยู่ตามลำพัง และร่างนับร้อยที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ต่างก็นิ่งเงียบเช่นกัน ในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดส่งข้อความเสียงหรือถามคำถามใดๆ

ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากส่วนลึกของห้องโถง ดวงตาของสัตว์ร้ายสีเขียวขนาดเท่าโคมสองตัวก็ส่องสว่างขึ้นในมุมนั้น ดูเหมือนว่า จะมีเปลวไฟล้อมรอบดวงตาของพวกมัน

ในขณะนั้น สัตว์เทพตี้ทิงค่อยๆ ก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว แต่แล้วมันก็นอนลงบนพื้น และปล่อยให้นักพรตเต๋าหนุ่มที่อยู่บนหลังของมันก้าวออกไปข้างหน้าเพียงลำพัง

เป็นเขาอีกแล้วหรือ?

เหวินจิ่งเย้ยหยันในใจและเข้าใจบางสิ่งในทันที

ตี้จั้งทำท่าทางเพื่อส่งสัญญาณไม่ให้เหล่าสัตว์ร้ายลุกขึ้น จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเบาะนั่งสมาธิตรงหน้าเขา แล้วคลี่ยิ้มพลางกล่าว

“สหายเต๋า ขออภัยที่ให้รอ”

คำตอบดังกึกก้องในห้องโถง

หลังจากนั้นสักพัก ตี้จั้งก็ยกมือขึ้นทำท่าเพื่อส่งสัญญาณ แล้วทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว

ตี้จั้งยิ้มและกล่าวว่า “วันนี้ ข้าเชิญพวกเจ้าทุกคนมารวมกันที่นี่ อย่างแรก เพราะข้ามีเรื่องสำคัญที่จะขอให้พวกเจ้าช่วย

และอย่างที่สอง ข้าอยากจะขอบคุณพวกเจ้าทุกคนที่ช่วยกันทำงานอย่างหนักมาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา

แม้สำนักบำเพ็ญประจิมจะไม่ได้ให้พวกเจ้ายืนอยู่แถวหน้าเพราะภูมิหลังของพวกเจ้า แต่ท่านอาจารย์ทั้งสองก็เห็นถึงคุณงามความดีที่พวกเจ้าได้ช่วยเหลือสนับสนุนเอาไว้

เมื่อสำนักบำเพ็ญประจิมเจริญรุ่งเรืองแล้ว พวกเจ้าก็จะได้รับความดีความชอบและชื่อเสียงไม่ได้ขาด”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิ่งถ่มน้ำลายในใจและคิดกับตัวเองว่า มันช่างไร้ยางอายอะไรเช่นนี้

ตี้จั้งกล่าวเสียงลั่นว่า “ไม่ต้องพูดมาก วันนี้ข้าเชิญทุกคนมาที่นี่เพื่อหารือเรื่องบางอย่างก่อนที่จะทำอะไร

พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าได้ทำอะไรในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา?”

ตี้จั้งหรี่ตาและยิ้ม “ข้ากำลังค้นหาที่อยู่ของเทพวารีแห่งศาลสวรรค์และก็ได้พบบางอย่าง”

ทันใดนั้น นิ้วของผู้บำเพ็ญเหวินจิ่งก็สั่นเล็กน้อย แต่นางยังคงสีหน้าท่าทางเป็นปกติและมีลมปราณเสถียรมั่นคง

ที่มุมหนึ่งนั้น มีแสงสีเขียวครามสาดประกายวิบวับอยู่รอบตัวสัตว์เทพตี้ทิง

ตี้จั้งกล่าวช้าๆ ว่า “เทพวารีแห่งศาลสวรรค์มีนามว่า หลี่ฉางเกิง เขาได้ทำลายแผนการของสำนักบำเพ็ญประจิมมาแล้วหลายครั้ง และทำให้เราต้องสูญเสียอย่างหนัก

ทว่าคนผู้นั้นก็มีที่มาค่อนข้างลึกลับยิ่ง เขาใช้เพียงร่างจำแลงของเขาเพื่อเคลื่อนที่ไปรอบๆ แม้แต่ในศาลสวรรค์

แล้วจะนับประสาอะไรกับที่วิหารเทพทะเลต่างๆ ทั้งหมดที่สามารถพบได้คือ มีเพียงร่างจำแลงของเขาเท่านั้น

เขากลัวสิ่งใดกัน?

