บทที่ 774 ยุคบรรพกาลและยุคใหม่ นักพรตเต๋ามิ่งอวิ๋น

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 774 ยุคบรรพกาลและยุคใหม่ นักพรตเต๋ามิ่งอวิ๋น

หลังจากเข้าสู่อาณาเขตปฐมภพ ในที่สุดหงหยวนก็เลิกประจบประแจง หานเจวี๋ยแอบโล่งใจอยู่คนเดียว

เขาหลงนึกว่าเทพมารฟ้าบุพกาลล้วนเย่อหยิ่งและกระหายเลือด ไม่คิดเลยว่าจะมีคนประเภทหงหยวนอยู่ด้วย

หงหยวนไม่เหมือนเทพมารฟ้าบุพกาล เหมือนมนุษย์มากกว่า

อาณาเขตปฐมภพถูกแสงเพลิงชั้นหนึ่งห่อหุ้มไว้ ด้านในกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ไม่ด้อยไปกว่าแดนเซียนเลย นภาครามเมฆาขาว เขาเขียวธารใส เรียกได้ว่าเป็นโลกใบหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หานเจวี๋ยสัมผัสถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตไม่ได้เลย

ทั้งสองเหาะมุ่งตรงไปตลอดทาง ไม่นานนักก็มาถึงตำหนักใหญ่สูงตระหง่านเสียดเมฆาหลังหนึ่ง ลำพังประตูใหญ่ก็สูงนับล้านจั้งแล้ว หน้าประตูมีกระถางสัมฤทธิ์ใบใหญ่ตั้งอยู่สองใบ แต่ละใบปักธูปไว้หนึ่งดอก หอมฟุ้งอบอวล กลายเป็นเมฆหมอกปกคลุมโลกา

ยักษ์ตนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู สวมเกราะสัมฤทธิ์หนาหนัก มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง

เขาเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเทพมารทั้งสองเชิญเข้าสู่ตำหนักได้เลยขอรับ นายท่านคอยอยู่ด้านในแล้ว”

หานเจวี๋ยและหงหยวนจึงเข้าสู่ตำหนัก

หานเจวี๋ยสัมผัสถึงกลิ่นอายแกร่งกล้าหลากหลายสาย แอบเสียดายอยู่ในใจ

หากว่าร่างแยกสามารถใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบรอบข้างได้ เช่นนั้นคงจะดีมาก

ภายในตำหนักว่างเปล่าขาวโพลน ห้วงมิติครอบคลุมด้วยแสงสีขาว ราวกับมิติเอกเทศแห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีเบาะกลมหลายใบ แต่ละใบมีระยะห่างกันนับหมื่นจั้ง ทั้งหมดหันไปในทิศทางเดียวกัน

เทพมารปฐมภพ!

เทพมารปฐมภพสวมชุดสีดำ ส่วนหัวราวกับเพลิงทมิฬ มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง ดูลึกลับและน่าตระหนก

มีเทพมารฟ้าบุพกาลนั่งอยู่ยี่สิบกว่ารายแล้ว

หานเจวี๋ยและหงหยวนสบตากัน เสาะหาเบาะกลมที่อยู่ข้างกันแล้วนั่งลงไป

“ท่านนี้คงเป็นสหายเต๋าหานเจวี๋ยจากมรรคาสวรรค์กระมัง สมเป็นชนรุ่นหลังแสนองอาจโดยแท้ สังหารดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวัง มีชัยเหนือนักพรตเต๋าเสินเผา ยิ่งมีอริยะมหามรรคที่สิ้นชีพด้วยน้ำมือเจ้าถึงสิบสี่ราย ช่วยกู้หน้าให้พวกเราเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลแล้ว” เทพมารปฐมภพพลันมองมาทางหานเจวี๋ยแล้วเอ่ยขึ้นมา

ทันทีที่เขาเอ่ยเช่นนี้ หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่ามีจิตศักดิ์สิทธิ์มากมายกวาดผ่านร่างตนไป

หานเจวี๋ยตอบกลับอย่างสุภาพอ่อนน้อม “ล้วนเป็นเพราะไม่มีทางเลือกทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับทุกท่านแล้ว ข้ายังห่างชั้นนัก”

เขาไม่ได้ปฏิเสธ ถ่อมตัวมากเกินไปมีแต่จะทำให้ดูปลอม

เทพมารปฐมภพกล่าวด้วยความสะท้อนใจ “นึกถึงอดีตปีนั้น เทพมารสามพันตนยืนหยัดในฟ้าบุพกาล เผ่าพันธุ์ในฟ้าบุพกาลต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงและสิ้นหวังเพราะเทพมารทั้งสามพันตน น่าเสียดาย ผานกู่ไร้เมตตา ล้างสังหารเผ่าพันธุ์เดียวกันเพื่อพิสูจน์มรรค ยามนี้พอข้านึกถึงขึ้นมายังคงรู้สึกคลั่งแค้นชิงชังนัก สหายเต๋าหาน เจ้าต้องดูแลจัดการมรรคาสวรรค์ให้ดี อย่าปล่อยให้ผานกู่มีโอกาสฟื้นคืนชีพ!”

เทพมารตนอื่นก็ทอดถอนใจเช่นกัน เสียงส่วนใหญ่ดังก้องทับซ้อน คาดว่าล้วนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลที่รอดชีวิตมาจากการกวาดล้างของผานกู่

หานเจวี๋ยมองพวกเขาสนทนากัน นิ่งเงียบไม่ตอบไปเสีย รับฟังเงียบๆ

อีกทั้งเขาก็มิใช่เทพมารฟ้าบุพกาลอย่างแท้จริง ไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์กับคนเหล่านี้

เขามาเพราะอยากฟังว่าเทพมารเหล่านี้คิดวางแผนจัดการเขาอย่างไร!

หงหยวนถ่ายทอดเสียงหาหานเจวี๋ย “ในหมู่เทพมารฟ้าบุพกาลแบ่งออกเป็นยุคบรรพกาลและยุคใหม่ ที่คุยกันอยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นยุคบรรพกาล เทพมารยุคใหม่อย่างพวกเราฟังๆ ไปก็พอแล้ว ตบะเทียบกับพวกเขาไม่ได้ ยากจะได้รับบทบาท”

หานเจวี๋ยตอบนางกลับไป “ข้าเข้าใจแล้ว”

สิ่งที่เทพมารฟ้าบุพกาลยุคบรรพกาลพูดคุยกันล้วนเป็นเรื่องราวในอดีต ราวกับพวกคนเฒ่าคนแก่ที่ชอบนึกย้อนระลึกถึงเรื่องราวในอดีต

เสแสร้งวางท่า

มองจากสถานการณ์แล้ว คงต้องรอไปอีกสักพัก

หานเจวี๋ยก็อยากรู้เช่นกันว่าฟ้าบุพกาลแห่งนี้ซุกซ่อนเทพมารฟ้าบุพกาลไว้มากมายเพียงใด

หลายวันต่อมา อริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็มาถึงแล้วเช่นกัน

เขาไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นหานเจวี๋ย กลับเลือกนั่งลงบนเบาะที่อยู่ใกล้ๆ กับหานเจวี๋ย เริ่มถ่ายทอดเสียงพูดคุยกับหานเจวี๋ย

คนผู้นี้ตื่นเต้นยิ่งนัก บอกว่าหลังจากสิ้นสุดการต่อสู้กับหานเจวี๋ย ตนได้กลับไปทำความเข้าใจมรรคกระบี่ พลังเพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง หากเผชิญหน้ากับหานเจวี๋ยอีกไม่มีทางน่าอนาถถึงเพียงนั้นแล้ว

อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ตัวดีเช่นกัน ไม่ได้นัดหมายท้าประลองกับหานเจวี๋ยตั้งแต่ตอนนี้

พูดคุยกันอยู่นานสองนาน อริยะเทพอวี๋เจี้ยนถึงได้เงียบไป

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็นับเป็นเทพมารรุ่นบรรพกาลเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนากับเทพมารปฐมภพเลย

ไม่ทราบว่าหานเจวี๋ยรู้สึกไปเองหรือไม่ เหล่าเทพมารดูเหมือนจะกีดกันต่อต้านอริยะเทพอวี๋เจี้ยนอยู่บ้าง

“สหายเต๋ารู้จักอริยะมิ่งจีหรือไม่”

เสียหนึ่งพลันแว่วขึ้นในหูของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยเหลือบมองไป เป็นนักพรตเต๋าชราชุดเทาคนหนึ่ง อีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาอยู่

หานเจวี๋ยตอบกลับไปว่า “เคยได้ยินชื่อ ไม่นับว่ารู้จัก ตอนที่ข้าพิสูจน์มรรค เขาดับสูญไปแล้ว”

นักพรตเต๋าชราชุดเทาถ่ายทอดเสียงมาว่า “ก็ถูก เจ้าศิษย์ไม่เอาไหนของข้าคนนั้นพ่ายแพ้ต่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ซ้ำยังถูกเหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ทอดทิ้ง”

ศิษย์อย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยประหลาดใจ

ช้าก่อน!

นักพรตเต๋ามิ่งอวิ๋น!