เห็นได้ชัดว่า เขากลัวว่าร่างที่แท้จริงของเขาจะถูกเปิดเผย และหากที่ร่างที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผย เขาก็อาจถึงคราว ต้องตกตายอยู่ในหายนะชั่วนิรันดร์!”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ แสงในดวงตาของตี้จั้งก็เปล่งประกายเจิดจ้าอย่างยิ่ง

ทว่าในขณะนั้นผู้บำเพ็ญเหวินจิ่งกระตุกมุมปาก…

เห็นได้ชัดว่า มีความเข้าใจผิดอยู่ที่นั่น สหายผู้นั้นเพียงแค่กลัวตายอย่างเดียวจริงๆ เท่านั้น ร่างที่แท้จริงของเขามักจะติดตามชายผู้นั้นเสมอเมื่อเขาออกไปเดินเล่น

จากนั้นก็มีสัตว์ร้ายกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เทพวารีผู้นี้ซ่อนตัวมาตลอด หรือว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยก่อกรรมร้ายใหญ่หลวงมาก่อน?”

“นั่นก็มีเหตุผล หากไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดก่อนหน้านี้ สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจึงไม่ประกาศต่อหน้าผู้คนไปเลยว่า เขาเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์?”

“ข้าเกรงว่านั่นจะไม่ใช่ทั้งหมด… เป็นไปได้หรือไม่ว่า เทพวารีจะเป็นสตรี?”

สัตว์ร้ายมีส่วนในจินตนาการคาดเดาของพวกเขาเอง ทันใดนั้น ผู้บำเพ็ญเหวินจิ่งสบโอกาสที่จะกล่าวแทรก นางจึงกล่าวออกไปว่า “บางที เทพวารีแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก็เหมือนกับพวกเรา”

ตี้จั้งยิ้มและส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ทุกคน ไม่จำเป็นต้องคาดเดาไปเรื่อย จากการกระทำก่อนหน้านี้ของเทพวารี เราก็สามารถระบุได้ว่าเขาเกิดในเผ่าพันธุ์มนุษย์และเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์

เรื่องนี้สามารถสรุปได้จากคำสอนและกิจกรรมประจำวันของของสำนักเทพทะเล”

กล่าวจบ ตี้จั้งก็ถอนหายใจเบาๆ และกล่าวต่ออีกว่า “มันยากที่จะหาต้นไม้ที่ไร้ราก[1]ในโลกนี้ เป็นไปได้มากว่าภูมิหลังของเทพวารีนี้ น่าจะอยู่ในสำนักเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

ตามข้อมูลที่ข้าได้รับมาจากเผ่ามังกร เป็นไปได้มากที่เทพวารีจะได้รับเลือกจากปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพราะความสามารถและความเข้าใจที่พิเศษเหนือสามัญของเขา เพื่อให้เขาก่อตั้งสำนักเทพทะเลขึ้นเพื่อสั่งสมบุญจากการถวายเครื่องสักการะ

เรื่องของเผ่ามังกรคือ การทดสอบเขาของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

ทว่าสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจและงุนงงก็คือ ในช่วงสิบแปดปีที่ผ่านมา ข้าอาศัยความสามารถของตี้ทิงเพื่อเฝ้าติดตามตรวจสอบสำนักเซียนทั้งหกแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน แต่ข้าก็ไม่ได้รับอะไรเลย

ดูเหมือนว่า ทั่วทั้งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะไม่มีผู้ใดรู้ว่า เทพวารีเป็นศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจเปลี่ยนใจและใช้วิธีที่รุนแรงขึ้นเล็กน้อย…

เหวินจิ่ง?”

………………………………………………………………..