หานเจวี๋ยจำได้แล้ว ในอดีตเขาเคยทำนายได้ว่านักพรตเต๋ามิ่งอวิ๋นวางแผนกับเจ้าแม่หนี่ว์วา แต่หลังจากอริยะมิ่งจีดับสูญไป นักพรตเต๋ามิ่งอวิ๋นก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย

หานเจวี๋ยตอบกลับไปว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วย มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันต่างไปมรรคาสวรรค์แต่ดั้งเดิมแล้ว อริยะที่ดับสูญไปในกาลก่อนมิได้มีเพียงศิษย์ของท่าน”

“ใช่แล้ว ข้าก็มิได้คิดทวงถามเอาความแต่อย่างใด เพียงอยากผูกมิตรกับสหายเต๋าเท่านั้น ข้าสนใจในตัวสหายเต๋ายิ่ง”

“มีสหายเพิ่มมาอีกคนย่อมเป็นเรื่องดี”

“มิผิด”

ทั้งสองเริ่มพูดคุยถามไถ่กันไปตามมารยาท

[นักพรตเต๋ามิ่งอวิ๋นเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

หานเจวี๋ยก็มิได้ใส่ใจ ล้วนเป็นเพียงละครเท่านั้น

อย่างไรก็ตามนักพรตเต๋ามิ่งอวิ๋นกลับจริงใจนัก หานเจวี๋ยมีกิตติศัพท์การต่อสู้โชกโชนทำให้คนที่เคยได้ยินต่างคิดว่าเขาเข้าหายาก แต่หานจวี๋ยกลับแสดงท่าทีเป็นมิตร พฤติกรรมนี้ทำให้นักพรตเต๋ามิ่งอวิ๋นรู้สึกสบายใจยิ่ง

ในช่วงหลัง มีเทพมารทยอยมาถึงอย่างต่อเนื่อง

เวลาผ่านไปกว่าสามร้อยปี

ในที่สุดประตูตำหนักปฐมภพก็ปิดลง หานเจวี๋ยนับดูเล็กน้อย มีเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งหมดหกสิบเจ็ดราย มากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตามเทพมารส่วนใหญ่ในที่นี้ล้วนมีตบะระดับเสรีเท่านั้น

เทพมารปฐมภพหยุดการสนทนา ในไม่ช้าตำหนักปฐมภพก็เงียบสงบลง

ผ่านไปสักพัก

เทพมารปฐมภพลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “ทุกท่าน ที่เรียกรวมตัวในครั้งนี้เพราะเรื่องของเทพมารอนธการ ถึงแม้คำพยากรณ์จะบอกว่าเทพมารอนธการยังไม่ถือกำเนิดขึ้น แต่เรื่องนี้เป็นอันตรายคุกคามต่อเทพมารฟ้าบุพกาล หากมีดวงจิตมหามรรค ดวงจิตอมตะและเหล่าสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลใช้ประโยชน์จากเทพมารอนธการมากำจัดพวกเรา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

เมื่อเขากล่าวประโยคนี้ออกมา บรรยากาศภายในโถงตำหนักพลันหนักอึ้ง

หานเจวี๋ยสงสัยอยู่ในใจ เป็นคำพยากรณ์จากผู้ใดกัน

กลับไปแล้วต้องลองทำนายดูให้ดี

เทพมารยุคบรรพกาลออกความเห็นกันอีกครั้ง เริ่มหารือกันว่าเทพมารอนธการน่าจะถือกำเนิดขึ้นที่ใด ใครบ้างทีอาจจะเป็นอันตรายต่อเทพมารฟ้าบุพกาล

เมื่อมีการเอ่ยถึงมรรคาสวรรค์ หานเจวี๋ยย่อมตอบสนอง ขอเพียงไม่ก้าวก่ายถึงอำนาจการปกครอง ทุกอย่างล้วนคุยกันได้

การประชุมหารือครั้งนี้ยาวนานยิ่ง คาดว่าคงดำเนินต่อไปอีกนานนัก

….

ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น

เขาปิดด่านครบหมื่นปีอีกครั้ง แต่ร่างแยกยังคงไม่กลับมา

ร่างแยกยังไม่กลับมา หานเจวี๋ยย่อมรู้สึกกระวนกระวาย ยากจะสงบใจฝึกบำเพ็ญได้

ถึงอย่างไรก็มีผู้ทรงพลังกลุ่มหนึ่งกำลังหารือวางแผนสังหารเขาลับหลัง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ยากจะสงบใจได้เช่นกัน

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู ผ่อนคลายจิตใจ

[จิ่งเทียนกงสหายของท่านกลายเป็นมิ่ง ดวงชะตาเกิดการเปลี่ยนแปลง]

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[หลี่เต้าคงสหายของท่านทำความเข้าใจมรรคกระบี่ ได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[จอมอริยะเสวียนตูสหายของท่านบังเอิญได้รับยอดสมบัติ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านถูกกวาดม้วนเข้าสู่ห้วงกาลวิปโยค]

[จ้าวเซวียนหยวนศิษย์ของท่านถูกกวาดม้วนเข้าสู่ห้วงกาลวิปโยค]

[เจียงอี้สหายของท่านถูกกวาดม้วนเข้าสู่ห้วงกาลวิปโยค]

[อี๋เทียนสหายของท่านปลุกพลังแห่งเทพมารฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานทั่วบุตรชายของท่านเซ่นสังเวยสังขาร ก้าวข้ามขีดจำกัด พลังมรรคเพิ่มขึ้นมหาศาล]

………………………………………………………………